บทที่ 449 ไม่ใช่ศัตรู2
ชายชุดดำหายไปแล้วอย่างไรร่องรอย
ถ้าหากไม่ใช่ว่าในมือมีหนังสือเล่มนี้ โจว๋หยุนถิง คงคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนไปแล้วแน่ๆ
แท้จริงแล้วคนๆนี้เป็นใครกันแน่
ทำไมเขาถึงรู้เรื่องในจวนอ๋องโจว๋มากขนาดนี้?
ทำไมเขาถึงได้เป็นห่วงเป็นไงข้าถึงขนาดนี้?
ดูเหมือนว่าจะมีข้อสงสัยนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองของโจว๋หยุนถิงเหมือนน้ำในทะเลสาบ
ณ ตำหนักเฟิ่งอี๋
หลังจากที่งานพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาอย่างเป็นทางการของจ้าวยู่ยิง นางก็ย้ายเข้ามาอยู่ในพระตำหนักที่งดงามและโอ่อ่าตระการตาแห่งนี้
สาวใช้ของนางเข้ามารายงานสถานการณ์ที่เพิ่งไปสืบทราบมาเมื่อสักครู่นี้ให้นางทราบ…
“ทูลฮองเฮา! มีข่าวใหญ่เพคะ!”
สาวใช้พูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “พูดมาซิ!”
สาวใช้พูดว่า “ทูลฮองเฮา พระองค์จะต้องเดาไม่ออกแน่ๆเพคะ ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงรักพระสนมโจว๋มากขนาดนั้น!”
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “ทำไม?”
สาวใช้พูดว่า “เมื่อสักครู่นี้หม่อมฉันไปสืบข่าวที่นั่นจากนางข้าหลวงของหลี่เฟยมาได้ว่า ในตอนแรก สนมโจว๋บุกรุกเข้ามาในวัง แล้วตกเข้าไป อยู่บนเตียงมังกรโดยไม่ตั้งใจ ทำลายเรื่องราวดีๆของฝ่าบาทกับหลี่เฟย… ในตอนนั้นฝ่าบาทคิดว่านางเป็นผู้ลอบสังหาร ต่อมา ความรักระหว่างฝ่าบาทกับพระสนมโจว๋ ก็เริ่มยุ่งเหยิงไม่ชัดเจนแล้ว คนในตลาดและในวังต่างก็เล่าลือกันอย่างแพร่หลาย แต่ทว่า…”
“ แต่อะไร? รีบพูดมา! พูดจุดสำคัญมาเลยนะ อย่าอุบไว้!”
จ้าวยู่ยิงเป็นคนที่มาจากนอกวังจึงเกลียดวิธีการพูดที่อ้อยอิ่งแบบนี้เป็นธรรมดา
สาวใช้พูดว่า เพคะ ฮองเฮา เดิมที ฝ่าบาทมีรักที่ลึกซึ้งต่อพระสนมโจว๋อย่างสุดจิตสุดใจและไม่เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด หลังจากที่ฝ่าบาทได้พบกับพระสนมโจว๋ในคืนนั้น ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความสนใจที่มีต่อนางสนมกำนัลทุกนางในวังก็หมดสิ้นไป ในเรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดยหลี่เฟยมาแล้วเพคะ หลี่เฟยที่เดิมทีได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ก็ยังถูกตัดหางปล่อยวัดจนไม่อาจอธิบายได้เช่นนี้”
จ้าวยู่ยิงยิ้มเจื่อนๆ “ที่แท้ที่ฝ่าบาทไม่ยอมเข้าหอกับข้ามาโดยตลอด ก็เพราะสนมโจว๋ผู้นั้นนี่เอง ข้าก็นึกว่าฝ่าบาทจะเป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้ที่ผู้ชายเป็นกันเสียอีก”
สาวใช้พูดว่า “ ฮ่องเต้ผู้สง่างามและน่าเกรงขาม คิดไม่ถึงว่าเพื่อสนมคนหนึ่งแล้ว จะปฏิเสธนางสนมในวังหลังทั้งหมดได้ เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วพระราชวังแล้ว เพียงแต่ ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยเป็นอย่างมาก เหล่านางข้าหลวงจึงได้แต่แอบพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ไม่กล้าเล่าลือกันออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้น ถ้าหม่อมฉันไม่ไปสืบข่าวมาอย่างละเอียด ก็ยากที่จะล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้เช่นกันเพคะ!”
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “โจว๋ซินเหยาผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นเทพธิดามาจากไหนกันแน่? ทำไมถึงสามารถชักนำให้ฝ่าบาทตื่นตะลึงและหลงใหลได้เช่นนี้?”
สาวใช้พูดว่า “ ได้ยินว่าพระสนมโจว๋ผู้นี้แปลกประหลาดมาก มักจะทำของเล่นที่มีหน้าตาแปลกๆพิลึกกึกกือออกมา ความคิดก็วิเศษมาก และได้ยินว่านางมักจะปลอมตัวเป็นชายออกเดินทางท่องไปในยุทธภพด้วยล่ะเพคะ”
“อะไรนะ? ปลอมตัวเป็นชายอย่างนั้นหรือ?”
พอจ้าวยู่ยิงได้ยินอย่างนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นมาในทันที
“เจ้า… เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ที่หม่อมฉันพูดว่าพระสนมโจว๋ชอบปลอมตัวเป็นชายน่ะหรือเพค่ะ?”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่นางปลอมตัวเป็นชายนางใช้ชื่อว่าอะไร?”
“ไม่ทราบเพคะ”
“แล้วยังสืบอะไรมาได้อีกหรือไม่?”
“เรื่องนี้หม่อมฉันไม่รู้เลยเพคะ หม่อมฉันรู้เพียงแค่ว่าพระสนมโจว๋เป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก มักจะทำอะไรตัวคนเดียว และเรื่องที่นางปลอมตัวออกไปเดินร่อนเร่ในยุทธภพก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วเพคะ”
จ้าวยู่ยิงแสยะยิ้มแล้วบ่นกับตัวเองว่า “หึ! ซินเหยารึ?เหยียนเฟยรึ? ที่แท้เจ้าก็คือไอ้ผู้ชายเฮงซวย ที่หลอกลวงความรู้สึกของข้านี่เอง!”
สาวใช้จึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “ ฮองเฮา? ฮองเฮาเพคะ?”
จ้าวยู่ยิงยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ ข้าจะให้เจ้าไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง!”
สาวใช้ถามว่า “ ฮองเฮาจะสั่งให้หม่อมฉันทำอะไรหรือเพคะ?
จากนั้นจ้าวยู่ยิงก็กระซิบข้างหูนางสองสามประโยค
หลังจากที่สาวใช้ฟังจบแล้ว หน้าก็เปลี่ยนสีด้วยความตกตะลึงทันที
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “ ไม่ว่าข้าให้เจ้าไปทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
สาวใช้พูดออกมาด้วยความลังเลอยู่บ้างว่า “ แบบนี้…ฮองเฮา หม่อมฉันเกรงว่า ทำแบบนี้มันจะไม่ค่อยดีนักจริงหรือไม่เพคะ? ทำแบบนี้… ถ้าหากฝ่าบาทรู้เข้า เกรงว่า…เกรงว่าจะ…”
“บังอาจ!”
จ้าวยู่ยิงตวาดขึ้นมาว่า “ใครเป็นเจ้านายของเจ้า?”
สาวใช้พูดออกมาด้วยความสั่นเทาว่า “แน่…แน่นอนว่าต้องเป็นฮองเฮาอยู่แล้วเพคะ”
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “เช่นนั้นก็แล้วไป! รีบไปหน่อย! ไปจัดการเรื่องนี้บัดเดี๋ยวนี้!”
“เพคะ! ฮองเฮา!”
สาวๆทำได้แค่น้อมรับคำสั่งอย่างจำใจ
ในใจของจ้าวยู่ยิง ยิ้มเยาะขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
“เจ้าคือเหยียนเฟยก็ดี ซินเหยาก็ดี!”
“เจ้าจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอนที่เคยหลอกลวงคนอย่างข้า!”
“หึ!”
ซินเหยารีบกลับไปที่ตำหนักซิงหย่าอย่างรวดเร็วที่สุด
ในเวลานี้
ค่ำคืนในตำหนักซิงหย่าเงียบสงัดมาก
ทุกคนล้วนหลับไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ซินเหยาได้บอกกับทุกคนไปเรียบร้อยแล้วว่านางจะออกไปจากวัง ดังนั้นซินเหยาจึงไม่กลับมาในตอนดึก ทุกคนก็เลยไม่แคลงใจสงสัยขึ้นมา
ในเมื่อทุกคนหลับกันหมดแล้ว ซินเหยาก็เลยไม่อยากปลุกพวกเขา มิฉะนั้นจะต้องมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกเป็นแน่
นางจึงแอบกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง แล้วหยิบเอากระเป๋าเดินทางที่ซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา
หลังจากนั้นก็ออกไปจากตำหนักซิงหย่าอย่างเงียบๆเพียงลำพังอีกครั้ง
มองไปที่หอนอนที่เงียบสงัดอยู่ด้านหน้าจากที่ไกลๆ
สถานที่ที่คุ้นเคยและแปลกตาแห่งนี้ นับดูแล้วซินเหยาก็อาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลาครึ่งปีกว่าแล้ว…
ความรู้สึกนี้ เรียกว่าการพรากจากกันสินะ
ลาก่อนนะ
ซินเหยายิ้มเบาๆ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางหายเข้าไปในความมืดอย่างระทมทุกข์
ณ ตำหนักซูหนิง
ลึกเข้าไปในท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาที่เงียบสงัดยามค่ำคืน
ช่างลึกล้ำ ลึกลับ สวยงามและเงียบสงัดยิ่งนัก
เงาสีดำที่ดูเหมือนกับวิญญาณ เคลื่อนไหวไปมาไม่เร็วมากนัก แต่กลับคล่องแคล่วและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปในตำหนักซูหนิงที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดแล้ว…
ตำหนักซูหนิงที่อยู่ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด เต็มไปด้วยลางร้ายและความอัปมงคล