บทที่ 129 สงสัยในตระกูลหยุน
ปลายนิ้วบนใบแก้มให้ความรู้สึกถึงรังไหมหนาๆที่อบอุ่น
ยามนี้ซ่านจินจื๋อปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ แต่นางกลับไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้ ตั้งแต่ที่องค์ชายหกปรากฎตัว ชั่ววินาทีที่มีดเล่มเล็กนั้นถูกวางไว้ในฝ่ามือนาง นับแต่นั้นนางไม่สามารถเชื่อในซ่านจินจื๋อได้อีก
แต่นางยังคงแนบกับหลังฝ่ามือของซ่านจินจื๋อพลางหรี่ดวงตา “ท่านอ๋องแทนที่จะอยู่ที่นี่พูดคุยกับหม่อมฉัน ไม่สู้คลี่คลายเรื่องราวจะดีกว่า อีกอย่างความรู้สึกอบอุ่นนี่ไม่เหมาะกับท่านและหม่อมฉันเท่าไหร่นัก”
“ก็จริง” เรียวนิ้วซ่านจินจื๋อวาดไปที่ติ่งหูนางหยอกล้อกับปอยผมสักพักจึงได้จากมาอย่างอาลัย
กู้อ้าวเวยกำลังมองซ่านจินจื๋อที่จากไปโดยทราบว่าเขาน่าจะไปตรวจสอบเบื้องหลังของคนสองกลุ่มนี้
แล้วนางก็นำมีดเล่มเล็กเหน็บไว้ที่รอบเอวอีกครั้ง สองพี่น้องตระกูลฉีไม่รู้ว่าพากู้เหยียนจือกับชิงต้ายไปไหน หลังจากซ่านจินจื๋อออกไปแล้วก็ยังไม่เข้ามา นางกระโดดขึ้นลงเดินวนเวียนจนพบเจ้าพุทราที่กำลังนอนกลางวันอยู่บนชั้นมากอด ไม่แปลกใจที่จะได้รับเสียงร้อง มาวมาว ที่แสดงความไม่พอใจอยู่หลายครา
นางลูบเจ้าขนสีเทาพลางหัวเราะเบาๆ “มีดเล่มนี้เรียกว่า เหลียนจื่อเกิง(น้ำแกงเม็ดบัว)”
ของสามสิ่งนี้ล้วนเป็นเขามอบให้นางด้วยความจริงใจ
และซ่านจวนฮ่าวก็คือแสงสว่างของนาง หากบอกว่าก่อนหน้าที่จะต่อกรกับซ่านจินจื๋อในแอ่งโคลนนี้แล้วได้พบกับแสงสว่างในภายหลังก็คงไม่ยินยอมโถมตัวเองเข้าสู่ความมืดมิด นางไม่ต้องการเป็นเหยื่อของซูพ่านเอ๋อร์อีกต่อไป
“แต่เหลียนจื่อเกิงชื่อนี้ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง งั้นเรียกแค่เหลียนจื่อ(เม็ดบัว)ก็แล้วกัน” นางสะกิดหางของเจ้าพุทราเบาๆก็ส่งเสียงเอ็ดตะโรพลางยกหางหนี พอนางส่งเสียงหัวเราะมันก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
ซ่านเชียนหยวนไม่สามารถเรียกองค์ชายสามมาได้อย่างแน่นอน วันนี้ที่ได้พบกันมันเป็นความบังเอิญแน่หรือ?
นางไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ
อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ กุ่ยเม่ยกับเฉิงซานต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้เกรงว่าหลายคนก็ไม่ต้องการรบกวนความสนิทสนมระหว่างนางกับซ่านจินจื๋อหรอก ก่อนจะออกมานางจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้ามาจากโรงยา ปิดคลุมศีรษะด้วยเสื้อคลุมสีเข้มแล้วก็ได้มาถึงประตูคฤหาสน์องค์ชายสาม
ข้ารับใช้หลายคนหยุดนางไว้ นางจึงนำขวดหยกส่งให้กับข้ารับใช้ เพียงไม่นานซ่านเซิ่งหานที่สวมชุดผ้าปักลายสีขาวก็เดินออกมา เมื่อพบนางก็นำนางไปที่ในลานที่เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนใช้มานานเพราะมีฝุ่นอยู่เต็มทุกพื้นที่
เขายืนประสานมือไพล่หลัง มองกู้อ้าวเวยที่ดึงเสื้อคลุมออก
“เจ้ากล้าหาญมาก ถ้าหากถูกเสด็จอาพบเข้า ข้ากับท่านคงเหลือเพียงหนทางแห่งความตาย”
“ขี้ขลาดราวมุสิกคงทำการใหญ่ไม่สำเร็จ วันนี้คนอีกกลุ่มเป็นท่านส่งไปหรือ?จุดประสงค์คืออะไร?” กู้อ้าวเวยเอ่ยปากโดยไม่อ้อมค้อมอีกทั้งเอาขวดหยกที่ส่งให้กับเขาหยิบกลับมา
“ท่านคิดว่าเป็นข้า?”ซ่านเซิ่งหานก้าวขึ้นมาข้างหน้า
“บนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญขนาดนั้น” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างขึงขัง
“แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญ” ซ่านเซิ่งหานส่ายหัวด้วยความอับจนจึงได้หยิบก้อนหินอาวุธลับชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้กับมือกู้อ้าวเวย “คนกลุ่มนั้นรอบคอบที่ปะปนเข้ากลุ่มและมาพร้อมกับองค์ชายสี่ ท่านน่าจะเดาได้ว่าใครที่กำลังเลี้ยงดูคนของเซิ่นโหลวโดยไม่ทำให้ใครรู้”
ก้อนหินจะพิสูจน์อะไรได้เล่า? ทว่ากู้อ้าวเวยกลับไม่ได้รู้สึกว่าซ่านเซิ่งหานกำลังพูดโกหก
“ความหมายของท่านคือมีคนที่สถานะสูงส่งและมากด้วยอำนาจกำลังเลี้ยงดูพวกเซิ่นโหลวงั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยนำหินก้อนนั้นมาคลึงเล่นในมือ กลับมีความเกลี้ยงกลมอย่างมาก ดูท่าแล้วคนฝั่งนั้นได้เตรียมพร้อมที่ทำการโจมตี “แต่ครั้งนี้มีความกล้าทว่าไร้แบบแผน”
“แต่ตราบใดที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นคนของเซิ่นโหลวก็พอแล้วนี่ จุดประสงค์ของคนสองกลุ่มนี้คือองค์ชายสี่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเป็นองค์ชายสี่เสมอไป” ซ่านเซิ่งหานพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จ มองกู้อ้าวเวยด้วยความใคร่รู้
กู้อ้าวเวยที่ได้ใช้ความคิดจึงพอเข้าใจความหมายของซ่านเซิ่งหานอยู่บ้าง
เซิ่นโหลวบ้าบิ่นเช่นนี้ หากจุดประสงค์ของคนกลุ่มนั้นคือการช่วยเหลือเซิ่นโหลวเพื่อสร้างแรงผลักดัน จากนั้นให้แคว้นชางหลานขุดรากถอนโคนเซิ่นโหลวก็อยู่ในความสมเหตุสมผล แต่อัตราความน่าจะเป็นแบบนี้มีเยอะมาก นางควรจะตัดสินอย่างไรกลับเป็นเรื่องยาก
“ศัตรูที่ใหญ่สุดของเซิ่นโหลวก็คือตระกูลหยุน” ซ่านเซิ่งหานเสริมอีกประโยค
กู้อ้าวเวยยกคิ้วสูง “ท่านคิดว่าตระกูลหยุนปะปนแฝงตัวอยู่ในนั้นและในขณะเดียวกันก็ขัดขวางเซิ่นโหลว อีกทั้งยังช่วยเซิ่นโหลวให้เป็นจุดสนใจ แบบนี้ยิ่งดีกว่าการยืมมือฝ่าบาทกำจัดพวกเซิ่นโหลวเสียอีก”
“มีความเป็นไปได้มาก แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ไม่เช่นนั้นจากที่ข้าเห็นในวันนี้ คนระลอกแรกลงมืออย่างดุเดือดแล้วในภายหลังยังเพิ่มคนชุดดำเข้ามา ทว่าน้องสี่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย” ซ่านเซิ่งหานทิ้งท้ายประโยคนี้ไว้แต่กลับไม่ได้ให้นางขบคิดเอาแต่จูงนางเดินไปด้านนอก “เสด็จอารักษ์ท่าน ทำไมจึงไม่เยียวยาบาดแผลให้ท่านกันนะ”
“ทายามาแล้ว” กู้อ้าวเวยไม่ได้สะบัดมือนางออก
บางทีอาจจะเป็นภาพลวงตาของนาง คฤหาสน์ของซ่านเซิ่งหานคล้ายกับสลับซับซ้อนจนนำทางมาถึงประตูเล็กบนทางที่ไม่พบผู้ใดเลยสักคน นี่น่าประหลาดใจมาก
เมื่อถึงประตูหลัง ซ่านเซิ่งหานกลับสวมเสื้อคลุมให้นางด้วยตนเองพร้อมทั้งกำชับเสียงเบา “วันหน้าข้าสามารถส่งคนไปติดต่อหยินเชี่ยวได้”
“ฉีหลินก็เป็นผู้ขึ้นเรือลำเดียวกันนานแล้ว” หลังจากที่กู้อ้าวเวยบอกข้อความนี้ก็เร่งรีบจากไปแล้วฝ่าเข้าไปในฝูงชนที่อยู่ไกลๆ เพียงพริบตาก็หายไร้ร่องรอย
ส่วนซ่านเซิ่งหานหลับตกตะลึง เข้าคิดว่าอย่างกู้อ้าวเวยคงไม่สามารถหาคนน่าเชื่อถือได้ ดูเหมือนจะเป็นเขาที่ดูแคลนนาง
นางไม่ได้กลับไปที่โรงยายาแต่กลับมาที่จวนอ๋อง กู้อ้าวเวยไม่ต้องการใช้ชีวิตของตนเป็นเดิมพันและจวนอ๋องยังคงปลอดภัย ขณะกำลังเข้าจวนพ่อบ้านก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าประจบเข้ามาต้อนรับ “พระชายา ท่านอ๋องกำลังรอท่านกลับมาเสวยพระกระยาหารร่วมกันที่ห้องโถงพะยะค่ะ”
“ป่านนี้ยังไม่ทานกันอีกหรือ?” กู้อ้าวเวยแหงนหน้ามองเวลา เวลาแบบนี้กลับมีอะไรให้ประหลาดใจอีกแล้ว
แต่เมื่อเดินถึงห้องโถง ยามนี้กู้เหยียนจือก็อยู่ด้วย ซ่านเชียนหยวนแม้ตัวไม่อยู่แต่ลี่วานกลับนั่งอยู่ด้านข้างซ่านจินจื๋อ ใบหน้าด้านขวากำลังบวมเห็นได้ชัดว่าถูกคนตบมา ที่น่าสนก็คือถงโจวกับเซียวไห่ก็อยู่ที่นี่
นี่เรื่องส่วนรวมหรือส่วนตัวกันแน่เนี่ย?
“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” กู้อ้าวเวยนั่งที่ด้านข้างกู้จี้เหยาไปให้จบๆ ห่างซ่านจินจื๋ออยู่มากโข
“ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ลงมาให้ถงโจวรักษาการณ์เมืองเทียนเหยียนชั่วคราว งานสมรสขององค์ชายสี่จึงเลื่อนขึ้นมาหลายวันเพคะ” เซียวไห่ตั้งใจพูดขึ้นมากลับตะลึงเล็กๆเมื่อเห็นใบหน้าของลี่วาน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ท่าทางของซ่านจินจื๋อไม่เต็มใจที่จะพูดถึง กลับมีเพียงกู้จี้เหยาที่บ่นพึมพำ “คาดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะลงไม้ลงมือหนักเช่นนี้ โชคดีที่เหยียนจือพาชิงต้ายไปขวาง”
“องค์ชายสี่พูดว่าอะไร?” กู้อ้าวเวยหันไปถามชิงต้ายที่อยู่ด้านข้างอย่างตรงๆ
มิน่าเมื่อสักครู่พวกเขาถึงเดินออกไปจนเกลี้ยง
สีหน้าชิงต้ายเผยให้เห็นความลำบากใจ คนอื่นก็ไม่คิดจะผสมโรง สีหน้าซูพ่านเอ๋อร์กับกู้จี้เหยายังค่อนข้างดี ผ่านไปนานก็ยังไม่มีคนตอบ ลี่วานที่อยู่ตรงข้ามกุมใบหน้าเอ่ยด้วยความอับจน “ต้องโทษหม่อมฉัน พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเพคะ”
กู้อ้าวเวยเอียงศีรษะทำท่าว่าไม่เข้าใจ ซูพ่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆจึงมองมาที่นางด้วยความสนใจ “เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับท่านพระชายาน่ะ”