บทที่ 438 ทนไม่ได้1
ด้วยความช่วยเหลือของนักกระบี่โหม การที่จะกลายเป็นสำนักที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร
เพียงแต่ ทองจำนวนนั้นที่อยู่ในเรือนลั่วหวี่ นางกลับไม่ได้ถือออกมาด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม
เดิมที่นางคิดว่าจะมอบทองจำนวนนั้นให้กับโจว๋หยุนถิงเช่นกัน
แต่พอลองคิดไปคิดมา…
ทองจำนวนนี้ฝังอยู่ใต้ดิน วันหนึ่งมันจะยังคงอยู่ในจวนอ๋องโจว๋ และอาจมีผลกระทบบางอย่างหากทิ้งเอาไว้ที่นั่น
ดังนั้น นางก็เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องทองออกมาเลย
จริงๆแล้ว นางยังอยากไปกล่าวคำอำลานายท่านโจว๋ในคุกใต้ดิน
สุดท้าย ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
นางกลัวว่าตัวเองจะอดร้องไห้ออกไปไม่ได้
เป็นสายลับไม่สามารถร้องไห้ได้
ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
และยิ่งไม่สามารถมีความรู้สึกผูกพันได้
ในเมื่อนางตัดสินใจที่จะจากไป นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนางจะต้องคืนสถานะและชีวิตของการเป็นสายลับแล้ว ก็ควรที่จะโยนความสัมพันธ์ทางเครือญาติทิ้งไป
แม้ว่าจะไม่อาจแข็งใจได้อยู่บ้าง
แต่นางยังต้องทนฝืนใจเอาไว้
ตอนที่กลับไปที่วัง ก็ถึงตอนเที่ยงแล้ว
นางแอบไปจัดเก็บของที่จำเป็นบางอย่างของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วรอไปรับเสี่ยวป๋านมาก่อนออกจากวังในยามจื่อ จะได้ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลห่วงหน้าพะวงหลังให้ต้องกลับไปอีก
พอซินเหยาเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เพียงแค่รอให้เวลานั้นมาถึง นางก็พร้อมที่จะจากโลกที่ไม่ใช่โลกของนางใบนี้ไปแล้ว….
ทันใดนั้นตำหนักชิงหย่าก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาหนึ่งคน
“น้องเล็ก น้องเล็ก”
“พี่สี่รึ?”
“น้องเล็ก ไม่สู้ดีแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮองเฮา…ฮองเฮาจะมาจัดการเจ้าแล้ว”
ทันใดนั้นพี่สี่โจว๋ชิงหยีก็ถลาเข้ามาบอกข่าวร้ายนี้กับซินเหยาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจ
ซินเหยาขมวดคิ้ว เพราะรู้ว่าสิ่งที่ควรจะเกิดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ซินเหยาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นางมาได้ยังไง?”
โจว๋ชิงหยีตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้”
สีหน้าของพี่สี่มีความวิตกกังวลเกินไปหน่อยอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่า…
ฮองเฮาต่างชนชาติคนนี้ มีลักษณะท่าทางเหิมเกริมมากเลยทีเดียว
ซินเหยาเดาออกเลยว่านางต้องมาไม่ดีแน่ๆ
“พี่สี่”
“ว่าไง”
“ท่านไปทูลเชิญฮองเฮาเข้ามาเถอะ”
“น้องเล็ก เจ้าจะรับมือได้เหรอ?”
“ไม่ว่าจะสามารถรับมือได้หรือไม่ ในเมื่อนางมาถึงแล้ว อยากจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว”
“จะให้…จะให้ข้าไปนำทหารมาช่วยไหม?”
“ทหารเหรอ?”
ซินเหยาหัวเราะเยาะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ในตำหนักนี้มีทหารซะที่ไหนกันล่ะ?”
โจว๋ชิงหยีพูดว่า “ฝ่าบาทล่ะ หรือว่า..หรือว่าไทเฮาก็ดีนะ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าไทเฮาจะไม่ได้กลั่นแกล้งเจ้าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮองเฮาองค์ใหม่คนนี้ดูเหมือนจะมาแทนที่ตำแหน่งในวังของไทเฮาแล้ว ไทเฮาน่าจะช่วยเจ้าแก้ไขสถานการณ์ได้นะ…”
แก้ไขสถานการณ์เหรอ?
ตอนนี้นางยังเอาตัวไม่รอดเลย
ซินเหยายิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “พี่สี่ หยุดพูดเช่นนี้เถอะ ท่านไปเชิญฮองเฮาเข้ามาในห้องโถงใหญ่เถอะ แล้วถือโอกาสเรียกเสี่ยวสิจื่อมาช่วยยกขนมและน้ำชาให้ด้วยนะเจ้าคะ”
โจว๋ชิงหยีพูดว่า “วางใจเถอะ น้องเล็ก ข้ารู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว”
ซินเหยาพูว่า “เดี๋ยวข้าจะออกไป”
“ได้”
พอโจว๋ชิงหยีได้ยินคำพูดของซินเหยา นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
นางรู้ว่า “การแสดงออกภายนอกของซินเหยามีท่าทางที่เรียบง่ายและห่างเหินเป็นอย่างมาก แต่ภายในใจกลับเป็นคนที่มีความคิดที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ถ้าเกิดนางตัดสินใจที่จะไปเผชิญหน้ากับฮองเฮาจริงๆ แสดงว่านางจะต้องมีวิธีรับมือเป็นแน่”
ดูเหมือนว่าโจว๋ชิงหยีได้กินยาที่มีผลทำให้จิตใจสงบเข้าไปแล้วหนึ่งเม็ด
จากนั้นจึงไปต้อนรับราชรถของฮองเฮาที่หน้าห้องโถงใหญ่
ซินเหยากลับพูดในใจว่า “รู้สึกไม่ดีเลยที่จะเห็นว่ามีเพียงครึ่งวันสุดท้ายนี้เท่านั้นที่สามารถสลัดทุกสิ่งทุกอย่างให้หลุดพ้นออกไปได้เสียที”
“คิดไม่ถึงเลยว่า”
“ฮองเฮาจะออกมาจัดการกับนางกะทันหันแบบนี้”
“ฮ่องเต้มีพระราชโองการลงมาแล้วว่าห้ามไม่ให้นางสนมกำนัลผู้ใดก็ตามเข้าออกตำหนักชิงหย่าตามอำเภอใจ”
“ในเวลาปกตินอกจากนางสนมที่มักจะมาสั่งซื้อเครื่องสำอางแล้ว ตำหนักชิงหย่าก็มีคนนอกเข้าออกน้อยมาก”
แม้แต่ไทเฮาก็ยังส่งคนมาก่อความวุ่นวายให้ซินเหยาน้อยมาก
จ้าวยู่ยิงคนนี้ ตกลงว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่?
ซินเหยารู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ในเมื่อจ้าวยู่ยิงมาถึงแล้ว
แน่นอนว่าการที่จะทำให้นางจากไปมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆขนาดนั้น
การหลีกเลี่ยงไม่พบหน้ามันไม่ใช่วิธีที่ดีอย่างแน่นอน
ถ้าอยากจะมาพบยังไงก็ต้องได้พบ
แต่หวังว่า…
จ้าวยู่ยิงไม่ต้องจำนางได้ถึงจะดี…
“ถวายบังคมเพคะฮองเฮา”
ซินเหยายังคงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ภายในวังด้วยความเคารพ เพราะว่ายังไงๆนางก็เป็นถึงฮองเฮา
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก สนมโจว๋กำลังตั้งครรภ์ ถ้าทำอะไรไม่คล่องตัวก็ไม่ต้องมากพิธีหรอกนะ วันนี้ข้าแค่อยากจะมาเยี่ยมน้องหญิงก็เท่านั้น”
จ้าวยู่ยิงกลับมีสีหน้าที่สุภาพอ่อนโยน จนดูไม่ออกเลยว่ามีเจตนาร้ายที่น่าหวาดกลัวและอันตรายอะไรแอบแฝงไว้หรือไม่
ซินเหยาเดาว่า บางทีนางอาจจะยังจำไม่ได้ว่าข้าคือเหยียนเฟยสินะ ปรารถนาที่จะทำให้นางจากไปให้เร็วสักหน่อยถึงจะดี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เวลามันยืดเยื้อออกไปแล้วเกิดปัญหาอื่นๆมากมายขึ้นมาอีก
จ้าวยู่ยิงพูดขึ้นมาว่า “เมื่อเร็วๆนี้ท่านพ่อของข้าส่งรังนกและโสมชั้นยอดมาเป็นเครื่องบรรณาการให้หนึ่งชุด ข้าจึงตั้งใจนำมามอบให้สนมโจว๋ใช้บำรุงร่างกายเป็นพิเศษ”
ซินเหยาจึงพูดว่า “ฮองเฮาเกรงใจเกินไปแล้วเพคะ ความจริง ควรจะเป็นหม่อมฉันที่สมควรต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยตัวเองถึงจะถูก แต่…”
จ้าวยู่ยิงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจดี ฝ่าบาทเห็นใจว่าน้องหญิงกำลังตั้งครรภ์ ทำอะไรก็ไม่คล่องตัว ดังนั้นจึงมีพระประสงค์ให้น้องหญิงรักษาตัวอยู่ในตำหนักชิงหย่าอย่างสบายใจ ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไรล่ะ?”
ท่าทางของนาง ทำเหมือนคนที่คุ้นเคยใกล้ชิดกันมาก
คำก็น้องหญิง
สองคำก็น้องหญิง
จะเรียกอย่างสนิทสนมอะไรขนาดนั้น
ซินเหยาคิดในใจว่า นี่เป็นเพียงการเจอกันครั้งแรกของพวกนางทั้งสองคนเท่านั้นนะ
แต่ดูเหมือนว่าจ้าวยู่ยิงคนนี้ ฐานะเดิมเป็นองค์หญิงที่มาจากชายแดน แล้วได้มาเป็นฮองเฮา แน่นอนว่าก็จะต้องเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้างเหมือนกัน
ทันใดนั้นซินเหยาก็ใช้มือลูบไปที่ท้อง แล้วแสดงสีหน้าที่เคร่งขรึม…
จ้าวยู่ยิงจึงรีบถามว่า “น้องหญิงเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ซินเหยาขมวดคิ้วแน่นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มันรู้สึก…รู้สึก…เจ็บอยู่นิดหน่อยน่ะเพคะ”
จ้าวยู่ยิงจึงสั่งให้นางข้าหลวงที่อยู่ข้างหลังรีบไปตามหมอหลวงมา
ซินเหยาก็เลยรีบพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ช่วงนี้ข้าแค่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว หมอหลวงบอกว่าคนที่ตั้งครรภ์จำต้องพักผ่อนเยอะๆ และจะเหนื่อยง่าย”