บทที่ 460 เงียบกันทั้งแถบ1
มู่หรุงหยูนส่ายหน้า
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “ในตอนแรกข้าให้สิทธิพิเศษแก่โจว๋กุ้ยเฟยในการจัดจำหน่ายเครื่องสำอางทั่วประเทศ ก่อนหน้าที่พระสนมจะหายตัวไป นางมอบกิจการเครื่องสำอางในวังให้กับโจว๋ชิงหยี ซึ่งก็คือฮองเฮาในอนาคต ส่วนกิจการนอกวัง พระสนมมอบหมายให้กับโจว๋หยุนถิงคุณชายสี่แห่งจวนอ๋องโจว๋ ข้าจะถามเจ้าอีกหนึ่งข้อ ขุนนางทั่วหล้า ตระกูลไหนที่จงรักภักดีมากที่สุด”
มู่หรุงหยูนกล่าว “ย่อมต้องเป็นจวนอ๋องโจว๋อยู่แล้ว”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “นั่นก็เพียงพอแล้ว ในเมื่อ ทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนหลั่งไหลเข้าไปในกำมือของจวนอ๋องโจว๋ เช่นนั้นเจ้ายังจะกังวลใจอะไรเล่า”
“ฮ่องเต้!”
ทันใดนั้นโจว๋หวุนเฟิงพลันลุกพรวดขึ้นมา “เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ท่านอ๋องและขุนนางทั่วหล้า กระหม่อมยินดีเป็นตัวแทนของจวนอ๋องโจว๋ในการบริจาคเงินครึ่งหนึ่งของผลกำไรในการขายเครื่องสำอางมอบให้แก่กองคลังประเทศ เพื่อเป็นของกำนัลให้แก่ประชาชนทั่วหล้า”
ฮ่องเต้อำมหิตจ้องมู่หรุงหยูนเขม็ง “เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง”
มู่หรุงหยูนเอ่ย “กระหม่อมได้ยินแล้วขอรับ!”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “จวนอ๋องโจว๋ให้คำมั่นที่จะบริจาคเงินกำไรครึ่งหนึ่งแก่กองคลังแล้ว บรรดาขุนนางทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ พวกท่านยังมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือไม่”
ทั้งหมดพากันเงียบเป็นแถบ
นับว่าฝูงชนมองออกแล้ว
ฮ่องเต้อำมหิตทรงมีใจเอนเอียงกับตระกูลโจว๋
ต่อให้โจว๋หวุนเฟิงจะไม่ได้ลุกขึ้นมาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงินกำไรครึ่งหนึ่งให้
กลัวก็แต่ว่าฮ่องเต้อำมหิตจะไม่ออกบัญชาลงโทษมาตราใดๆ ต่อจวนอ๋องโจว๋เป็นแน่
นับประสาอะไร
ตอนนี้โจว๋หวุนเฟิงยังลั่นวาจาว่าจะควักกำไรครึ่งหนึ่งมาบริจาค ย่อมต้องไม่กล้าพูดอะไรอีกอยู่แล้วสิ
ฮ่องเต้อำมหิตในตอนนี้ ไม่ง่ายต่อการยั่วยุเลยสักนิด
ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยวาจา…
ฮ่องเต้อำมหิตจึงปริปากอีกครั้ง “ข้าจะประกาศบัดเดี๋ยวนี้ จวนอ๋องโจว๋เป็นผู้มีความภักดีหนึ่งตระกูล สมควรได้รับรางวัลตอบแทนยิ่ง! ต้นเดือนหน้าข้าจะแต่งตั้งคุณหนูสี่แห่งตระกูลโจว๋ขึ้นเป็นฮองเฮาอย่างเป็นทางการ ส่วนคนจำนวนหนึ่งแห่งตระกูลโจว๋ที่อยู่ในคุก ให้ระวางโทษทั้งหมดและปล่อยตัวออกมาได้!”
น้ำเสียงกังวานและเย็นชา
แทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับการอภิปรายหารือใดๆ
กลุ่มขุนนางรู้ว่าในเมื่อฮ่องเต้ได้ออกราชโองการแล้ว นั่นก็หมายความว่าได้ติดสินพระทัยแน่วแน่แล้วนั่นเอง
ดังนั้น….
จึงพากันโห่ร้องก้องกังวานทรงพระเจริญหมื่นปี
……
ในวันนั้น
คนของจวนอ๋องโจว๋ได้รับการปล่อยตัวออกมาทั้งหมด!
ทุกคนในจวนอ๋องโจว๋ต่างได้รับคืนตำแหน่งราชการเดิม อีกประการ นายท่านโจว๋ยังถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋องหมวกเหล็กผู้กล้าหาญและภักดีหาใดเปรียบ โจว๋เส้ากวางได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพทหารผู้ยิ่งใหญ่ทั่วหล้า พระราชทานยศขุนนางขั้นสูงสุดเป็นจงหย่งโก๋กง โจว๋เส้าฉีถูกแต่งตั้งเป็นจาวโก๋กง โจว๋เส้าหัวได้รับการแต่งตั้งเป็นเว่ยโก๋กง โจว๋เส้าหวุนขึ้นเป็นฉู่โก๋กง เจ้าหน้าที่คำนับเป็นโก๋จ้าง พระราชทานยศเอกขั้นหนึ่งให้
โจว๋หวุนเฟิง โจว๋เหวินซี…
ตระกูลโจว๋แทบจะทุกคนต่างได้รับพระราชทานรางวัล
ในชั่วเลานั้น จวนอ๋องโจว๋ทั้งตระกูลดูเหมือนจะอยู่เหนือลมไร้รองใคร
แต่ว่า…
เบื้องหลังความปลื้มปีติและรุ่งโรจน์ไม่รู้จบสิ้นนั้น
ในใจของคนตระกูลโจว๋กลับมีบาดแผลที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ไปตลาดกาล
คุณหนูเก้าแห่งตระกูลโจว๋ โจว๋ซินเหยาไปอยู่ที่ไหนกันแน่
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้หายตัวไป
และไม่เคยมีใครได้เห็นนางอีกเลย?
ถ้าหากคนตายไปแล้ว ก็น่าจะมีศพกระมัง
แม้แต่ศพยังหาไม่เจอ…
นางไปไหนกันแน่
ปริศนาข้อนี้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ไปตลอดกาล…
……
ในช่วงพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮานั้น
ทั้งประเทศปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริงและปรองดอง…
สำนักชิงหลงในเมืองหลงกลับประสบความสำเร็จในการบุกรุกสำนักปลาวาฬและดึงเอาพลังชั่วร้ายที่ครอบคลุมกิจการสุดท้ายในเมืองหลวงออกมา
จำนวนคนของสำนักชิงหลงก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นคน
เกินกว่าจำนวนขอทานทั้งหมดในเมืองหลวงมารวมตัวกันเสียอีก!
สำนักชิงหลงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะถือกำเนิดในชั่วข้ามคืน!
หลังจากกำจัดกองกำลังชั่วร้ายทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว ไม่มีอำนาจใดที่จะหยุดยั้งการพัฒนาและการขยายตัวของมันได้อีกต่อไป!
เหตุการณ์นี้อึกทึกไปจนถึงตำหนักจินหลิว
ฮ่องเต้อำมหิตกำลังหารือกับกลุ่มขุนนางว่าพวกเขาต้องการส่งกองกำลังเพื่อปราบปรามการโจมตีมิให้กองกำลังชั่วร้ายนี้บรรลุไปถึงจุดที่มิอาจควบคุมได้…
แต่ว่า
หลังจากเหอเทียนจ้าวส่งคนไปตรวจสอบกลับพบว่า
การเพิ่มขึ้นของสำนักชิงหลงนั้นน้อยกว่าหนึ่งปีและมันขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วมาก หลังจากผนวกกองกำลังชั่วร้ายและอื่นๆ ในเมืองหลวงกลับไม่ได้กระทำการกดขี่ข่มเหงประชาชนแต่อย่างใด
ดูเหมือนสำนักชิงหลงจะแตกต่างจากกองกำลังชั่วร้ายทั้งหมดในอดีตที่ผ่านมา
คนในสำนักไม่รังแกกดขี่คนจน ไม่ข่มเหงประชาชน
และจะไม่มีการปล้นสะดม ขู่กรรโชกนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่ที่ร่ำรวยอย่างหุนหันพลันแล่น
แต่คนในสำนักกลับไล่ตามสหภาพแรงงานที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง พวกเขาจะไม่กลั่นแกล้งผู้คน แต่รวมกลุ่มกันขึ้นมาและไม่มีบุคคลใดสามารถรังแกพวกเขาได้…
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ความปลอดภัยในเมืองหลวงได้รับการปรับปรุงอย่างมากในระยะไม่กี่เดือนนี้ แม้กระทั่งขอทานก็ลดน้อยลง
เป็นเวลานานแล้วที่ราชสำนักไม่จำเป็นต้องเจือจุนผู้ยากไร้และเปิดคลังเสบียงอาหาร สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในกองคลังไปตั้งหลายโขเชียว…
แน่นอนว่าฮ่องเต้อำมหิตไม่ต้องการให้สำนักที่มีอำนาจชั่วร้ายแห่งหนึ่งเติบโตขึ้นจนอยู่ในระดับที่ตนไม่สามารถควบคุมจัดการภายใต้สายตาของเขาได้…
มันอาจส่งผลกระทบต่อกองกำลังโดยรวมทั้งเมืองหลวงก็เป็นได้…
แต่ว่าพวกเขากลับไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ก่อเรื่องวิวาท ซ้ำยังรักษาความสงบเรียบร้อยและรวมกลุ่มประชาชน…
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังช่วยฮ่องเต้ปกครองดินแดนอยู่กลายๆ?
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็ต้องส่งทหารเข้าโจมตี ดูเหมือนว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว