ตอนที่112 เลือดถ้วยเดียว
ซ่านจินจื๋อนานแล้วที่ไม่ได้ฝัน
ในฝันมือเล็กๆที่อบอุ่นของซูพ่านเอ๋อไม่ใช่มือคู่เดิมที่เขาเคยกุมไว้ในฤดูหนาว และไม่ใช่กลิ่นอายแห่งความตายในทะเลทราย ยิ่งไม่ใช่เลือดอุ่นที่ไหลรินในสนามรบ
มันเป็นเพียงแผ่นหลังที่เลือนรางของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยที่ปรากฏอยู่ในฝันนั่งเงียบๆที่มุมโต๊ะ กำลังพลิกหน้ากระดาษหนังสือในมือ และนางกำลังหมกมุ่นกับตัวอักษรที่อัดแน่นในหนังสือ ละอองฝนตกลงมานอกชายคา ภาพตรงหน้าทำลายกำแพงหัวใจที่แข็งกระด้างของเขาอย่างเงียบๆ
ในตอนท้ายของความฝันคนที่อ่านหนังสือทางการแพทย์เสร็จแล้วยิ้มและยืนขึ้นปล่อยให้เขากลับไปเหงาอีกครั้งท่ามกลางละอองฝนที่ตกลงมา เสียงของนางทะลุผ่านเข้าสู่หูของซ่านจินจื๋อโดยตรง :”มีคนกำลังรอข้าอยู่”
มีคนถือร่มให้นางในสายฝน และใบหน้าด้านข้างของนางถูกย้อมด้วยความสุข
คนที่รอนางไม่ใช่ข้า
ความเงียบสงบทั้งหมดถูกห่อหุ้มอยู่ในความมืดและเสียงฝนตกหนักที่กระทบชายคาทำให้ตื่นจากฝัน
ซ่านจินจื๋อลุกนั่งบนเตียง นอกหน้าต่างยังมืดอยู่โดยไม่มีฝนตกชุกที่รบกวนจิตใจเหมือนในความฝัน และไม่มีกู้อ้าวเวยนั่งอยู่ที่หน้าต่างอย่างเงียบ ๆ เขาลุกจากเตียงอย่างกระวนกระวาย
ในไม่ช้าเฉิงซานก็ได้ยินความเคลื่อนไหวและมาที่ประตูแล้วก็กระซิบว่า “ท่านอ๋องต้องการรับสั่งอะไร?”
“ตักน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมัง”เขาใส่รองเท้าแล้วยืนขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมพัดความฝันของเขาให้จางหายไป
นี่ไม่เรียกว่าฝันดี แต่ก็ไม่ใช่ฝันร้าย
เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยเห็นด้านเงียบของกู้อ้าวเวย นางเป็นคนโหวกเหวกโวยวาย ทำอะไรมักจะรีบร้อน มีเพียงวันนี้ที่นางลงมือต่อสู้กับท่านอ๋องผู้ไม่มีใครกล้าแตะต้อง หลั่งน้ำตาเพื่อเด็กๆพวกนั้น และนางยังบอกว่าชอบความรู้สึกที่ถูกซ่านเซิ่งหานรอ
ปล่อยนางไปไม่ได้
ในใจมีใครคนหนึ่งเรียกร้อง เขารับกะละมังน้ำจากมือเฉิงซานด้วยท่าทีหงุดหงิด แล้วกวักน้ำล้างหน้า จึงจะลบเลือนสิ่งที่ไม่ควรคิดเหล่านั้นออกจากสมองได้ เขานั่งลงอีกข้างอย่างไม่มีความอดทน “หลายวันนี้พระชายาอยู่ในตำหนักทำอะไรบ้าง”
“ข้าจะเรียกกุ่ยเม่ยมา”เมื่อได้ยินดังนั้นเฉิงซานเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นกุ่ยเม่ยก็มาถึงข้างกายซ่านจินจื๋อและได้บอกเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมารวมถึงคำสารภาพที่แสดงได้ดีและสถานการณ์ช่วงที่ปรึกษากันได้เกิดสงครามเล็กๆระหว่างซูพ่านเอ๋อกับกู้จี้เหยา
ดูแล้วหู้ปู้เซ่อหลาง(ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงิน)จะไม่รู้จักหนักเบา” ซ่านจินจื๋อทำหน้าเยือกเย็นพูดต่อว่า ”รอหู้ปู้เซ่อหลางเข้ามาขอโทษเป็นการส่วนตัวนอกจากนี้ไปบอกกู้จี้เหยาสำหรับสถานะอย่างนางในตำหนักนี้ยังไม่ถึงขั้นที่นางจะสู้กับใครโดยให้นางนำเสื้อผ้ากลับมาจากโรงยาด้วยให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินเรื่องของโหวเซ่อ”
เฉิงซานขมวดคิ้ว
นี่ไม่ใช่ปกติของซ่านจินจื๋อ
ถ้าเป็นปกติซ่านจินจื๋อจะไม่แก้ปัญหาของสองพระชายาเป็นอันดับแรก แต่จะจัดการปัญหาระหว่างซูพ่านเอ๋อกับกู้จี้เหยาก่อน ความรู้สึกแปลกแบบนี้เขาไม่พูดออกไปเพียงพยักหน้าและให้เรื่องเหล่านี้ดำเนินต่อไป
กุ่ยเม่ยหันหลังกำลังจะเดินออกแต่ซ่านจินจื๋อพูดดักหยุดเขาไว้ ”องค์ชายหกได้สั่งคนตามพระชายาแล้วหรือไม่?”
“สั่งแล้ว แต่ลูกน้องไม่ได้สนใจหรือถามอะไร”กุ่ยเม่ยพยักหน้าหลายวันนี้คนที่ติดตามกู้อ้าวเวยมี3-4คนปกติจะซ่อนตัวลึกลับน้อยมากที่จะปรากฏตัว
“เจ้ารู้เรื่องก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างองค์ชายหกและพระชายาหรือไม่?” ซ่านจินจื๋อได้ถามขึ้นอีกคำถาม
วันนี้ได้ไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น เป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ว่าซ่านเซิ่งหานอารมณ์ร้อนเหมือนวัยรุ่นไม่เคยเกรงกลัวฟ้าดิน แต่วันนี้เขากล้าพูดต่อหน้าว่าจะรอกู้อ้าวเวย เช่นนี้ดูแล้วจะมีการเคลื่อนไหวจริง
“ดูเหมือนว่าพระชายายังจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับองค์ชายหก”กุ่ยเม่ยตอบ
“ส่งคนไปตรวจสอบ และเตือนน้องชายหกให้ปล่อยตัวเขาไปหรือไม่ก็ฆ่าซะ” ซ่านจินจื๋อโบกมือไล่ กุ่ยเม่ยเข้าใจความหมายและเดินจากไป ซ่านจินจื๋อไม่คิดจะนอนต่อจึงนั่งลงดูเอกสารราชการที่สั่งสมมาหลายวันนี้
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง
กู้อ้าวเวยลุกจากเตียงหลังจากได้งีบเพียงสักครู่ แล้วได้เปลี่ยนชุดใหม่ที่สะอาด แล้วเดินไปที่ครัวหยิบอาหารเช้า ปล่อยชิงต้ายดูแลกู้เหยียนจือตามลำพังแล้วนางก็เดินจากไปคนเดียว
กุ่ยเม่ยเดินตามนางหลังจากที่นางเดินออกจากประตู
กู้อ้าวเวยไม่สงสัยไม่ได้ถามอะไร แค่เดินมาถึงถนนที่คนจนอาศัยอยู่ รถม้าได้จอดถนนที่คุ้นเคยมาถึงบ้านของว่านฟาง มองตรงเข้าไปเห็นว่านฟางกำลังปิ้งข้าวอยู่บริเวณลาน จึงผลักประตูลานเดินตรงเข้าไปและวางห่อข้าวที่ถือติดมือมาด้วยลง: “ลูกสองคนคงไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นอะไรต้องขอบคุณท่านอ๋องและองค์ชายหก………”ว่านฟางขอบคุณอย่างซาบซึ้งกู้อ้าวเวยได้แต่ฟังอย่างเงียบๆจนกระทั่งว่านฟางพูดจบ นางจึงพูดออกมาว่า”ฉันอยากไปตรวจชีพจรเด็กๆ”
“ได้ ตามข้ามา”ว่านฟางรีบเช็ดมือบนเสื้อแล้วจึงช่วยนางเปิดประตู
เด็กสองคนหลับสนิท กู้อ้าวเวยได้ตรวจอย่างเบามือ จึงรู้ว่าเด็กเพียงแค่หลับไปเท่านั้นดูแล้วร่างกายของเด็กๆขาดสารอาหาร: “ช่วงนี้ไม่ได้กินอาหารใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่ใช่ เงินที่เจ้าให้ไว้ก่อนหน้านี้ไม่รู้ถูกขโมยตั้งแต่ตอนไหนดังนั้นเลย……..” ว่านฟานรู้สึกอายที่จะพูด
กู้อ้าวเวยมองดูรอบๆคิดถึงเส้นทางที่เข้ามาที่แบบนี้จะมีคนแบบไหนอาศัยอยู่อย่างไม่สงสัยเลย
แต่ครั้งนี้นางไม่ได้จะใช้เงินของตัวเองช่วยเหลือนาง:”ช่วงนี้จี้ซื่อถาง(ร้านขายยา)ขาดคนเยอะ เจ้าลองไปดู”
“ข้าจะไป ครั้งนี้ขอบคุณท่านมาก”ว่านฟานพยักหน้าอย่างจริงจังกู้อ้าวเวยช่วยเขาไว้เยอะมากพอแล้ว
กู้อ้าวเวยอยู่ไม่นานก็เดินทางกลับตำหนักอ๋อง เมี่ยวหารวิ่งช้าๆมาที่ประตูวิหารเฟิ่งหมิง สีหน้าซีดเซียวแล้วพูดว่า: “พระชายาแม่นางพ่านเอ๋อล้มป่วยอีกแล้ว”
“อยากให้ข้าไปดูอาการของนางหรือ?” กู้อ้าวเวยถามโดยไม่รู้ตัว
“ต้องการ…..เลือดของเจ้ามาทำยาท่านคือลูกหลานตระกูลหยุน มีเลือดในร่างกายที่แตกต่างและสามารถรักษาอาการป่วยของแม่นางพ่านเอ๋อ” เมี่ยวหารพูดถึงจุดนี้แล้วจับคางแน่น
กู้อ้าวเวยวางมือทาบอกตัวเอง
ซูพ่านเอ๋อป่วยถูกจังหวะจริงๆ
“พ่านเอ๋อเป็นคนแบบไหนเจ้าไม่ต้องมาตัดสิน!”ซ่านจินจื๋อเดินพรวดพราดเข้ามา: “พ่านเอ๋อจะเอาเลือดของเจ้าเป็นเรื่องด่วน!”
ดูเหมือนว่าซ่านจินจื๋อจะกลับไปเป็นเหมือนวันที่กำลังแต่งงานเพื่อซูพ่านเอ๋อไม่สนใจมิตรภาพใดๆทั้งสิ้น
“ต้องมีวิธีอื่นสิ”ซ่านเซียนหยวนวิ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เอาแค่เลือดหนึ่งถ้วย”ซ่านจินจื๋อดึงซ่านเซียนหยวนไว้ เปล่งเสียงอย่างเยือกเย็น”เดี๋ยวนี้!”
กู้อ้าวเวยอยากพูดว่านางไม่ได้ป่วย นางเพียงแต่รู้สึกเจ็บคอแล้วหมดสติไป แต่เฉิงซานแทงมีดจากด้านหลังนาง”ปล่อยเลือดไหลเถอะ”