บทที่ 414 วรยุทธต้องห้าม1
ฮ่องเต้อำมหิตพูด “จิตใจต่ำช้ามาก ถึงขั้นใช้วิธีสกปรกแบบนี้มาทำร้ายศิษย์พี่ของตนเอง อีกอย่างเขารู้ว่าอาจารย์รักศิษย์พี่ใหญ่ ทำให้เขาโกรธเกลียดจนถึงขั้นต้องลงมือ”
ก่วยกุเซียน “ข้าได้หลงกลเขาให้แล้ว ข้าฆ่าลูกศิษย์คนโตเองกับมือแล้ว ข้าจึงไม่อยากฆ่าศิษย์คนที่สองอีก ข้าจึงได้ทำลายรวยุทธของเขา และไล่ของเอาไป ทุกวันนี้ ผ่านไปร้อยกว่าปีแล้ว เขาคงตายไปแล้วล่ะ เรื่องมันผ่านมานานแล้วแต่ก็เหมือนพึ่งเกิดขึ้นเอง”
ฮ่องเต้อำมหิตพูด “เป็นเพราะศิษย์พี่รองทรยศอาจารย์จึงตัดสินใจไม่รับศิษย์อีกเลยใช่ไหม”
ก่วยกุเซียน “ในหนึ่งร้อยปีมานี้ข้าไม่เคยรับศิษย์อีกเลยจนได้มาเจอกับเจ้า เจ้าฉลาดหลักแหลม มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ จึงทำให้ข้ากลับมารับศิษย์อีกครั้ง ถึงแม้ว่าหยินซวางจะยังไม่เคยคำนับข้าเป็นศิษย์อาจารย์ แต่นางอยู่ดูแลข้ามาหลายปี วันหน้าเจ้าก็ยอมให้นางหน่อย”
ฮ่องเต้อำมหิต “ศิษย์ไม่อาจขัดคำสั่งอาจารย์ ขอแค่นางไม่อ้างเป็นศิษย์พี่ข้าก็จะไม่ทำให้นางลำบากเช่นกัน”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“อาจารย์หนังสือหยุ่งเซิงเป็นวรยุทธแบบไหนกันแน่ทำไมอาจารย์ถึงต้องห้ามมให้เรียน”
“หนังสือหยุ่งเซิงหรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ค้วยฮัวมี่ลู่”
“ค้วยฮัวมี่ลู่ ทำไมชื่อถึงแปลกแบบนี้”
“ในโลกนี้มีหนังสือแปลกอยู่สองเล่ม นั่นก็คือ หนังสือลี๋ฮัวกง และค้วยฮัวมี่ลู่ หนังสือลี๋ฮัวกงก็คือกระบี่หลีฮัวของทุกวันนี้ที่อยู่ในจวนอ๋องโจว๋ ส่วนค้วยฮัวมี่ลู่นั้นได้หายสาบสูญไปนานหลายพันปีแล้ว พันปีก่อนมีนักบวชท่านหนึ่งได้เคยฝึกค้วยฮัวมี่ลู่ ระหว่างฝึกนั้นเขาได้ค้นพบว่าวรยุทธนี้ฝึกยาก แต่หากฝึกสำเร็จก็จะมีอายุยืนยาวไม่ตายเพราะเหตุนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นหยุ่งเซิง…..”
“งั้นค้วยฮัวมี่ลู่ถึงจะเป็นหนังสือหยุ่งเซิงจริงๆสินะ”
“ใช่”
ก่วยกุเซียนพยักหน้า “นักบวชท่านนี้ก็คืออาจารย์ของข้าเอง หรืออาจารย์ปู่ของเจ้า ตอนที่เขาฝึกหยุ่งเซิงขั้นสุท้ายเขาได้ลุ่มหลงและขาดสติจนกระอักเลือกตาย หยุ่งเซิงถึงจะเป็นวรยุทธที่น่าอัศจรรย์แต่ก็แฝงไปด้วยความโหดร้าย อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นที่อาจารย์ของข้าฝึกค้วยฮัวมี่ลู่นั้นเกิดมีข้อผิดพลาดอะไรนิดหน่อย เพราะแบบนี้ข้าจึงได้ห้ามไม่ให้พวกเจ้าฝึกมัน ”
ฮ่องเต้อำมหิตพูด “งั้นแบบนี้ถ้าหากอยากฝึกหนังสือหยุ่งเซิงที่แท้จริงก็ต้องหาต้นฉบับให้เจอ”
ก่วยกุเซียนพูด “ใช่ นั่นก็คือค้วยฮัวมี่ลู่ แต่น่าเสียดายที่ค้วยฮัวมี่ลู่นั้นได้หายไปเมื่อหลายพันปีก่อน และก็ไม่เคยมีใครพบเจออีกเลย”
ฮ่องเต้อำมหิต “หาค้วยฮัวมี่ลู่เจอก็สามารถฝึกหนังสือหยุ่งเซิงที่แท้จริงได้ใช่ไหม”
ฮ่องเต้อำมหิตครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
ก่วยกุเซียนพยักหน้า
สุดท้ายก่วยกุเซียนสั่งเขา “แผนได้ดำเนินการมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ในเวลานี้อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด ขอแค่เดือนเดียว เดือนเดียวงานใหญ่นี้ก็จะสำเร็จแล้ว”
“งานใหญ่”
คำว่างานใหญ่ที่เขาพูดออกมาดูเหมือนจะสำคัญมาก
ฮ่องเต้อำมหิตพยักหน้าจากนั้นก็ออกมาจากคุกใต้ดินบ่อน้ำ….
เขาปีนบ่อน้ำขึ้นมา แล้วหันไปมองกองหญ้าแห้งที่เป็นที่ฝังศพของโจว๋อี้เฉิน
“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านเป็นถึงวีรบุรุษ แต่กลับตายอย่างไม่เป็นธรรม แต่ท่านวางใจเถอะ ข้าจะทำให้จวนอ๋องโจว๋กลับมายิ่งใหญ่” พูดจบเขาก็ผุดรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก แล้วบินหายวับเข้าไปในท้องฟ้าที่มืดมิดราวกับฝูงนกสีดำ
“เป็นเขา”
“ออกมาแล้ว”
โอหยางซิงเฉินที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มองเงาสีดำที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดูเหมือนสีม่วงจะถูกท้องฟ้าที่มืดกลบเกลื่อนไปหมด
แต่สายตาของโอหยางซิงเฉินก็ยังคงมองเห็นเงาดำๆนั่น
เขาแอบตามไปอย่างเงียบๆ
แผนกจ่งตูเมือง
เหอจ้าวเทียนที่ได้เลื่อนขั้น ดูเหมือนเขายังไม่ทันได้เปลี่ยนป้าย ช่วงนี้ราชสำนักมีแต่เรื่องยุ่งๆเขาเหมือนจะไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
พึ่งจะมืดค่ำเขาก็ได้รับรายงานว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่อ้าวตัวเป็นคนตระกูลถางเปิ่นก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น
เขาจึงได้ไปที่จวนเฉิงเสี้ยงที่กำลังซ่อมแซมด้วยตนเอง
และถือความเป็นเพื่อนเชิญถางเปิ่นหู่มาดูด้วย
กาเหล้าสีเขียวเข้ม และอาหารที่ส่งกลิ่นหอม
ถางเปิ่นหู่ที่อายุยังน้อย แต่ก็ได้รับตำแหน่งเป็นเฉิงเสี้ยง ทำให้เขาขาดความไร้เดียงสาตามอายุ ใบหน้าที่หล่อเหลามีแต่ความเงียบขรึมและเก็บตัว
พี่ใหญ่ถางเปิ่นหลงยังถูกขังอยู่ในคุก
บิดาหนีหายสาบสูญ
ราวกับว่าตระกูลถางเปิ่นถูกฆ่าล้างตระกูล
ผู้คนล้มหายตายจากกันไปหมด
สภาพแบบนี้ หลายร้อยปีมานี้ตระกูลถางเปิ่นยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้มาก่อน
ภาระหน้าที่ทุกอย่างของตระกูลถางเปิ่นก็ตกมาอยู่บนบ่าของเขาที่พึ่งจะอายุได้ยี่สิบปี
“ถางเปิ่นเฉิงเสี้ยง”
เหอจ้าวเทียนยกกาเหล้าขึ้นแล้วรินเหล้าให้กับถางเปิ่นหู่
“ใต้เท้าเหอมิต้องเกรงใจ เรียกข้าว่าถางเปิ่นหู่ก็พอแล้ว ไม่ว่าจะยศตำแหน่งหรืออะไรข้าถางเปิ่นหู่ก็สู้ท่านไม่ได้และยังต้องขอเรียนรู้จากใต้เท้าเหออีกเยอะ”
เขาเหมือนจะยังไม่ชินกับการถูกเรียนว่าถางเปิ่นเฉินเสี้ยง นี่มันทำให้เขานึกถึงผู้เป็นบิดาที่แทงมาที่ของเขาด้วยมือของตนเอง
“คุณชายรองเกรงใจเกินไปแล้ว งั้นข้าขอเรียกว่าคุณชายรองแล้วกัน”
ถางเปิ่นหู่ยกแก้วเหล้า แล้วพูดขอบคุณจากนั้นก็ดื่มเหล้าจนหมดแก้ว
“เหล้าดี” เหอจ้าวเทียนยิ้ม
ถางเปิ่นหู่วางแก้วเหล้าในมือลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าเหอมีเรื่องอะไรก็พูดมาเลย อ้อมไปมาเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ใช่นิสัยของท่าน”