บทที่ 145 เปิ่นหวางจริงจังมาก
สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
จูเย่นยังใช้คนไปสอบถามรอบๆอย่างระแวดระวัง กลับคาดไม่ถึงว่ายามพระอาทิตย์ตกดินอ๋องจิ้งค่อยได้สังเกตถึงพระชายาที่หายตัวไป นี่กลับทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการค้นหาอย่างเข้มงวด การพวกเขาที่ต้องพาคนออกไปจึงยิ่งกลายเป็นเรื่องยากมากกว่าเดิมเสียอีก
ผู้ใต้บังคับบัญชาล้วนประหม่า เกิดความกลัวว่าจะโดนจับเข้าได้ในสักวัน
แต่สองพี่น้องตระกูลจูยังคงสงบเยือกเย็น จูเซส่งอาหารให้กู้อ้าวเวยทานตามส่วนแบ่งของวันนี้ เกิดกลัวว่าร่างกายนางจะแย่ต่อไปเรื่อยๆ จึงไม่กล้าให้อาการที่เป็นมันๆ เนื้อๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่นานครัวจึงทำกับข้าวออกมาได้สามอย่าง
แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกลับมีรอยยิ้มสดใส หญิงสาวที่กำลังแก้มแดงเคอะเขินคนหนึ่งป้อนองุ่นส่งเข้าปากกู้อ้าวเวย อีกทั้งกำลังเกาะอยู่ที่กราบเตียง พลันถลึงตาใส่ “อิจฉาเจ้าเสียจริง จนข้านั้นอยากจะเข้าไปเขย่าขาในสระน้ำนั่นด้วย”(อุปมาว่าอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย)
“บางทีข้าก็ไม่ได้ไปตลาดมานานแล้ว แม้แต่จะซื้อผงชาดก็ไม่ได้เลยหรือไง”
คนพวกนี้ต่างคนต่างคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวพันกัน จูเซไล่หญิงสาวพวกนั้นออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา วางถาดอาหารลงตรงหน้ากู้อ้าวเวยด้วยความขุ่นเคือง พลันหัวเราะเยาะ ”จะหญิงจะชายเจ้าก็ไม่เว้นเลยนะ น่าเสียดายที่ข้าขอร้องต่อหน้าพี่ชายเพื่อเจ้า”
กู้อ้าวเวยยักคิ้ว แต่ยังจดจำการกระทำที่ช่างแตกต่างจากคำพูดของนางไว้ได้
จูเซที่หงุดหงิดเหลือทน ได้แต่มองกู้อ้าวเวยอย่างโง่งมที่ทานอาหารเหล่านี้จนเกลี้ยงราวกับพายุพัดหายไป แม้แต่ขนมอบที่สาวๆก่อนหน้านี้ทานเหลือทิ้งไว้ก็ยังยัดใส่เข้าปาก
จูเซจ้องมองนางอยู่หลายครั้งจึงหยิบของออกไป
“พ่อของเจ้าต้องการให้ข้ารักษางั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยปัดเศษขนมบนร่าง ดวงตาดอกท้อจ้องมองนางจึงผินร่างนั่งลงที่กราบเตียง กระดิกขารอจูเซกลับมา
อย่างที่คาดไว้ จูเซลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หันกลับมา “เจ้ายังพูดว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยอีกงั้นหรือ!”
“ข้ารู้มาจากพวกเจ้านี่ล่ะ แต่ข้าไม่เคยจำอะไรได้เลยเมื่อกลับตระกูลหยุน นอกจากที่ตามใจให้ท้ายข้า เรื่องๆอื่นๆท่านปู่ก็ไม่เคยบอกข้าเลย”กู้อ้าวเวยบอกตามความเป็นจริง
นางได้รับรองว่าตนมีคุณค่าและจะไม่ถูกฆ่าตาย แน่นอนว่ายังต้องถือโอกาสหาทางรับรองต่อไปว่าบนเส้นทางนี้ของนางจะไม่แขนขาดขาด้วน
จูเซหยุดฝีเท้า นำของบางอย่างออกมาวางและมองนาง “พี่ชายต้องการทำให้เจ้าเสียขาซะก่อน”
“ตราบใดที่ไม่เลือกเอ็นร้อยหวายนะ” กู้อ้าวเวยกลับตอบรับด้วยการยกเงื่อนไขขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“จูเซสูดลมหายใจ อดไม่ได้ที่จะด่านาง “แต่นั่นมันขาสองข้างเลยนะ เจ้าจะมาพูดไร้สาระอย่างนี้ไม่ได้!”
“ข้าก็แค่ไม่อยากตาย”ตราบใดที่ไม่เลือกเอ็นร้อยหวาย นางก็ยังสามารถรับประกันได้ว่าในอนาคตยังใช้ขาสองข้างเดินได้
จูเซกลับพูดไม่ออกแต่ได้มองนางอยู่เนิ่นนาน “ทำไมเจ้านิสัยเยี่ยงนี้ ท่าทางแบบคุณหนูสาวน้อยน่ะมีบ้างไหม”
กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น หลังจากนั้นนางก็หัวเราะจนหายใจไม่ทัน ก่อนที่จูเซจะลงมือจัดการเพราะทนฟังต่อไปไม่ไหว นางก็ได้นวดที่หางตาแรงๆ “ข้าคือกู้อ้าวเวย คงไม่เหมาะจะเรียกคุณหนู อีกอย่างชีวิตข้าเกิดมานิสัยก็เป็นเช่นนี้แล้ว แก้ไม่ได้จริงๆ”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะยั่วโทสะพี่ชายแล้วฆ่าเจ้าจริงๆบ้างหรือไง?”จูเซโมโห
“นี่ไม่ใช่ว่ามีเจ้าช่วยปรามอยู่หรือ?” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นยืนด้วยเท้าเปล่า มองจูเซด้วยสายตาที่คอยระวังแล้วยืดเอวอย่างเกียจคร้าน “เจ้าอย่ามาถลึงตาใส่ข้า ข้าสามารถลุกขึ้นมาขยับเขยื้อนตัวได้เฉพาะเวลาที่เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้นล่ะ”
ข้อมือของนางยังไม่ดีขึ้น บริเวณหน้าอกยังปวดรุนแรง นางกลับหัวเราะเบาๆเดินมายังเบื้องหน้าของจูเซ เปิดสาบเสื้อออกให้นางดูบาดแผลช่วงอก “นี่อ๋องจิ้งเป็นคนแทง”
จูเซสีหน้ามืดครึ้มทันที ““ตั้งแต่เมื่อไร?”
“คืนวันงานแต่ง เพื่อนำโลหิตหัวใจของข้าที่เป็นทายาทตระกูลหยุนไปรักษาคนในดวงใจของเขา หลังจากนั้นก็เอาโลหิตหัวใจจากข้าไปหนึ่งถ้วยครึ่ง” กู้อ้าวเวยปิดเสื้อของนางดังเดิมพลันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะดังๆออกมาหลายครา “เขาเหี้ยมโหดเช่นนี้ ข้าก็ยังอุตส่าห์มีชีวิตอยู่ต่อมาได้ ต้องขอบคุณสองมือที่ยอดเยี่ยมของข้า ที่ในอนาคตยังได้ยาสูตรลับเพื่อรักษานางในดวงใจของเขา”
ครั้งนี้จูเซตกใจอ้าปากเหวอ
บางทีถ้าจูเย่นได้ยินคำพูดของนางเข้าอาจจะรังเกียจ แต่จูเซเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เมื่อนางเข้าใจกู้อ้าวเวยได้เช่นนี้ย่อมต้องรู้ถึงตอนที่กู้อ้าวเวยรักอ๋องจิ้งหมดทั้งใจ และไม่ง่ายเลยที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง ความสัตย์ซื่อจริงใจโดนคนหนึ่งแทงจนทะลุนั้นช่างทรมานเหลือเกิน
กู้อ้าวเวยหันมานั่งข้างจูเซรินน้ำชาเติมให้กับตน “กู้เฉิงไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกสาว ข้าออกจากสระมังกรอย่างจวนเฉิงเสี้ยงเข้ารังสู่รังเสืออย่างจวนอ๋องจิ้ง ยามนี้ก็มาตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมาป่าอย่างพวกเจ้าที่ไม่เห็นชีวิตมนุษย์อยู่ในสายตา ในความเป็นจริงชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่”
“เจ้าไม่แค้นหรือ?”
“แค้นสิ” แต่ยามนี้ข้าตัวคนเดียว ทุกๆที่มีคนจ้องแต่จะทำร้ายข้า แต่ข้าก็ตอบโต้ไม่ได้ จึงได้แต่อดทนเพื่อที่จะอยู่รอด” กู้อ้าวเวยดื่มชาติดๆกันสามถ้วยถึงได้หยุด พลันบีบแก้มของจูเซ “จึงต้องรบกวนความเมตตาของเจ้าไว้ชีวิตข้าแล้วล่ะ”
จูเซตีมือของนางปัดออกอย่างแรง
หลังมือของกู้อ้าวเวยแดงเป็นปื้นกลับยังคงด้วยท่าทางหัวเราะสดใส จูเซรู้สึกว่ากู้อ้าวเวยแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆจึงรีบเดินจากไป ปล่อยให้นางนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว
ทันทีที่นางปิดประตูลง สีหน้าของนางพลันหนักอึ้ง
ยังไม่รู้ว่าจูเซจะสามารถรับปากตนได้หรือไม่ พูดตามความจริงแล้วนางก็ยังไม่อยากที่จะสูญเสียขาทั้งสองข้างของตน
สักพัก หญิงสาวกลุ่มนั้นก็เข้ากันมาอย่างคับคั่ง จับนางโยนขึ้นเตียงทันที กู้อ้าวเวยกรอกตาบนรัวๆ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนหญิงสาวเหล่านี้ แต่ในใจคิดหาโอกาสที่จะหลบหนีอย่างระมัดระวัง
ดีที่สุดคือช่วงเวลาที่จะออกจากเมือง
……
“ทำไมข่าวคราวสักนิดก็ไม่มี! ชีวิตคนทั้งคนพูดว่าไม่มีก็ไม่มีได้เลยอย่างงั้นหรือ!”
ซ่านเชียนหยวนเกรี้ยวกราด บัดนี้เวลาพลบค่ำกลับยังไม่มีข่าวของกู้อ้าวเวยแม้แต่น้อย เมื่อคำนวนดูแล้วกลับเป็นเวลาถึงหนึ่งวันเต็มๆ
ซ่านจินจื๋อนำคนสนิทไปตามหาด้วยตนเอง เฉิงซานและกุ่ยเม่ยได้ส่งคนไปก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าแม้แต่หางของโหวเซ่อก็ยังไม่พบ
เขาได้แต่ลงจากม้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน ขณะเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของซ่านเชียนหยวนเขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ มีเพียงเซียวไห่ที่เตรียมจะกลับจวนที่รู้ว่าซ่านจินจื๋อโกรธเข้าแล้ว จึงส่งเสียงกระซิบ “ไม่รู้ว่าองค์ชายหกนั้นพบร่องรอยของโหวเซ่อได้อย่างไร”
ซ่านจินจื๋อมองมาที่เขา เซียวไห่ถูกสายตาอันน่ากลัวของเขาทำให้ตกใจจึงรีบบอกกล่าว”ก่อนหน้านี้องค์ชายหกปราบคนของโหวเซ่อได้อย่างไม่หยุดหย่อน ในเมื่อไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ท่านก็ส่งม้าเร็วไปถามดูแล้วกัน”
เมื่อสิ้นคำ เงาหลายร่างได้พุ่งจากความมืดออกไป
แม้แต่เซียวไห่ยังแตกตื่น กระทั่งเงาร่างเหล่านั้นผสานเข้าไปในความมืดโดยสมบูรณ์ เขาถึงได้กลืนน้ำลายมองซ่านจินจื๋อด้วยความตกตะลึง “แม้แต่ในสนามรบข้าก็ยังไม่เคยเห็นพวกเขาปรากฎตัวมาก่อนครั้งนี้ท่านกับพระชายา….”
“เปิ่นหวางจริงจังมาก”ซ่านจินจื๋อยืนสองมือไพล่หลัง แววตาประกายดุร้าย