ตอนที่ 59 เจ้าคือตัวซวย
“อื้อ อืออื้อ!”
ร่างกายของซ่านเซียนหยวนตึงเครียดไปหมดและอยากจะยกตัวท่อนบนแต่ก็ทำไม่ได้
เส้นเลือดบนขมับปูดออกมาและตาขาวก็ปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดฝอย เฉิงเอ้อใช้แรงจับตัวเขาจนเกือบหมด ซ่านเซียนหยวนใช้จังหวะนั้นยกมือขึ้นและกำเข้าที่หลังมือของกู้อ้าวเวยไว้
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วและเฉิงเอ้อที่เห็นก็รีบเข้ามา “เฉิงเอ้อ เปลี่ยนตัว!”
“ได้” เฉิงเอ้อเหงื่อไหลท้วมตัวทั้งสองคนเปลี่ยนตำแหน่งกันจับตัวซ่านเซียนหยวนใหม่
ระหว่างทางจนถึงตำหนักอ๋อง กู้อ้าวเวยก็ปากซีดเช่นเดียวกัน ซ่านจินจื๋อรีบพาเมี่ยวหารมาและให้เมี่ยวหารเข้าไปจับชีพจร
“เพี๊ยะ…” กู้อ้าวเวยปัดฝ่ามือของเขาออกไป สายตาเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งมองจรดปลายนิ้ว “จะติดพิษ”
เมี่ยวหารลดมือลง ดวงตาของกู้อ้าวเวยเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนพร้อมกับมุมปากอันสั่นเทา ทำได้เพียงสั่งการให้เฉิงยี เฉิงเอ้อพาเขาไปวางไว้บนแผ่นหินทั้งคำสั่งและยาพ่นออกจากปากไม่หยุด
ซ่านจินจื๋อก้าวไปลากตัวกู้อ้าวเวยออกมา ทว่ากู้อ้าวเวยก็ยังคงใช้สายตาอันเย็นชาไร้ความรู้สึกมองไปยังเขา “พิษนี้อาจลุกลามอย่าไปแตะต้องเขา”
ในเวลาต่อมา กู้อ้าวเวยก็หยิบยาสมุนไพรเอาเข้าปากและสั่งให้หยินเชียวไปหยิบขวดยาจากในห้องของนางและกรอกใส่ปากของซ่านเซียนหยวน
และแผลที่หลังมือเลือดก็หยุดไหลไปแล้วแล้วด้วย กู้อ้าวเวยโล่งอกไปได้เปราะหนึ่งจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยาและคายยาสมุนไพรออกมาและทายยาเม็ดถอนพิษพลางกับมองไปที่ปลายนิ้วมือของตัวเอง
โหวเซ่อคนนั้นประมาทไม่ได้เลยจริง ๆ
คาดไม่ถึงว่าพิษนี้จะสามารถลุกลามไปตามผิวหนังได้ ถ้าหากว่าตอนนั้นนางไม่รีบเคี้ยวสมุนไพรเกรงว่านางคงจะหมดสติตรงนั้นไปเสียแล้ว
มีคนอยากจะเดินมาทางนี้นางนั้นรีบยกมือห้ามไว้ “บอกแล้วว่าอย่ามาจับข้า ให้องค์ชายสี่นอนพักสักครู่ ขาทานยาถอนพิษไปแล้วจะฝังเข็มให้เขา ถ้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาก็ไล่ออกไป อย่าให้มาขวางข้า”
เมี่ยวหารสีหน้าเคี้ยวไม่ได้คายไม่ออก “ข้าช่วยท่านได้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเอาเข็มมา จากนั้นจำไว้อย่าลืมทานนาถอนพิษ” กู้อ้าวเวยมองด้วยสายตาเย็นชาพลางหยิบเข็มออกมาจากกระเป๋าเอวไว้ให้เขาถือ ขณะที่นางเดินไปทางเฉิงยี เฉิงเอ้อพร้อมกับยื่นยาถอนพิษให้ทาน
แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าพิษนี้มันลุกลามด้วยวิธีใดกัน
ปลายนิ้วมือของนางเริ่มกลายเป็นสีม่วง ทางด้านซ่านจินจื๋อก็ไล่คนที่เหลือออกไปและตั้งใจดูกู้อ้าวเวยอย่างใจจดใจจ่อ
รอจนกู้อ้าวเวยและเมี่ยวหารทั้งสองคนถอนพิษออกจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยก็ผ่านแล้วสองชั่วยาม
กู้อ้าวเวยเช็ดเหงื่อที่ขมับออกยังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็เกิดเจ็บตรงคอขึ้นมา ซ่านจินจื๋อจับเข้าที่คอของนางอย่าโหดเหี้ยมลากนางจนตกไปข้างๆภูเขาเทียม นางเจ็บท้ายทอยไปหมดพร้อมกับเกิดอาการวิงเวียนไม่มีกระทั่งแรงที่จะยื่นมือไปจับข้อมือของซ่านจินจื๋อไว้
“ท่าน……ท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!”
“เจ้าจากนี้ห้ามเข้าใกล้หยวนเอ๋ออีก!” เหตุผลของซ่านจินจื๋อทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว เขาดึงมือกลับมาและพูดต่อว่า “ตั้งแต่เจ้ามายังตำหนักอ๋องนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่เกิดเรื่อง!”
“แค่กแค่ก….” กู้อ้าวเวยจับคอของตัวเองและไอออกมาพลางมองซ่านจินจื๋อย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านคิดว่าข้าเป็นตัวซวยอย่างนั้นหรือ?”
นางเพิ่งจะช่วยชีวิตซ่านเซียนหยวนไปนะ!
“เจ้าไว้แค่ว่า จากนี้ไปเจ้าเป็นเพียงแค่หมากตัวนึงของข้าเท่านั้นก็พอ ไม่ว่าจะพ่านเอ๋อหรือ หยวนเอ๋อ ต่อจากนี้ไปเจ้าห้ามเข้าใกล้พวกเขาอีก” ซ่านจินจื๋อเดินไปยังข้างซ่านเซียนหยวนและแบกเขาขึ้นหลัง
กู้อ้าวเวยพิงอยู่กับภูเขาเทียมพลางมองไปทางเขา “ทำไมท่านเป็นคนที่สับปลับเช่นนี้ ถูกผิดแยกแยะไม่ได้หรือ? คนที่กระตุ้นคนของโหวเซ่อคือข้าแต่คนที่ลากข้าเข้ามาก็คือท่าน”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้านำภัยพิบัติมาสู่พ่านเอ๋อหรือหยวนเอ๋ออีก” ซ่านจินจื๋อหลบสายตาของนางและจากไปพร้อมกับแบกซ่านเซียนหยวนจากออกไป
เมี่ยวหารตามออกไป เฉิงยี เฉิงเอ้อกลับยืนอยู่ที่เดิมและมองไปทางซ่านเซียนหยวนอย่างหดหู่
กู้อ้าวเวยนวดขมับอันเจ็บปวดของตัวเองเบา ๆ ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าปัญหาของซ่านจินจื๋ออยู่ตรงไหน
เขานั้นสุดโต่ง ลำเอียงดื้อรั้น ไร้เหตุผล
อีกหลายๆอย่าง
กู้อ้าวเวยลุกพรวด ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้จับชีพจรของซ่านจินจื๋อและเขายังแสดงออกมาแบบนั้นนอกจากปัญหาทางจิตใจและก็เหลือเพียงพิษในร่างกายของเขาเท่านั้น
บางทีนางอาจจะต้องหาเวลาไปจับชีพจรซ่านจินจื๋อ
ทว่าตอนนี้อารมณ์ของนางนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไรนักนางเพียงแค่รับกลับไปยังวิหารเฟิ่ง-หมิงอุ้มเจ้าพุทราออกมา จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังร้านยาเหย้า
ฉีหรัวอยู่ที่ร้านยาเหย้ากำลังทำแป้งน้ำสีชาด แต่ที่จริงกำลังเขียนยาที่ประกอบตามตำรายาอยู่ เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยกำลังอุ้มเจ้าพุทราอย่ามาจากไกล ๆ ใบหน้านั้นซีดขาวและรีบทักทายต้อนรับ “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร เพียงแค่เหนื่อยจากเรื่องที่ตำหนักอ๋องนิดหน่อย ก็เลยกลับมาที่นี่สักสองสามวัน” เพราะอย่างไรก็ตามว่าซ่านจินจื๋อนั้นไม่อยากให้นางเข้าใกล้ซ่านเซียนหยวนกับซูพ่านเอ๋อนี่มันขับไล่กันเห็น ๆ
“ฟังดูดี ข้าให้คนไปโรงเตี๊ยมซื้อกับข้าวกลับมา” ฉีหรัวพูดพลางประคองให้นางนั่งลง เมื่อเห็นเฉิงยีและเฉิงเอ้อมานั่งประจำนี่ฉีหรัวก็ยิ้มออกมา “ท่านจำศีลไม่กี่วัน พิษในร่างกายถอนออกหมดหรือยัง?”
“คืนเมื่อวานก็เหมือนจะเตรียมใบสั่งยาไว้ อยู่ที่ร้านยาเหย้าถอนพิษสักสาองสามวันละกัน” กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาเบาๆจากนั้นก็หยิบใบสั่งยาที่ฉีหรัวเขียนออกมาดู พิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้แป้งน้ำสีชาดกลายเป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพออกมา
ทั้งสองคนไม่ใช่คนเกียจคร้านเมื่อทานอาหารจนอิ่มก็รีบแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ฉีหรัวก็ไปทำแป้งน้ำสีชาดด้วยตนเอง ส่วนกู้อ้าวเวยก็จำศีลตัวเองเพื่อถอนพิษใหม่อย่างเงียบสงบ
แต่ในด้านตำหนักอ๋อง ซ่านเซียนหยวนเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินข่าวของกู้อ้าวเวย
จึงได้สอบถามอย่างละเอียดก็ได้ทราบว่าซ่านจินจื๋อไม่อนุญาตให้เขาและซูพ่านเอ๋อเข้าใกล้กู้อ้าวเวย ฉับพลันก็พลิกตัวลงจากเตียงสวมเสื้อผ้าง่ายๆและออกไปหาซ่านจินจื๋อด้วยความโมโห “ถ้าหากไม่ใช่พระชายา ข้าก็อาจจะตายไปแล้ว”
ซ่านจินจื๋อตบโต๊ะด้วยความโมโหจากนั้นก็เดินไปจับเสื้อของเขา “ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เจ้าก็คงไม่โดนคนของโหวเซ่อโจมตี หยวนเอ๋อ ข้าจะทนให้เจ้าไปมีอันตรายได้อย่างไรในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าเป็นครอบครัวของเจ้า”
เป็นครั้งแรกที่เขาปัดมือของซ่านจินจื๋อออก ซ่านเซียนหยวนถอยหลังไปสองสามก้าว “ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดคนที่คอยติดตามข้าออกไป อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพวกเขามาช่วยไหม?”
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วยังไม่ทันได้พูดอะไร ซ่านเซียนหยวนก็หมุนตัวเดินออกไปทำให้เขาจนปัญญาที่จะทำอะไรต่อไป
เฉิงซานที่ยืนอยู่ข้าง ๆดินขึ้นมาพลางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จะบอกว่าบังเอิญคนพวกนั้นน่าจะตามไป ทว่าเรื่องที่พระชายาถูกโจมตีพวกเขากลับไม่อยู่”