ตอนที่ 39 อิสระไม่มีสิ่งใดมาบังคับ
หลังจากดึงเข็มออกมาจนหมด กุ้อ้าวเวยได้เหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก
ฮ่องเต้ได้ไปจัดการเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซ่านจินจื๋อนำซ่านเชียนหยวนกลับไปวางลงบนเตียง สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก เพียงแต่ดูเหมือนว่ายังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ แต่เขากลับหัวเราะออกมา : “ท่านอา งานราชาอภิเษกสมรสของท่านกับพระชายาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากนี้ก็ช่วยข้าหาสักหน่อย”
เมื่อพูดออกมา ทั้งสองคนต่างก็ตังแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
ซ่านจินจื๋อสีหน้าเย็นชาไร้คำพูด กุ้อ้าวเวยกลับส่งเสียงไอออกมาหลายครั้ง : “พูดง่ายจริงเชียว ราวกับว่าจะหาแม่นางที่โดดเด่นอย่างหม่อมฉันไม่ได้อย่างนั้นแหละเพคะ”
“ข้าไม่เชื่อ” ซ่านเชียนหยวนหัวเราะออกมาอีกหลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อบาดแผลแต่เขากลับหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นได้
กุ้อ้าวเวยเองก็หัวเราะออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน จากนั้นก็นำผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว หลังจากที่แตะไปบนแขนของเขาเบาๆแล้วก็ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเขียนยาลงบนกระดาษยื่นให้กับซ่านจินจื๋อ : “สามวันก่อนนะเพคะ วันละ 2 เม็ด เช้าเย็นอย่างละเม็ด หลังจาก 7 วันก็วันละเม็ด ก่อนมื้ออาหารเช้า”
หลังจากที่นำรายการยื่นให้กับซ่านจินจื๋อนอกกระโจมแล้ว ซ่านจินจื๋อก็เห็นกุ้อ้าวเวยได้ล้วงตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาพอดี ดูเหมือนนางกำลังอ่านอย่างจริงจัง โดยไม่ได้ใส่ใจการมาของเขา
ซ่านจินจื๋อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังออกมาจากกระโจม แล้วพูดกับเฉิงซานที่อยุ่ข้างกายว่า : “คุ้มครองหยวนเอ๋อและพระชายาไว้ให้ดี”
“พะยะคะ” เฉิงซานหยักหน้าอย่างจริงจัง
ผ่านไปชั่วครู่ หยินเชี่ยวไม่ได้หากุ้อ้าวเวยบนเนินเขา ยังดีที่ได้ถือกล่องอาการมายังกระโจมด้วย ซ่านเชียนหยวนได้หลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กุ้อ้าวเวยกินได้แค่เพียง 2 คำ เสียงตะโกนร้องเล็กน้อยก็ดังมากจากองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกกระโจม
จนกระทั่งใกล้ค่ำ ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้ลอยเคว้งอยู่บนฟากฟ้า เฉิงเอ้อได้จุดไฟเพื่อนาง
เมื่อกุ้อ้าวเวยอ่านตำราทางการแพทย์ที่นำติดตัวมาด้วยจบลง นางก็เห็นซ่านเชียนหยวนลุกขึ้นมานั่งพอดี จึงได้วางลงบนโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่ง อาหารอ่อนๆที่ทำขึ้นตามคำสั่งของนางได้ว่าอยู่บนโต๊ะแล้ว แต่เขาจับตะเกียบไม่ถนัดนัก กุ้อ้าวเวยจึงจับตะเกียบของเขาไว้ : “อยากเสวยสิ่งใดเพคะ ข้าจะป้อนให้เจ้า”
“เช่นนี้ไม่ค่อยดีนักหรอก” ซ่านเชียนหยวนมองไปทางนางด้วยความลำบากใจ
“ไม่มีสาวใช้ มือของเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ ยกมือไม่ได้เท่านั้น” นางยกมือขึ้นมาป้อนอาหารแก่เขา
เหมือนแค่ยกมือ (ก็คง “เหมือนง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ” ของเรา)
ซ่านเชียนหยวนมองนางตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อกินอาหารหมดใบหน้าก็แดงขึ้นมาทันใด กุ้อ้าวเวยจึงได้นำจานที่ว่างเปล่าไปจัดการให้เรียบร้อย จากนั้นจึงได้นั่งลงแล้วถามเขาว่า : “คำพูดที่ฮ่องเต้ได้พูดไว้ก่อนหน้านั้นว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นการสังเวยสรวงสวรรค์ มันหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“ก่อนหน้านั้นก็มีฝนตกฟ้าครึ้มไม่ใช่หรือ เมืองเล็กๆในชนบทบางส่วนในละแวกนี้ก็ถูกน้ำหลากจากภูเขา ปะปนดินทรายลงมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไม่เบาเลยนะเพคะ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเกี่ยวข้าวในฤดูกาลใบไม้ผลิแต่อย่างใด การล่าสัตว์สังเวยสวรรค์ การนำสัตว์ที่ถูกล่าตัวใหญ่ที่สุดมาทำการสังเวยสวรรค์มันเป็นประเพณี”
กุ้อ้าวเวยไม่เคยจุกจิกกับผู้ป่วยมาก่อน ถึงแม้ว่าจะชอบชนมปิ้งก็ตาม แต่ก็ยังหลับตาข้างลืมตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่เมื่อนางมองดูได้เพียงแวบเดียว คนลาดตระเวนที่เหลืออยู่ด้านนอก ได้มองมายังกระโจมด้วยสายตาหยาบคาย จึงได้ถามซ่านเชียนหยวนขึ้นว่า : “ทำไมพวกเขาถึงไม่พาเจ้ากลับเข้าวัง อีกทั้งยังให้เจ้าอยู่ในกระโจมที่นี่อีก หากโดนไอชื้นคงไม่ดีแน่เพคะ”
“คนในวังมีปากมากเกินไป ท่านอาน่าเลยคิดว่าที่นี่ค่อนข้างปลอดภัย การออกไปข้างนอกจะต้องระมัดระวัง เจ้าคิดจะทำอะไร?” ซ่านเชียนหยวนเบิกตากว้างเมื่อเห็นนางยกชายกระโปรงที่หนักนั้นขึ้นมา แล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวัง
“ข้ายังอยากลองขี่ม้า อีกทั้งเมื่อสักครู่ข้าก็เพิ่งจะค้นพบธารน้ำเล็กในละแวกนี้ ข้าอยากไปดูสักรอบ” ในขณะที่พูด นางก็ได้วิ่งอุตลุดออกไปแล้ว ซ่านเชียนหยวนจึงได้ร้องเรียกอย่างกระวนกระวายใจตามนางไป
กุ้อ้าวเวยหลบหลีกลานกว้างที่มีคนมากมายอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็วิ่งอุตลุดเข้าไปด้านข้างของคอกม้า ทหารม้าอาวุโสกำลังป้อนหญ้าให้ม้าอยู่พอดี เมื่อเห็นกระโปรงของกุ้อ้าวเวยจากที่ไกลๆ จึงได้รีบออกมาต้อนรับ : “พระชายาจิ้ง ดึกขนาดนี้แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกหรือพะยะคะ?”
“ข้าอยากยืมม้าไปยังธารน้ำที่อยู่ ณ ที่ไกลๆ” กุ้อ้าวเวยได้ประกบมือทั้งสองข้าง ทำท่าทางอ้อนวอน
“หากพระชายาไม่แยแสที่จะให้คนตามไปด้วยละก็ หม่อมฉันก็จะจัดหาม้ามาให้แก่ท่าน” ทหารม้าอาวุโสหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาเสียงดัง
กุ้อ้าวเวยนวดหัวเล็กน้อย จากนั้นก็รีบตอบตกลงทันควัน
ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ของนางจะไม่มีแรงต้านทานต่อการขี่ม้า ถึงแม้ว่าความรู้สึกนี้จะน่ากลัวมากก็ตาม แต่นางก็ชอบ เมื่อนึกถึงการพันธนาการในตำหนักเฉิงเสี้ยง นางจึงได้ถือโอกาสขี่ม้าอย่างมีความสุขในช่วงเวลานี้
เมื่อเดินมาถึงธารน้ำเล็กๆอย่างช้าๆ คนที่เดินตามมาด้านหลังก็รู้จักรักษาระยะห่าง ไม่เข้ามาใกล้ได้โดยง่าย
เสียงน้ำไหลผ่าน แสงจันทร์ กลับรู้สึกสบายใจ
นางลงจากม้าอย่างระมัดระวัง ในขณะที่เหยียบลงบนหินที่ลื่น ธารน้ำเล็กๆได้ไหลเชี่ยวกรากกระทบต้นไม้ ดวงดวงใหญ่ปรากฏอยู่บนฟากฟ้า นางยกชายกระโปรงขึ้นมารวบไว้บนขาเล็กๆ ถอนรองเท้า แล้วเหยียบไปบนธารน้ำ น้ำข้างๆธารน้ำได้ไหลผ่านข้อเท้าไป นางยิ้มระรื่นในขณะที่วิ่งอยู่บนธารน้ำ
ข้อเท้าได้ถูกกับก้อนหินที่อยู่ในธารน้ำจนรู้สึกเจ็บปวด แต่นางก็สามารถกระโดดข้ามไปยังก้อนหินอีกก้อนหนึ่งได้ ขาทั้งสองข้างกวัดแกว่งไปมาในธารน้ำ ตีขาจนสาดกระเด็นเป็นละอองน้ำ
“เสี่ยวหง มาเล่นน้ำเร็ว!” นางหัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมกับกวักมือเรียกเสี่ยวหง
เมื่อตอบกลับมาด้วยการพ่นลมออกทางจมูก นางกลับรู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะยื่นตัวออกไปชื่นชมทางลำน้ำ พร้อมทั้งใช้ขาตีน้ำจนแตกกระจายอีกครั้ง
เมื่อมาถึงที่นี่ นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจเช่นนี้
นางนอนหงายกางแขนกางขาอยู่บนก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ก้อนนี้ แล้วปล่อยให้สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเส้นผมพลิ้วไหลไป นางจึงทำได้เพียงแค่หลับตา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป เสียงเคลื่อนไหวกลางป่าได้ดังขยายออกมา นางลืมตาขึ้น โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด 。
เงาของคนกลุ่มหนึ่งได้เดินออกมาจากป่าที่เงียบงัน เสื้อคลุมสีคราม ดวงตาทั้งสองข้างช่างงดงาม กุ้อ้าวเวยจำท่านชายที่สอนนางขี่ม้าในวันนี้ขึ้นมาได้
“ข้าคิดว่าฆาตรกรยังอยู่ในป่าแห่งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพระชายาจิ้งพะยะคะ” ผู้มาเยือนหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินมายังด้านข้างของธารน้ำแห่งนี้ ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำๆว่า : “ธารน้ำเยือกเย็นในเวลากลางคืน พระชายาจะต้องระวังอย่าให้โดนลมหนาวนะพะยะคะ”
“ไม่หรอก ข้าชอบความเย็น” นางกวัดแกว่งขาทั้งสองข้าง คนที่ติดตามนางก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟได้ปรากฏขึ้นมาในกลางป่า ดูเหมือนจะจำได้ว่าท่านชายองค์นี้คือใคร จึงไม่เข้ามาใกล้อีก
“พระชายาไม่ถามข้าว่าข้าเป็นใครหรือพะยะคะ?” บุรุษขมวดคิ้ว พร้อมกับตักน้ำชึ้นมาด้วยมือ
“อยากถาม แต่ไม่กล้าถาม ถึงอย่างไรวันนี้ก็ได้เห็นท่านชายกับพระราชโอรสอีกสองสามพระองค์นั่งด้วยกันอยู่บนเนินเขาแล้ว และก็ประหลาดใจมากพอแล้ว” กุ้อ้าวเวยหัวเราะออกมา สายตาของบุรุษผู้นี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็กระโดดลงไปน้ำที่ลึกขึ้น จนเสื้อผ้าบนตัวเปียกชุ่ม นางหัวเราะเยาะออกมา : “เพียงแต่ว่าเมื่อพบกันในคืนนี้ จึงไม่ได้สนใจแล้วว่าเจ้าคือใคร แค่เพียงคนที่มาเล่นน้ำเป็นเพื่อน”
บุรุษอึ้งงันไป จากนั้นก็กระตุกยิ้มมุมปาก ธารน้ำสาดกระเด็นออกไป พร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า : “เพียงแค่เตะน้ำ ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน องค์ชายที่ 3 ในวันนี้ ซ่านเซิงหาน”
“ข้าชื่อกุ้อ้าวเวย หากเจ้าไม่มาละก็ ข้าคงได้จับปลาไปแล้ว” กุ้อ้าวเวยพูดขึ้น จากนั้นก็โค้งตัว แล้วใช้มือจุ่มลงไปในน้ำ