บทที่ 432 เกลียดนางเป็นที่สุด1
ดูเหมือนว่าเมืองหลวงจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว…
ไม่อะไรน่าตื่นเต้นเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีพลังงานลึกลับบางอย่างจงใจทำให้เป็นเช่นนี้ หรือว่าเป็นไปตามธรรมชาติกันแน่….
หรือเพียงเพราะว่าการล้มลงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นของจวนเฉิงเสี้ยงกับจวนอ๋องโจ๋วที่มีความเก่าแก่นับร้อยปีสองตระกูลนี้ และเพราะทุกคนรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยของตัวเองจึงก่อให้เกิดความเงียบสงบในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้…
สรุปก็คือ!
ความเงียบสงบของเมืองหลวงเป็นดั่งเช่นผิวทะเลสาบที่สงบนิ่งราวกับกระจก…
มันเงียบสงบจนถึงขั้นมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ซินเหยาพักอยู่ในพระราชวังเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ในทุกวันนางเอาแต่นับวัน…
หนึ่งวัน…
สองวัน…
สามวัน…
สิบวัน…
สิบเอ็ดวัน…
ยี่สิบเจ็ดวัน…
ในที่สุด
ในที่สุดก็ถึงวันที่ยี่สิบแปดแล้ว
การขายเครื่องสำอางในพระราชวังได้พัฒนาจากประกายไฟเพียงนิดเดียวจนกลายเป็นไฟที่สามารถลุกไหม้ลามทุ่งได้แล้ว…
โดยระยะเวลาหนึ่งเดือนแรกได้ทดสอบให้บรรดาเหล่าสนมและนางกำนัลในวังที่ซื้อเครื่องสำอางหลายๆคนมาเป็นประจักษ์พยานถึงผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ของเครื่องสำอาง…
ในเวลานี้ สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ซินเหยานำมาด้วยนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในพระราชวังแล้วทั้งสิ้น
ทั้งพี่สี่กับนายหญิงเซียวและชีวหยูนทุกคนล้วนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดส่งสินค้าและจัดการใบสั่งสินค้า
แต่กลับเป็นซินเหยาที่อยู่เงียบๆอย่างสบายมาหนึ่งเดือนแล้ว
นอกจากฮ่องเต้อำมหิตจะเดินผ่านมาทักทายปราศรัยไม่กี่คำอย่างไม่แยแสอะไรในบางครั้งแล้ว เรื่องอื่นๆล้วนราบรื่นเป็นอย่างมากเสียทุกอย่าง
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงจะสงบลงแล้ว
กองกำลังที่ก่อจลาจลของตระกูลถางเปิ่นและจวนอ๋องโจว๋ก็ดูเหมือนว่าจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้วเช่นกัน
ทั่วทั้งเมืองหลวงสงบเรียบร้อยอย่างเป็นสุขโดยทั่วกัน
ซินเหยาใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังก็อยู่อย่างกินดีมีสุข…
แม้ว่าในใจของไทเฮาจะรู้สึกเกลียดนางเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้าทำอะไรนาง
ในขณะที่ซินเหยากำลังนับวันเวลาอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำ จนถึงวันที่ยี่สิบแปด…
นางก็รู้ว่า เป็นเวลาที่ต้องบอกลาทุกคนแล้ว
พอถึงตอนที่รับประทานอาหารเย็น ซินเหยาบอกให้เสี่ยวหงจัดเตรียมอาหารเลิศรสให้เต็มโต๊ะเป็นพิเศษ…
โจว๋ชิงหยีเห็นอาหารชุดใหญ่วางอยู่เต็มโต๊ะ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวจิ่ว แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะหาเงินได้ไม่น้อยเลย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองขนาดนี้เลยนี่? อาหารรสเลิศชุดใหญ่ขนาดนี้พอที่จะให้คนยี่สิบคนกินได้เลย นี่พวกเรามีแค่สี่ห้าคนเองนะ”
นายหญิงเซียวหัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณหนูเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยแล้วนะ แถมยังตั้งครรภ์แล้วด้วย จะรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกายสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นา”
ซินเหยายิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอะไร และก็ไม่ได้อธิบายอะไร รอให้ทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้วจึงพูดออกมาว่า “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”
นายหญิงเซียวพูดว่า “เด็กโง่เอ๊ย จะพูดว่าลำบากไปทำไมกันเล่า? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ เจ้าตั้งครรภ์แล้ว พวกเราช่วยเจ้าจัดการงานบ้างไม่เห็นจะเป็นไรเลย แล้วมันก็ไม่ใช่งานที่ต้องใช้แรงอะไรเลยด้วย ก็แค่จดบัญชีนับเงินเท่านั้นเอง”
โจว๋ชิงหยีก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ก็ใช่ นายหญิงพูดถูกเป็นอย่างยิ่ง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยได้เห็นเงินเยอะขนาดนี้เลยล่ะ เสี่ยวจิ่ว ตอนนี้เจ้าน่าจะร่ำรวยยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีกใช่หรือไม่?”
“หามิได้ๆ พูดเกินจริงแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ?”
ซินเหยาปฏิเสธอย่างสุภาพมาก
ชีวหยูนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าดูๆแล้วก็พอๆกันนั้นแหล่ะ ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักชิงหย่าตั้งหลายครั้ง เห็นบรรดานางสนมกำนัลเหล่านั้นเดินเข้าเดินออก เมื่อก่อนนางสนมเหล่านี้ทั้งหมดจะต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันทั้งในที่เปิดเผยและในที่ลับเพื่อให้ได้เป็นนางสนมที่โปรดปรานของเขา แต่ตอนนี้กลับต่อสู้กันอย่างสุดชีวิตเพื่อเครื่องสำอาง ในใจของเขาต้องรู้สึกไม่พึงพอใจมากแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าของร้านของพวกเราทำเงินได้เยอะขนาดนี้…”
เสี่ยงหงก็พูดว่า “ใช่ๆ ตอนนี้ไม่ใช่แค่บรรดานางสนมและท่านหญิงเท่านั้นที่ใช้เครื่องสำอางนี้ แม้แต่บรรดาข้าหลวงเองก็เริ่มแย่งกันเอาเงินเดือนส่วนตัวมาซื้อเครื่องสำอางกันทุกคนแล้ว”
โจว๋ชิงหยีพูดว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้บรรดาขันทีต่างก็แย่งกันมาซื้อเครื่องสำอางกันด้วยล่ะ”
ซินเหยาแอบยิ้มอยู่อย่างเงียบๆ
สถานการณ์เช่นนี้ นางได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ตั้งนานแล้ว
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่
ไม่ว่าจะที่ไหน
ก็ไม่อาจดูแคลนกำลังที่ทำให้เกิดพลังแห่งความรักสวยรักงามของผู้หญิงได้เลย
เพื่อความสวยความงามแล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรผู้หญิงก็สามารถทำทุกอย่าง
เงินทองหลั่งไหลเข้ามาเหมือนดั่งสายน้ำ…
แต่ทว่า ซินเหยากลับไม่ได้สนใจเงินเหล่านั้นเลย
เพราะว่าวันมะรืนนางก็จะไปแล้ว
สำหรับนางแล้วเงินเหล่านี้แทบจะเป็นเหมือนเศษกระดาษ
นางมีความสุขที่นายหญิงเซียว โจว๋ชิงหยี และคนอื่นๆได้รับการฝึกฝนจากนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนี้ เมื่อไม่มีนางแล้ว
พวกนางก็จะสามารถสานต่อธุรกิจเครื่องสำอางในวังได้เป็นอย่างดี…
ส่วนนอกวัง ก็ยังมีส้งหมิ่นกับโจว๋หยุนถิงช่วยดูแลจัดการอยู่ และมีสิทธิในการดำเนินกิจการแต่เพียงผู้เดียวตามที่ฮ่องเต้อำมหิตได้ประกาศไว้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลมากเกินไปแล้ว
ในการรับประทานอาหารมื้อนี้
ผู้หญิงสองสามคนหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข และรับประทานอาหารเสร็จด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ
โดยไม่มีใครรู้เลยว่าซินเหยากำลังจะจากไป…
ในขณะซินเหยามองดูพยับเมฆค่อยๆเคลื่อนลับหายไปอยู่นั้น บนใบหน้าของทุกคนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ในหัวใจก็มีความปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างมาก
“ถ้าหากในอนาคตพวกเจ้ามีความสุขได้อย่างนี้ แม้ว่าข้าจะจากไปแล้ว ข้าก็รู้สึกสบายใจ” ซินเหยาอดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“เจ้าจะไปไหน? จะออกจากวังรึ? ครั้งนี้จะไปนานสักเท่าไร?” โจว๋ชิงหยีถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
นายหญิงเซียวกล่าวว่า “คุณหนู ทางที่ดีที่สุดท่านน่าจะออกไปนอกวังให้น้อยๆหน่อยนะ ครั้งก่อนก็ถูกคนลอบสังหารอยู่นอกวัง ถึงตอนนี้ยังหาตัวมือสังหารไม่เจอเลยนะ”
ชีวหยูนกล่าวว่า “ถูกต้อง แม้กระทั่งเบาะแสสักนิดก็ไม่มีเลยล่ะ”
ซินเหยายิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ได้จะออกจากวังหรอก”
โจว๋ชิงหยีจึงถามไปว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปที่ใดรึ? ทำไมถึงพูดว่าจะจากพวกเราไปอย่างกะทันหันแบบนี้ล่ะ?”
ซินเหยายิ้มเบาๆ แล้วตอบไปว่า “ข้าก็แค่พูดไปโดยไม่ทันคิดเท่านั้นแหล่ะ ความหมายของข้าก็คือ…ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีข้าอยู่ข้างกายพวกเจ้าแล้ว ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและไร้กังวลได้น่ะ”
นายหญิงเซียวพูดว่า “ขอเพียงแค่ได้เห็นว่าคุณหนูปลอดภัยและมีความสุข ข้าก็ไม่มีอะไรที่ปรารถนาอีกแล้ว”
โจว๋ชิงหยีก็พูดว่า “นายหญิงเซียว ท่านช่างมีใจเอนเอียงจริงๆ เป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับเสี่ยวจิ่วเสมอเลยนะเจ้าคะ”
นายหญิงเซียวกล่าวด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อยว่า “คุณหนูสี่ช่างชอบพูดกระเช้าเย้าแย่เสียจริงๆเลยนะ”
ซินเหยายิ้มแล้วพูดว่า “พี่สี่ท่านก็หยุดยั่วโมโหนายหญิงได้แล้ว ต่อไป นายหญิงจะได้มอบความห่วงใยและความรักให้ท่านเยอะๆอย่างไรเล่า”
ซินเหยารู้ว่าพี่สี่โจว๋ชิงหยีก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
นางเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก
พ่อของนางคือท่านอาสี่แห่งจวนอ๋องโจว๋
แต่เป็นเพราะว่าเขาอำนวยการธุรกิจอุตสาหกรรมลับของจวนอ๋องโจว๋ จึงยากที่จะปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนพบเห็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แม้กระทั่งตอนนี้จวนอ๋องโจว๋ได้รับความลำบากยากแค้นอย่างร้ายแรง ก็ไม่มีข่าวคราวใดๆเกี่ยวกับโจว๋เจ้าสี่เลย
จากเรื่องราวนี้พบว่า
ยากยิ่งนักที่โจว๋ชิงหยีจะได้พบกับบิดาผู้ให้กำเนิดสักครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าซินเหยาจะไม่ค่อยชอบพ่อที่ตัวเองแอบอ้างชื่ออย่างโจว๋เส้าฉีมากนัก
แต่ทว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เจอกันอยู่บ่อยๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับโจว๋ชิงหยีแล้ว
ก็ยังถือว่ามีความสุขกว่ามาก