ตอนที่ 46 ความอคติของท่านอ๋อง
“พวกเจ้ารออยู่ที่ระเบียงก่อน” หญิงผู้นั้นไอเบา ๆ ขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อคลุมบาง ๆ และจุดเทียน
ชั่วครู่หนึ่ง หญิงรับใช้ทั้งสองก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกนางเอ่ยอย่างร้อนใจ “นายหญิงสอง ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดจึงยังลุกมาอีกเพคะ”
“ข้าเพียงแค่นอนไม่หลับ พวกเจ้านอนก่อนเถิด ข้าจะอ่านหนังสือ”
หญิงคนนั้นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และดูเหมือนนายหญิงจะไม่มีท่าทีที่ผิดปกติอันใด ในที่สุดหญิงสาวใช้ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน ก่อนจะออกไปและไม่ลืมที่จะเอ่ย “นายหญิงสอง ถ้าท่านมีเรื่องอันใดเพิ่มเติมพวกเราจะไม่เข้ามาแล้ว วันละสิบสองชั่วโมงเช่นนี้ พวกข้าจะมาได้ตลอดเวลาได้ที่ใดกัน”
“ตกลง” หญิงสาวไอเพิ่มขึ้นอีกสองสามครั้ง ก่อนที่หญิงสาวใช้สองคนจะปิดประตูแล้วออกไป
ฉีหลินและกู้อ้าวเวยออกมาจากระเบียงด้านหลัง ดวงตาของฉีหลินเต็มไปด้วยความทุกข์ ในเวลานี้เจ้าเหนือหัวที่หาตัวจับนอนราบบนเตียงแล้วปล่อยให้พี่สาวของเขาลูบหัวไปมา “เจ้ายังจะกล้าลอบเข้ามาอีก ถ้าหากท่านพ่อมาพบเข้า เจ้าจะถูกตีเป็นแน่ ”
กู้อ้าวเวยฟังนางบ่นน้องชายไปมา ในขณะที่มองดูนางก็รู้สึกอบอุ่น
พี่สาวที่สองและฉีหลินมีมารดาเดียวกัน ท่านแม่ของพวกเขาเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดฉีหลิน และนางเป็นผู้หญิงที่ฉีหมิงรักใคร่ที่สุดในชีวิต ดังนั้นฉีหมิงจึงได้ใจดีกับฉีหลินมาก แต่เขาคือผู้ที่ให้ความสำคัญกับบุตรชายและละเลยบุตรสาว พี่สาวที่สองชื่อฉีโหรว นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนเหมือนชื่อของนาง
ฉีโหรวและฉีหลินโตมาคล้ายคลึงกันมาก ริมฝีปากบาง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก
“ท่านนี้คือ?” ฉีโหรวจ้องมองไปที่กู้อ้าวเวย
“นายหญิงสองเรียกข้าว่าเวยเอ๋อเถิด” กู้อ้าวเวยก้าวไปข้างหน้าแล้วให้ฉีหลินไปยืนอีกฝั่ง จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นและจับชีพจรให้ฉีโหรว นางยกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะ “นายหญิงสองเพียงแค่ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น สาเหตุของโรคนี้อยู่มานานเกินไป แต่เวยเอ๋อมีคำที่จะเอ่ยกับนายหญิงสอง”
ฉีโหรวไออีกสองสามครั้งและทำท่าทางส่งให้นาง
“ความทุกข์โศก มิสู้การยืมมือของผู้อื่น รอจนถึงวันหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ยังเกรงว่าจะมิมีชื่อเสียงหรือ? อีกทั้งฉีหลินก็มิได้เปิดหูเปิดตา มิรู้ว่าจะต้องทำอันใดจริงๆ ” กู้อ้าวเวยจ้องมองนางอย่างจริงจัง พลางหยิบกระเป๋าเล็ก ๆ หนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้นาง
ชะงักไปครู่หนึ่ง ฉีโหรวจึงรับกระเป๋าใบเล็กมาถือเอาไว้ ด้านในมีลูกกวาดหวานที่เด็กๆเท่านั้นที่จะกิน
“ขอบพระทัยแม่นางเวยเอ๋อ แต่ทว่าอย่างไรเสียเสี่ยวหลินก็เป็นน้องชายของข้า ข้ารู้จักเขาดี” ฉีโหรวทำเพียงฉีกยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และจ้องมองไปที่ฉีหลิน
เมื่อยืนขึ้น กู้อ้าวเวยขยิบตาให้ฉีหลิน ฉีหลินก็กล่าวคำอำลากับนางอย่างรวดเร็ว โดยบอกว่าคืนพรุ่งนี้จะนำยามาให้ เขาจึงจะสามารถตามกู้อ้าวเวยกลับไปได้
หลังจากออกจากเรือน กู้อ้าวเวยกระซิบเบา ๆ “ร่างกายของพี่สาวเจ้าเห็นได้ชัดว่ามิได้มีความเจ็บป่วย เป็นเพียงการเสแสร้งขึ้นมา”
“จะเป็นไปได้… อื้อ!” ก่อนที่ฉีหลินจะตะโกนร้องออกมา กู้อ้าวเวยก็ปิดปากเขาแน่น “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ต่อสู้ แต่ในจวนฉีอันยิ่งใหญ่นี้เจ้าเป็นคนเดียวที่นางสามารถเชื่อใจได้ แต่เจ้าก็ไร้ฝีมือเช่นกัน ถ้าเจ้าคุณควบคุมสำนักเยียนหยู่เก๋อได้พี่สาวของเจ้าก็จะไม่เศร้าหมองเช่นนั้น ”
“เจ้าหมายถึงอันใด” ฉีหลินจับมือนางแล้วกระซิบเบา ๆ
“พี่สาวของเจ้าในฐานะผู้หญิง นางจึงไม่สามารถครอบครองสำนักเยียนหยู่เก๋อได้ ก่อนหน้านี้นางถูกผู้คนทำร้าย ในใจของนางก็หวาดกลัว จึงต้องการที่จะสร้างแรงบันดาลใจในการต่อสู้ของเจ้าโดยแกล้งทำเป็นป่วย แต่โชคร้ายที่เจ้ายังคงซุกซนอยู่ นางจึงพบว่าไม่มีความหวังที่เจ้าจะได้ครอบครองสำนักเยียนหยู่เก๋อเช่นกัน ในใจของนางจึงไม่มีความหวัง จึงแกล้งทำเป็นว่าป่วยและมีอาการไอตลอดเวลา ” กู้อ้าวเวยตบที่ท้ายทอยของเขาไปมา
ฉีหลินตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลย เพียงแค่คิดว่ายิ่งเขามิเรียนรู้อะไรมากเท่าไหร่ พี่น้องของเขาก็จะยิ่งไม่มายุยงเขา เขาสนใจแค่เพียงพี่สาวที่สอง แต่กลับมิเคยถามเลยว่าพี่สาวต้องการอันใด
“ ในโลกนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่มีความทะเยอทะยาน หากเจ้าต้องการให้พี่สาวของเจ้าสบาย หลังจากทำสัญญาถอนหมั้นแล้วก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเสีย” กู้อ้าวเวยถอนหายใจออกมา เห็นว่ามีสายตรวจมาจากที่นั่นอีก นางจึงรีบจับเขาซ่อนเข้ามุม
ฉีหลินจ้องไปที่กู้อ้าวเวย ผู้ซึ่งกำลังปิดปากของเขา จึงรีบดึงมือของนางลงมา “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
“อย่างหนึ่งคือจับชีพจรและอย่างหนึ่งคือพี่สาวของเจ้ามองคุณด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังที่จะให้เจ้าได้ดี เจ้าเป็นความหวังเดียวของนาง” กู้อ้าวเวยพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ นางยังคงปิดปากเขา และจ้องมองเขาอย่างหนักแน่น
ฉีหลินดึงเท้าที่โผล่ออกไปด้านนอกของเขาเข้ามาอย่างเชื่อฟัง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
รอจนสายตรวจที่ลาดตระเวนจากไป ชายหญิงทั้งสองเดินตามสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามา กู้อ้าวเวยพลิกตัวพิงกำแพง ก่อนจะนอนราบบนกำแพงและยื่นมือออกมาหาเขา
ภายใต้แสงจันทร์ ฉีหลินจ้องมองกู้อ้าวเวย เขารู้สึกว่าใบหน้าของกู้อ้าวเวยเหมือนพี่สาวของตน
“รีบหน่อย” กู้อ้าวเวยรีบยกมือขึ้น ฉีหลินยื่นมือของเขาเข้าไป กู้อ้าวเวยหัวเราะแล้วลากเขาขึ้นไปข้างบน นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีจึงจะดึงเขาขึ้นมาได้ ทั้งสองกระโดดลงไปและล้มลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะวิ่งตะบึงไปที่ร้านยาเหย้า
โคมไฟทั้งสองที่ทางเข้าร้านนาเหย้ายังคงเปิดอยู่ “ มันน่าจะถูกเปิดทิ้งไว้โดยชิงต้าย นางช่างเอาใจใส่เสียจริง” กู้อ้าวเวยลูบแขนของนางแล้วเปิดประตู
วินาทีต่อมา แสงไฟก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับทหารนับไม่ถ้วนที่เล็งดาบมาที่นาง
ในใจตื่นตระหนก ขวดยาหยกที่ถูกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางหล่นลงบนพื้น ทำให้เกิดควันและฝุ่นขึ้นเล็กน้อย
นางยกมือขึ้นเพื่อปกปิดปากและจมูกของตน นางเดินถอยหลังไปหลายก้าว และดึงฉีหลินหมอบลงไปที่พื้น ในวินาทีต่อมา นางก็รีบยัดยาถอนพิษเข้าไปในปากของฉีหลิน และตนเองก็กินมันเช่นกัน ทั้งสองปีนขึ้นไปอย่างเชื่องช้า มองเห็นฝูงชนล้วนก้มหน้าและส่งเสียงออกมา
“ มิเจอกันสองสามวัน เจ้าก็ทำเช่นนี้เสียแล้ว” เสียงนุ่มลึกของซ่านจินจื๋อดังออกมาจากลานสนาม
กู้อ้าวเวยมองดูใกล้ ๆ เห็นซ่านจินจื๋อและซ่านเชียนหยวนนั่งอยู่ที่โต๊ะหินในสวน นอกจากนี้ยังมีของทานเล่นหลายจานและสาเกว่างอยู่บนโต๊ะ ฝูงชนที่อยู่ข้างหน้าล้วนดึงดาบยาวออกมา
เฉิงยีเฉิงเอ้อล้มลงต่อหน้านางอย่างหนักพลางเอ่ย “พระชายา”
“ท่านอ๋อง นี่ท่านจะประหารข้าหรือ?” ใบหน้าของกู้อ้าวเวยเคร่งขรึมในทันที นางก้าวเข้าไปในควัน เดินผ่านฝูงชนและนั่งลงที่โต๊ะหิน ดวงตาของเธอลุกไหม้ “ไม่รู้ว่าครั้งนี้ข้าทำอะไรผิดพลาดอีก? เหตุใดจึงมีการสู้รบครั้งใหญ่เช่นนี้ ”
ฉีหลินก็เดินเข้าไปอย่างกล้าหาญ เฉิงยีเฉิงเอ้อปิดประตูลง ตะเกียงของร้านยาเหย้าก็ถูกดับลงจนหมดสิ้น
แต่ทว่าซ่านจินจื๋อกระแทกถ้วยชาในมือของเขาจนแตก น้ำชาไหลนองออกมา “เหตุใดเจ้าจึงต้องก่อเรื่องทุกอย่างไว้ในร่างกายของเจ้า? นำตัวฉีหลินกลับมาอยู่ด้วย ข้าก็อุตส่าห์ทำเป็นเปิดตาข้างหนึ่งแล้วปิดอีกข้าง แต่ทว่าวันนี้เจ้ากลับกล้าเข้าไปในจวนฉีในเวลากลางคืน เจ้าต้องการช่วยให้ฉีหลินได้สูตรลับของสำนักเยียนหยู่เก๋อและช่วยให้ฉีหลินเป็นเจ้าของจวนในอนาคตหรือ?
“ข้าไปที่จวนฉีเพื่อช่วยรักษาพี่สาวที่สองของฉีหลิน” กู้อ้าวเวยจ้องมองเขา