บทที่ 143 กองกำลังผสม
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เสียงจอแจด้านนอกประตูก็เงียบไปนานแล้ว
กู้อ้าวเวยรู้สึกราวกับมีไฟร้อนลวกอยู่ในลำคอ ทั้งร่างกายก็หนักอึ้ง แค่จะเปิดเปลือกหนังตายังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของนางเป็นอย่างมาก นางมองเห็นลางๆว่าที่ข้างเตียงมีชายชราชุดเทาคนหนึ่ง
จูเซยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆก็เข้ามากระทืบเท้า “พี่ ข้าเคยบอกแล้วว่าร่างกายนางอ่อนแอ! ท่านยังจะลงมือหนักเช่นนี้อีก!”
จูเย่นนั่งประจำที่ นวดขมับด้วยความปวดหัว
เขามาที่นี่ เดิมคิดว่าก่อนที่จะนำคนกลับไป จะค่อยๆทรมานให้อัปยศเสีย ทว่าร่างกายกู้อ้าวเวยไม่ใช่แค่อ่อนแอ เลือดลมไม่พอก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง นอกจากนี้นางยังอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า อาหารที่ทานลงไปไม่ได้ถูกดูดซึม หลังจากที่ถูกวางยาพิษเมื่อในอดีตร่างกายไม่เคยได้รับการดูแลที่ดี—–เมื่อสะสมนานวันเข้าร่างกายก็ไม่สามารถจัดการได้อีก
ชายชราชุดเทาลุกขึ้นยืนด้วยอาการตัวสั่นเทา “เป็นการดีที่สุดถ้าพักฟื้นสักสิบวันแล้วเสริมด้วยน้ำแกงยาชูกำลัง มิฉะนั้นเกรงว่านางจะรับความสั่นสะเทือนจากการรีบเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนไว้ไม่ไหว”
จูเย่นลุกขึ้นถลึงตามองอย่างดุร้าย เข้าบีบลำคอของชายชราชุดเทา “สิบวันรึ!”
ชายชราชุดเทาหน้าขึ้สี จูเซจึงรีบเข้ามาขวาง พร้อมกับหันมาตะคอกชายชราชุดเทา “ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าต้องรักษานางให้เร็วที่สุด สามวันให้หลังจะต้องไปจากที่นี่!”
ยามนั้นหมอไม่กล้าปฏิเสธจึงได้แต่ยอมรับ จากไปคล้ายกับรีบหลบหนี
ไม่ง่ายเลยที่จูเซจะปลอบให้จูเย่นสงบลงได้ กู้อ้าวเวยที่อยู่บนเตียงกลับเข้าใจมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นดวงตาค่อยๆหรี่แคบลง
หากสามวันนี้ผ่านไป นางก็ไม่รู้จริงๆว่าต้องไกลห่างเมืองเทียนเหยียนอีกมากเท่าไร
อีกอย่าง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าอาการป่วยของตนสาหัสถึงขนาดไหน? เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดตำหนิตนไม่ได้ว่าทำไมไม่ใส่ใจตัวเองบ้าง
“เจ้าฟื้นแล้วรึ?” จูเซนั่งอยู่ที่กราบเตียงป้อนน้ำแก่นาง “เจ้านี่เหมือนพระชายาจิ้งตรงไหนกัน แม้แต่คนรับใช้ในจวนยังสุขภาพดีกว่าเจ้าเสียอีก”
กู้อ้าวเวยทำได้แค่ส่งเสียงหัวเราะ ดิ้นรนลุกขึ้นพิงเตียง “ข้าจะบอกรายชื่อสมุนไพรให้ ส่วนเจ้าไปหามา”
“ห๊ะ?” จูเซตะลึงงัน ส่วนกู้อ้าวเวยกลับไล่เรียงรายชื่อสมุนไพรออกมา หลังจากนั้นจึงค่อยหลับตา “อีกอย่าง ข้าหิวแล้ว”
จูเซรีบดึงหมึกพู่กันออกมาอย่างลนลาน โดยให้นางบอกอีกรอบถึงได้จากไปแบบมึนๆ
จูเย่นเอาแต่มองกู้อ้าวเวยอยู่ตลอดเวลา ยังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้ากลับไม่สะทกสะท้านเลยนะ”
“หากเผชิญหน้าด้วยความหวาดหวั่น หรือหลังจากที่ข้าวิงวอนร้องไห้ออกมาแล้วจะทำให้พวกเจ้าปล่อยข้างั้นสิ? หรือต้องถอดเสื้อผ้าโบกสะบัดอาภรณ์เสพสมอยู่ใต้ร่างเจ้ากันล่ะ?” กู้อ้าวเวยส่งเสียงจากลำคอหลายพยางค์อย่างยากลำบาก ถึงได้พบว่าโซ่ตรวนบนข้อมือตนนั้นหายไป บนข้อมือยังถูกพันไว้ด้วยผ้าโปร่ง คงจะได้รับการรักษาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าจูเย่นถูกยั่วโทสะอีกครั้ง เขาเดินมาดึงสาบเสื้อแล้วคว้าร่างนางขึ้นมา
ขณะที่นึกอยากจะทำอะไรสักอย่าง กลับรู้สึกน้ำหนักอันเบาหวิวที่อยู่ในมือ แล้วยังมีคำพูดของหมอเมื่อสักครู่อีก จึงได้แต่ข่มโทสะวางร่างคนลง แล้วปล่อยหมัดไปที่กำแพงด้วยสีหน้าอันมืดครึ้ม
กู้อ้าวเวยตกใจผงะ ได้แต่มองกำแพงที่อยู่เหนือศีรษะ “ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์ แต่ข้าสามารถแสดงคุณค่าของข้าให้พวกเจ้าได้เห็น ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไว้ชีวิตข้าด้วยความเต็มใจ”
จูเย่นหันมองนางขวับด้วยความตกตะลึง
นังผู้หญิงคนนี้! เหตุใดจึงยั่วยุขีดความอดทนเขาได้ตลอดเวลาอย่างหน้าตาเฉย!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด จูเซได้นำอาหารเข้ามาแล้วหลังจากนั้นกู้อ้าวเวยก็ไม่พูดอะไรอีก ไม่ว่าจูเซจะถามอย่างไรนางก็ไม่เอ่ยปาก สองพี่น้องหมดหนทางจึงถอยกลับออกไปทั้งคู่
อีกห้องหนึ่ง คนชุดดำหลายคนได้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของจูเย่น
“เรียนนายน้อย จวนอ๋องจิ้งไม่มีใครทราบข่าว แต่แม่นางแห่งทิงเฟิงโหลวนำเรื่องที่พระชายาจิ้งหายตัวไปแจ้งให้ทราบ”
ทิงเฟิงโหลวงั้นรึ?
จูเย่นกับจูเซสบตากัน ในแววตาทั้งคู่มองเห็นถึงความประหลาดใจ
ได้ยินมาว่าทิงเฟิงโหลวมีชื่อเสียงและก็ไม่ใช่แค่โรงเหล้าโรงน้ำชาธรรมดาทั่วไป ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังใดๆของราชสำนัก นายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังยังเคยเป็นหญิงในซ่องด้วยซ้ำ หลังจากหย่าร้างถึงได้มาเปิดทิงเฟิงเก๋อ (ศาลาทิงเฟิง) มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ไปมาหาสู่ นับว่ามีรากฐานมั่นคงยิ่งนัก
ทำไมพวกนางถึงมาสนใจเรื่องของกู้อ้าวเวยกันล่ะ?
“ก่อนหน้านี้ทิงเฟิงโหลวมีการเคลื่อนไหวรึ?” จูเย่นถามเสียงลุ่มลึก
“ข้าน้อยไม่ทราบ แต่ในอดีตช่วงที่เคยร่วมมือกับองค์ชายสาม เขาเคยได้ยินมาว่าทิงเฟิงโหลวไม่เคยยุ่งเรื่องชาวบ้านขอรับ” คนชุดดำแสดงออกถึงความไม่เข้าใจเท่าไรนัก
จูเย่นสีหน้าทะมึน ถ้าหากไม่ใช่ว่าทิงเฟิงโหลวหลอกคนได้ทั้งหมด เช่นนั้นก็เป็นองค์ชายสามที่ให้ข้อมูลผิดๆกับเขา
ช่วงเวลาที่นำตัวกู้อ้าวเวยออกมาจากเมืองเทียนเหยียนเรียกได้ว่าเป็นความลับสุดยอด กระทั่งซื้อเส้นสายทั้งความสัมพันธ์ระดับสูงและระดับต่ำไปไม่น้อยทีเดียว แม้แต่ยามกะกลางคืนก็ไม่เว้น
แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าโรงน้ำชาก็รู้ข่าวนี้ด้วยหรือ
นอกเสียจากทิงเฟิงโหลวจะจับตามองที่อยู่ล่าสุดของกู้อ้าวเวยมาตั้งแต่ต้น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถพบเห็นเหตุการณ์นี้ได้
“ทางด้านซูพ่านเอ๋อร์ล่ะ?” น้ำเสียงจูเย่นอ่อนลงเล็กน้อย
“ตอนที่นางจากไป เวลาและเส้นทางได้บอกให้ทราบหมดแล้วขอรับ ” ในตอนนั้นคนชุดดำก็ได้ส่งกระดาษใบหนึ่งออกไป
จูเย่นยกยิ้มบางๆ “นางยังบอกอะไรอีกบ้าง?”
“หวังว่าเมื่อท่านได้สังหารพระชายาจิ้งแล้วสมควรจะจัดการโดยไม่มีปัญหาตามในภายหลังขอรับ” เหล่าข้ารับใช้ตอบกลับในทันที
จูเซหน้าเปลี่ยนสีทันที เมื่อเห็นสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจูเย่น นางกำลังคิดจะไปห้ามปรามจูเย่นว่าอย่าใช้อารมณ์ทำการใหญ่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาทันที “คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางกับข้ามิได้มีไมตรีต่อกันแม้แต่น้อย”
“แต่แม่นางซูบอกไว้ว่าถ้าหากท่านไม่ช่วยนางกำจัดพระชายาจิ้ง ในวันหน้านางจะบอกกับราชวงศ์ช่างหลาน ว่าตอนนั้นซ่านหลิงเอ๋อร์ตายอย่างไรด้วยขอรับ” ข้ารับใช้ลอบกลืนน้ำลาย
สีหน้าจูเย่นเปลี่ยนเป็นพิลึกยิ่ง เขาสูดลมหายใจลึกๆอยู่หลายครา จนในที่สุดก็ออกจากห้องไป
จูเซส่งคนทั้งหมดออกไป เมื่อมองที่เงาแผ่นหลังอันเดียวดายของจูเย่นก็ทอดถอนใจ “เหตุใดพี่ชายจึงดื้อดึงโง่งมไม่ยอมเปลี่ยนเช่นนี้เล่า”
……
ป่าทึบเขียวชอุ่ม ม้าสีดำขลับเดินวนรอบต้นไม้ที่ด้านหลัง
ส่วนซ่านจินจื๋อและซูพ่านเอ๋อร์นั่งบนพื้น ซูพ่านเอ๋อร์ส่งเสียงไอเบาๆอยู่หลายครั้ง ยิ้มร่าขณะที่ตบแปะๆที่ก้อนหินที่ใต้ร่างตน “พี่จื๋อ ที่แท้ท่านยังนำก้อนหินที่อาจารย์ชอบนั่งเป็นประจำก้อนนั้นส่งกลับมาด้วย ข้าไม่เห็นรู้เลย”
ก้อนหินที่อยู่ใต้ร่างนี้ ซ่านจินจื๋อนำกลับพร้อมกับวันที่ซูพ่านเอ๋อร์กลับมา เป็นคำสั่ง
แรกที่ถ่ายทอดลงไป
แต่เขากลับไม่ได้นำก้อนหินไปไว้ที่จวนอ๋อง อีกทั้งยังเอาไว้ที่บนภูเขานอกเมืองเทียนเหยียน หินก้อนหินใหญ่โตมโหฬารปานนี้เดิมก็ไม่มีใครสามารถขยับได้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจ
อาจารย์ไม่ยินยอมเหยียบย่างเมืองเทียนเหยียนตลอดชีวิต แต่เพื่อจักรพรรดิพระองค์ก่อนจึงยินยอมชี้แนะเขา อบรมเขาจนเติบใหญ่
“แต่ว่า พ่านเอ๋อร์ไม่ได้ออกมาข้างนอกด้วยกันกับพี่จื๋อมานานแล้ว พี่จื๋อยังจำได้ไหมว่าข้าและท่านเคยเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหิมะด้วยกัน ทั้งปีนภูเขาอยู่ค่อนคืนเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น?” ซูพ่านเอ๋อร์เริ่มร้ายทีละอย่างๆ
ซ่านจินจื๋อมองไปยังที่ไกลๆ ยกยิ้มมุมปากบางๆ
ซูพ่านเอ๋อร์ยังคงไร้เดียงสาใสซื่อ เขาได้ตบลงบนที่ก้อนหินเบาๆด้วยอดที่จะนึกถึงวันเก่าไม่ได้
บัดนี้ท่านอาจารย์จากไป สมควรที่จะสบายใจแล้ว