บทที่ 131 เห็นไม่ชัด
เซิ่นโหลวยามนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นนักฆ่า แต่นักฆ่าก่อนหน้าล้วนป้อนยามาตั้งแต่เด็ก ไม่ง่ายเลยที่จะวางพิษ
ทว่ายาย่อมมีพิษสามส่วน ท่านปู่สั่งสอนมาตั้งแต่ยังเยาว์ ว่าไม่ควรให้พวกเขาทานยาตั้งแต่ยังเล็ก
ดังนั้นคนสองกลุ่มก็จะแยกแยะออกได้อย่างง่ายดาย
“ระวัง” ซ่านจินจื๋อพาร่างนางถอยออกมาเล็กน้อยนางจึงค่อยได้สติ คนเบื้องหน้าเหล่านี้ที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนายังมีกำลังที่จะพุ่งโจมตีเขา
กู้อ้าวเวยพลิกจับข้อมือของซ่านจินจื๋อลุกขึ้นยืน การวัดชีพจรย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าหากว่าสาเหตุทางกายภาพคนของเซิ่นโหลวแก้คุณสมบัติของยาได้แล้วเกิดอันตรายขึ้นคงวุ่นวายเป็นแน่
นางจึงได้แต่นำยาพิษป้อนเข้าปากไป
คนเฝ้ายามหลายคนเห็นดวงตาหลายคู่กรอกตาขาวจนกระทั่งหมดสติไป จึงถกเถียงกันเบาๆ “พระชายาจิ้งไม่ใช่ว่าเป็นหมอผู้เมตตาหรอกหรือ? ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้”
“อย่าพูดส่งเดชสิ ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าพระชายาไม่ได้รับความโปรดปรานแต่ท่านอ๋องก็มาด้วยมิใช่หรือไง”
สองคนนั้นพูดดอะไรกันบ้างซ่านจินจื๋อล้วนได้ยินอย่างชัดเจน แต่กู้อ้าวเวยคล้ายว่าไม่ได้ยิน พลิกตัวนักโทษในเรือนจำไปมาอยู่นานสองนานจึงได้ล้วงเชือกหลากสีออกมาจากกระเป๋าแล้วมัดที่ข้อมือนักโทษเหล่านั้น “คนพวกนี้ถึงเวลาให้หม่อมฉันนำตัวไปที่โรงยาโดยตรงเพคะ”
“พวกมันอาจทำร้ายเจ้าได้” ซ่าจินจื๋อตามมาอยู่ข้างๆนาง
“ย่อมไม่สามารถ บนร่างของพวกมันได้วางยาพิษตระกูลหยุนไว้ซึ่งนั่นเป็นพิษจากที่ท่านปู่อาบย้อมไว้ในอดีต”ทันใดนั้นกู้อ้าวเวยก็นึกถึงตัวอักษร “หยุน”(เมฆ) บนกระดูกไหปลาร้าของตน
แต่ดูเหมือนพิษนี้จะไม่ได้ล้ำลึกเหมือนกับตนในอดีต
“คนกลุ่มนี้เป็นไปได้ว่าตระกูลหยุนวางยาพิษกดดันเพื่อช่วยเหลือชาวเจียงหู” กู้อ้าวเวยได้ให้คำตอบแต่ความเป็นจริงแล้วนางก็ไม่แน่ใจเท่าไรนัก ยังมีความเป็นไปได้ว่าตระกูลหยุนได้สืบทอดนางเด็กสาวผู้นี้เป็นทายาทแห่งตระกูลหยุน มีเจตนาทำร้าย
แต่ไม่จะด้วยเหตุใดนางต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน
“ถึงเวลาให้กุ่ยเม่ยนำคนไปเฝ้าแล้วกัน” ซ่านจินจื๋อได้ตอบตกลง กู้อ้าวเวยจึงทำการถอนพิษให้ทว่าคนที่ได้วางยาพิษตระกูลหยุนไว้มีเพียงห้าราย ยังมีคนที่คล้ายจะหลบหนีซึ่งกู้เหยียนจือกลับไม่ไล่ตาม คำนวณดูแล้วมีประมาณแปดราย
และไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั้นจะวกกลับมาได้ไหม
ค่ำนี้ได้กลับไปโรงยา ฉีหลินและหยินเชี่ยวกำลังกระโดดขึ้นลงเพื่อตามหาเจ้าแมว เมื่อเห็นซ่านจินจื๋อก็รีบเข้ามาต้อนรับคำนับด้วยความเคารพ
กุ่ยเม่ยคุมตัวคนทั้งห้าเข้ามาในห้อง เฉิงอี เฉิงเอ้อร์รับผิดชอบเฝ้ายาม
“ดึกป่านนี้แล้ว ท่านอ๋องกลับไปก่อนเถิดเพคะ” กู้อ้าวเวยทำท่าหาวอย่างเกียจคร้าน “วันพรุ่งท่านยังต้องจัดการงานสมรสขององค์ชายสี่ ยิ่งไปกว่านั้นงานแต่งของถงโจวดูเหมือนจะต้องให้ท่านกับเซียวไห่ช่วยเหลืออีกด้วยนะเพคะ”
ซ่านจินจื๋อพยักหน้า กำชับอีกหลายประโยคจึงจากไปอย่างเงียบๆ
รอจนซ่านจินจื๋อจากไป ฉีหลินกับหยินเชี่ยวถึงได้กล้าเข้ามาใกล้ “ท่านกับท่านอ๋อง…”
“ฮ้าววว ข้าง่วง ต้องไปนอนละ” กู้อ้าวเวยรีบฉวยโอกาสก่อนที่เจ้าขี้ซุบซิบสองคนนั้นจะถามต่อ หนีเตลิดพุ่งเข้าห้องทันที ทว่าสองคนนั่นยังคงล้อเลียนไม่หยุด
จากการที่หลับสงบตลอดคืนวันถัดมานางจึงตื่นแต่เช้า ตื่นขึ้นมาก็ได้ทานข้าวไปสองชามใหญ่ๆจึงค่อยลงมือปรุงยาตลอดจนกระทั่งถึงยามเที่ยง ถงโจวถึงได้พาคนในดวงใจมาพบเป็นครั้งแรกแถมยังหิ้วกล่องข้าวรสชาติดีมาอีกด้วย
หลังจากทำการรักษาไปหนึ่งรอบนางไม่รู้สึกอยากอาหารจึงเฝ้าการปรุงยา
คนในดวงใจของถงโจวชื่อว่าอวิ้นยินเป็นสตรีแสนสุภาพที่เรียบร้อยและอ่อนโยน เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงงานยุ่งอย่างกู้อ้าวเวย เลี่ยงไม่ได้ที่จะถาม “ยามนี้กล่าวกันว่าพระชายาจิ้งได้รับความโปรดปราน ทำไมจึงงานยุ่งเช่นนี้เพคะ?”
“ข้าก็แค่ทำงาน” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางนำยาสองห่อยัดเข้าที่อก อีกสามวันพวกท่านก็แต่งงานแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะไปมอบของขวัญดีๆให้ด้วยตนเอง”
อวิ้นยินหน้าแดง ส่วนถงโจวรีบพยักหน้ารับ
ถงโจวตามใจพาอวิ้นยินสังเกตรอบๆอย่างถ้วนทั่ว กู้อ้าวเวยเอาแต่หมกมุ่นกับสมุนไพรที่อยู่ในมือไม่สนใจฟังอะไร
กระทั่งสามวันให้หลังงานแต่งของถงโจวกับอวิ้นยิน กู้อ้าวเวยพาพร้อมกับซ่านจินจื๋อ ยามที่มองดูมงกุฎหงส์ของอวิ้นยินและถงโจวที่กำลังกราบไหว้ฟ้าดินด้วยแววตาอันสัตย์ซื่อ ราวกับคู่สวรรค์สรรค์สร้าง
ในความทรงจำของกู้อ้าวเวยกลับไม่มีรายละเอียดของวันที่เจ้าของร่างเดิมแต่งงาน ราวกับถูกฝังลงไปพร้อมกับตอนที่นางสิ้นชีวิต
ท่ามกลางแขกเหรื่อ ซ่านจินจื๋อได้กุมมือของนาง “เจ้านับวันยิ่งผ่ายผอม แม้แต่พ่านเอ๋อร์ยังเจ้าเนื้อกว่าเจ้าตั้งหลายส่วน”
ไม่เพียงเท่านี้ ซ่านจินจื๋อได้รู้สึกว่าปลายนิ้วเรียวของกู้อ้าวเวยไม่นุ่มเรียบเนียนอีกต่อไปแล้ว
กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้สลัดออก เพียงแต่กำลังมององค์ชายสี่และฉีหลินที่หัวเราะครึกครื้น หัวหน้าเซียวอยู่ข้างๆแทบทนรอไม่ไหวที่จะเข้าไปมอมเมา ถงโจวเองถูกกดดันดื่มไปหลายจอกกลับกลายเป็นความคึกคัก
มุมปากยกขึ้นเบาๆ กู้อ้าวเวยเพียงแต่มองดู ฉีหรัว ลี่วานพวกนางพูดคุยกันอย่างมีความสุข กู้เหยียนจือกำลังขอคำแนะนำวรยุทธ์จากกุ่ยเม่ยและเฉิงซาน หยินเชี่ยว ชิงต้ายร่วมกันเป็นลูกมือกับหญิงรับใช้ของสำนักเหยียนหยู่เก๋อ แม้แต่เห้อจิ้นหล่างกับหุ้นส่วนสองคนข้างกายก็ล้วนสรวลเสเฮฮา
ภาพฉากนี้คู่ควรแก่การจดจำ ทว่าในชั่วพริบตากู้อ้าวเวยได้จับมือของซ่านจินจื๋อไว้แน่น “ท่านอ๋อง ท่านว่าภาพที่เห็นอยู่นี้ หม่อมฉันจะได้เห็นอีกเมื่อใด?”
“หากเจ้าต้องการเห็นก็จะเป็นเช่นนี้ไปตลอด” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างไม่ตั้งใจ
กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะเบาๆพลางชักมือของตนถอยออกมา ยกจอกเหล้าในมือขึ้นดื่มคารวะซ่านจินจื๋อ
คำพูดของซ่านจินจื๋อกระทั่งเด็กสามขวบยังหลอกไม่ได้เลยมั้ง
ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นคนในหมู่หงส์มังกร โต๊ะข้างเคียงมีองค์ชายองค์อื่นๆนั่งอยู่หลายพระองค์ ด้วยพื้นหลังฐานะวันนี้ยังสามารถร่วมโต๊ะเดียวกันได้ ส่วนในวันหน้าตราบใดที่ไม่กลายเป็นศัตรูนับว่าน่ายินดี
กู้อ้าวเวยดื่มสุราไปหลายจอก ซ่านจินจื๋อคว้าเอวของนางเอาไว้ให้นางซบกับอกของตน ส่วนมืออีกข้างได้เขวี้ยงจอกสุราในมือของนางออกไป เซียวไห่ที่อยู่ข้างๆได้ฟุบไปก่อนแล้ว ฉีหลินและองค์ชายสี่จึงขยับเข้ามาใกล้ “ดูเหมือนท่านอ๋องจริงใจต่อพระชายาเป็นแน่แท้”
“เจ้าเมาแล้วล่ะ” ซ่านจินจื๋อลุกขึ้นยืนนำคนในอ้อมกอดขึ้นอุ้ม รอบข้างอึกทึกล้วนไม่มีใครชายตามองเห็น มีเพียงซ่านจวนฮ่าวที่มองจนลับตาจึงซัดอีกสองจอกด้วยความแค้นใจ
ขณะเซียวไห่มองดุเขาจากไป หัวเราะอย่างนึกขัน “ชีวิตอย่างกลุ่มราชวงศ์ยิ่งจริงใจมากเท่าไรยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น อ๋องจิ้งเอ๋ย ทำไมท่านมองไม่ออกเสียที”
“หัวหน้าเซียว! รีบดื่มต่อเร็วๆเข้า! ฉีหลินที่เมาแล้วฉุดรั้งเขาไว้เสียแน่น เซียวไห่หัวร่อเสียงดังหลายคราแล้วก็ดื่มต่อ
ซ่านจินจื๋อพากู้อ้าวเวยส่งถึงในห้อง คนที่อาการกึ่งเมาหลั่งน้ำตาด้วยความเลอะเลือน เพ้อเจ้อด้วยสติอันพร่ามัวว่าต้องครองเมืองเทียนเหยียน
กระทั่งวางร่างคนถึงที่เตียงถึงสงบลงได้บ้าง พลิกร่างกอดผ้านวมมุดศีรษะจนหลับไป ชิงต้ายที่ตามกลับมาพบสภาพจึงกล่าวกระซิบเบาๆ “เพื่อร่วมงานแต่งของแม่ทัพถงในวันนี้พระชายาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน”
“ไม่แปลกถึงได้ผ่ายผอมแบบนี้” ซ่านจินจื๋ออับจนปัญญาจึงสั่งชิงต้าย “อีกสักครู่ให้เฉิงซานนำฎีกาที่ยังเข้ามาด้วย”
ชิงต้ายดวงตาวาววับรีบทำตามรับสั่ง