บทที่ 106 คำสั่งพระชายาจิ้ง
“เวยเอ๋อร์ วันนี้พวกเราไปโรงละครงิ้วดีหรือไม่?” ซ่านจวนฮ่าวนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เข้ามาปลุกนางให้ตื่น กู้อ้าวเวยที่เพิ่งตื่นมาเมื่อกี้นี้ พลิกตัวอย่างหงุดหงิด นางจะไม่แปลกใจที่เห็นซ่านจวนฮ่าวเข้ามาทางหน้าต่าง เพียงแต่เมื่อคืนนี้นางนอนดึกมาก พระอาทิตย์ด้านนอกก็เพิ่งจะขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ นางจึงไม่ลุกจากเตียงนอนเด็ดขาด
ซ่านจวนฮ่าวยกยิ้มมุมปาก บ่าวรับใช้หลายคนก็เข้ามาข้างๆ เขา ทำความเคารพแล้วพูดว่า “องค์ชายหก พระชายาจิ้งยังไม่ตื่น อย่าเพิ่งรบกวนนางจะดีกว่าเพคะ”
“เวยเอ๋อร์ยังไม่ถือสาข้า พวกเจ้าก็อย่ามากวนโมโหให้ข้าอารมณ์ไม่ดี” เมื่อซ่านจวนฮ่าวเห็นเหล่าบ่าวรับใช้ แววตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในชั่วพริบตา บ่าวรับใช้หลายคนย่อมไม่กล้าจะพูดอะไรมาก จึงทำได้แค่ผลักชิงต้ายให้เข้ามา ชิงต้ายเองก็เป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว ผลักประตูออกอย่างไม่สนใจใคร แล้วยกน้ำสะอาดเข้ามา ทั้งช่วยกู้อ้าวเวยจัดหนังสือบนโต๊ะที่ยุ่งเหยิงหลังจากที่นางอ่านเสร็จแล้วเมื่อคืนนี้ให้เป็นระเบียบ นางทำตัวยุ่งอยู่กับงานตลอด แต่ก็ทำเหมือนมองไม่เห็นซ่านจวนฮ่าว หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม กู้อ้าวเวยก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย เมื่อนางขยี้ตาก็พบว่ามีคนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของนาง “ท่านมานั่งตรงนี้ได้อย่างไร?”
“ข้านั่งมาสองชั่วยามแล้ว” ซ่านจวนฮ่าวหัวเราะคิกคักเบาๆ ชิงต้ายนำชุดที่เลือกให้กู้อ้าวเวยมาวางไว้ด้านข้างนานแล้ว จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะของนางเบาๆ “ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา เดี๋ยวให้คนทำอะไรอร่อยๆ มาให้เจ้ากิน”
ถูกเจ้าเด็กขนเหลืองนี่ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นเด็ก กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ” องค์ชายหกผู้นี้ยังมีมุมน่ารักอยู่ไม่น้อย
นางเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วกินข้าวเสร็จในเวลาไม่นาน ซ่านจวนฮ่าวที่รอนางกว่าสองชั่วยามในเช้านี้ กลับหายไปไม่เห็นเงา เขาบอกว่ามีธุระที่ต้องไปทำ แต่กลับเป็นกู้เหยียนจือที่ถือดาบเดินเข้ามาแทน ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลนตม
“เป็นอะไรไป? มีคนรังแกเจ้างั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยรีบลุกขึ้นมา เอาผ้าให้เขาเช็ดหน้าให้สะอาด
กู้เหยียนจือที่แข็งทื่อเหมือนก้อนหิน ผ่านไปนานถึงเอ่ยปากว่า “ช่วงนี้ในเทียนเหยียนมีพ่อค้ามนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง ข้าออกไปเมื่อเช้าและเห็นเข้าแต่ไม่ชัดเท่าไหร่ ใครจะรู้ว่าพอออกจากเมืองแล้วข้าจะไม่รู้เส้นทาง ระหว่างทางข้าถูกทำร้าย เลยกลิ้งลงมาจากบนเขา ”
“ที่เทียนเหยียนมีพ่อค้ามนุษย์ด้วยงั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยรู้สึกตกใจ มือทั้งสองข้างก็กดไหล่กู้เหยียนจือให้เขานั่งลง ชิงต้ายก็รีบนำถ้วยและตะเกียบเข้ามา แล้ววางลง
บนมือของกู้เหยียนจือยังมีโคลนตมเปื้อนอยู่ จึงเกรงใจที่จะหยิบชามกับตะเกียบ กู้อ้าวเวยจึงนึกขึ้นมาได้ว่ากู้เหยียนจือโตขึ้นมาในเมืองเล็กๆ ตั้งแต่มาที่เทียนเหยียนก็เกรงใจกับทุกอย่างไปหมด ปกติจะไม่ออกไปไหน เขามักจะกลัวหัวหดอยู่ในตำหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากู้จี้เหยาจะปลูกฝังมารยาทอะไรพวกนั้นให้เขาหรือไม่
กลับเป็นนางพี่สาวผู้นี้ที่ละเลยเขาเอง นางจึงใช้ผ้าจุ่มน้ำสะอาด แล้วเอามาเช็ดมือของเขาให้สะอาด อีกทั้งยังช่วยเขาดึงแขนเสื้อขึ้นมาอย่างไม่สนใจใคร แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องจิ้งไม่อยู่ ไม่ต้องสนใจกฎระเบียบหรอก”
“แต่ว่าท่านพี่รองบอกว่า…”
“ไม่ต้องไปใส่ใจ คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง อยู่บ้านตัวเองอยากทำอะไรก็ทำ หากเจ้ายังคิดจะไปไล่ตามพ่อค้ามนุษย์ พอเจ้าแสดงป้ายคำสั่งก็จะมีคนไปกับเจ้าด้วย ทำเช่นนี้ถึงจะปลอดภัย” กู้อ้าวเวยหยิบป้ายแขวนเอวประจำจวนอ๋องที่อยู่ตรงเอวของตนออกมา ก้มตัวลงแล้วใส่มันเอาไว้ตรงเอวของเขา
กู้เหยียนจือยิ่งเกรงใจมากกว่าเดิม หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก เขาต้องการจะไปตามหาพ่อค้ามนุษย์พวกนั้น
“ชิงต้าย ถ้าวันปกติเจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปอยู่เป็นเพื่อนกู้เหยียนจือ อย่าให้กู้จี้เหยาสอนกฎระเบียบของเทียนเหยียนหรือกฎระเบียบของตำหนักอ๋องให้เขา กฎระเบียบพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น อยู่ในตำหนักไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทำ” กู้อ้าวเวยจัดระเบียบกระเป๋าคาดเอวให้เรียบร้อยพร้อมกับพูดขึ้นมา
“หากไม่มีกฎระเบียบก็ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ ให้เขาเรียนรู้กฎระเบียบมากๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเขาหรือเพคะ?” ชิงต้ายกล่าว
“เดิมทีเมืองเทียนเหยียนแห่งนี้ก็กำหนดกฎระเบียบมากมายอยู่แล้ว หากยังต้องมาปฏิบัติตามกฎระเบียบในตำหนักอีก เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ” กู้อ้าวเวยยิ้มออกมาอย่างจนใจ ใส่กระเป๋าคาดเอวเตรียมตัวไปที่ร้านจี้ซื่อถาง
เมื่อไม่กี่วันก่อนซ่านจวนฮ่าวเพิ่งจะออกจากตำหนักอ๋องไป เห้อจิ้นหล่างก็ส่งจดหมายมาให้นาง
บอกว่าหมอที่บ้านริมน้ำโล่เสียถูกกักตัว ตอนที่ท่านอ๋องจิ้งจากไปก็พาหมอที่จี้ซื่อถางไปด้วยไม่น้อย หวังว่ากู้อ้าวเวยจะมีเวลามาช่วยเป็นหมอประจำที่ร้าน เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านหมอเห้อจิ้นหล่างเตือนสติกับตน นางย่อมต้องรับปากเขา เพียงแค่หลายวันมานี้ยังไม่สามารถปลีกตัวไปได้
โชคดีที่ช่วงนี้ลี่วานรู้แล้วว่าตนต้องจัดการกับตำหนักใหม่ขององค์ชายสี่อย่างไร นางถึงได้มีเวลาว่างไปที่จี้ซื่อถาง
“งั้นข้าไปร้านจี้ซื่อถางก่อนนะ” กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบาๆ จากนั้นก็เรียกกุ่ยเม่ยให้มาอยู่ข้างๆ แล้วเดินไปที่ร้านจี้ซื่อถาง
ยังไม่ทันจะเข้าไปที่จี้ซื่อถาง ก็เห็นคนกำลังล้อมอยู่ตรงประตูพากันวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างอยู่
กู้อ้าวเวยรู้สึกแปลกใจมาก หรือว่าที่จี้ซื่อถางจะสั่งยาผิดจนทำให้คนตาย? เมื่อนางคิดถึงตรงนี้แล้ว นางก็แทรกเข้าไปในกลุ่มฝูงชน แต่คิดไม่ถึงว่าในนั้นกลับเป็นว่านฟางที่คุกเข่าอยู่ นางสวมเพียงชุดผ้าป่านชุดหนึ่ง หน้าผากของนางก็ถูกกระแทกจนแตก น้ำตาบนหน้าของนางก็ไหลมารวมกัน “นายท่านหมอเห้อ ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยู่ที่เมืองเทียนเหยียนแห่งนี้ก็ไม่มีใครที่ข้าสามารถพึ่งพาได้แล้วจริงๆ ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น”
“ต่างก็บอกว่าท่านหมอเห้อจิ้นหล่างผู้นี้ใจบุญมีเมตตา เหตุใดถึงไม่ช่วยเหลือสตรีผู้นี้”
“เจ้าพูดล้อเล่นอะไรกัน ท่านหมอเห้อสามารถช่วยคนรักษาโรค จะสามารถตามหาลูกนางให้กลับมาได้อย่างไรกัน นี่ไม่เท่ากับว่าทำให้ท่านหมอเห้อลำบากเปล่าๆ หรือ”
ชายสองคนที่ปากมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ กู้อ้าวเวยจึงนึกถึงเรื่องพ่อค้ามนุษย์ อีกทั้งยังนึกได้ว่าว่านฟางที่ปกติจะออกไปทำงานหาเงินข้างนอกเป็นประจำ เด็กทั้งสองคนนั้นจึงต้องอยู่ในบ้าน…
พ่อค้ามนุษย์พวกนี้ ไม่สมควรได้รับการอภัยให้จริงๆ
นางกำลังจะเดินเข้าไป กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างๆ จึงดึงนางเอาไว้ พูดเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้องค์ชายสามได้ส่งคนไปจัดการแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่องค์ชายหกกลับมาเมื่อตอนเที่ยงก็น่าจะต้องการแก้ไขเรื่องนี้เช่นกัน พระชายายื่นมือเข้าไปแทรกจะเป็นอันตรายเปล่าๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
มิน่าล่ะจู่ๆ ซ่านจวนฮ่าวก็หายไป
นางจึงดึงมือกลับมา กู้อ้าวเวยจึงล้วงเอาผ้าคลุมหน้าในกระเป๋าคาดเอวมาใส่ ก่อนที่คนในร้านจี้ซื่อถางจะเดินมาข้างๆ ว่านฟาง นางจึงเข้าไปพยุงสตรีผู้นั้นให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างหนัก ก็พยุงนางเข้าไปในร้านจี้ซื่อถาง คนในร้านที่คุ้นเคยกับกู้อ้าวเวยแม้จะมีผ้าคลุมหน้าปิดเอาไว้ก็สามารถจำนางได้ จึงเชิญทั้งสองเข้ามาในห้องที่ถูกกั้นเอาไว้
“พระชายา…ได้โปรดช่วยลูกหม่อมฉันด้วยเพคะ…”
“มีคนไปแก้ไขเรื่องนี้แล้ว หากไม่มีอะไรเหนือการคาดหมาย ก็จะรู้ผลในอีกไม่กี่วัน” กู้อ้าวเวยถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้เจอหน้าว่านฟางเป็นเวลานาน นางกลับผอมลงไปมาก นางเองก็หมดหนทางจะแก้ไข เพียงช่วยทำความสะอาดแผลบนหน้าผากให้นาง
“ครั้งที่แล้วหม่อมฉันก็ไปที่ตำหนักอ๋อง…แต่ว่า คนพวกนั้นกลับไม่ให้หม่อมฉันเข้าไป หม่อมฉันที่จนปัญญาแล้วจึงได้…” ว่านฟางร้องไห้ไปอธิบายไป
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วมุ่น หัวใจของนางเหมือนถูกอะไรบางอย่างจับเอาไว้จนทำให้เป็นทุกข์
นางล้วนลืมไปแล้วว่าตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้เป็นสถานที่อะไร บ้านฉีหลินที่ร่ำรวยมหาศาลก็ยังเข้าไปไม่ได้ ว่านฟางที่ชีวิตระหกระเหินทางบ้านยากจนก็ย่อมเข้าไม่ได้เช่นกัน มีเพียงคนที่มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
นางเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่นางรักษาผู้คนจนหามรุ่งหามค่ำ
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ เจ้าทำอย่างนี้ก็มีแต่จะทำให้ท่านหมอเห้อจัดการอะไรลำบาก” กู้อ้าวเวยปลอบใจนาง พร้อมกับมองกุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างๆ “ใช้คำสั่งของอ๋องจิ้งระดมกำลังพลให้ออกไปตามหา”
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้…”
“เช่นนั้นตำแหน่งของพระชายาจิ้งก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้วกระมัง ส่งคนออกไปเดี๋ยวนี้” กู้อ้าวเวยที่ไม่เป็นอันตรายกับใครยิ้มออกมา กุ่ยเม่ยลังเลยครู่หนึ่ง แต่ก็ทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น