บทที่ 144 ประมุขแห่งทิงเฟิง
ซ่านเชียนหยวนนำคนค้นหาอยุ่ค่อนภูเขาก็ยังไม่พบสิ่งใด
เมื่อซ่านเชียนหยวนเข้าเมือง กลุ่มทหารรักษาการณ์ได้เข้ามาคารวะ ทหารรักษาการณ์นายหนึ่งได้เดินมาที่เบื้องหน้าของซ่านเชียนหยวน “เมื่อคืนทหารรักษาการณ์ประจำเมืองถูกกระแทกจนสลบ หลังจากที่ถูกวางยาพิษก็โดนโยนไปไว้ที่บนถนนเขตสลัม ตอนนี้ได้ถูกส่งไปร้านยาจี้ซื่อถางเพื่อรักการรักษาแล้วพะยะค่ะ”
“ดูแลไม่เข้มงวดกวดขัน! จนตอนนี้พระชายาจิ้งได้หายตัวไป แม้แต่เมื่อคืนที่ทหารรักษาการณ์ถูกสับเปลี่ยนพวกเจ้าก็ไม่รู้!” ซ่านเชียนหยวนสีหน้าหนักอึ้ง ใช้พละกำลังเหมือนที่เคยอยู่ในค่ายทหาร
เหล่าทหารรักษาการณ์สั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าขยับเขยื้อน
ซ่านเชียนหยวนคร้านจะใส่ใจ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงต้องเป็นการหากู้อ้าวเวยให้พบ
“เสด็จอาไปที่ไหนเนี่ย!” เขาหันมาอย่างกระหืดกระหอบ ขณะรับสั่งคนสนิทไปตามหาทุกสถานที่ของเมืองเทียนเหยียน ดูว่ามีใครพบพระชายาจิ้งหรือไม่ และสถานที่สุดท้ายก่อนหายตัวไปคือที่ใด
อีกด้านหนึ่งเขาก็ได้จัดกำลังคนไปที่ภูเขาเพื่อหวังว่าซ่านจินจื๋อจะกลับมาจัดการเรื่องนี้ได้เร็วไว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ ชั้นบนสุดของหอทิงเฟิงโหลว หลิ่วเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่หน้าพิณกู่ฉิน ทันใดนั้นนกพิราบสื่อสารสีขาวตัวหนึ่งได้ร่อนลงมาที่โต๊ะข้างๆมือนาง นางยิ้มเบาๆและหยิบจดหมายออกจากเท้าของนกพิราบสื่อสารออกมา อ่านด้วยความระมัดระวัง
เด็กสาวอายุสิบสองถึงสิบสามขวบหลายคนขึ้นบันไดมา ทั้งกระโดดโลดเต้นเสียงดังพุ่งเข้ามาที่ข้างกายของหลิ่วเอ๋อร์
“พี่หลิ่วเอ๋อร์ ท่านกำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ?”เด็กสาวที่ผมขดเป็นมวยเล็กๆคนหนึ่งซบเข้าที่ต้นขาของหลิ่วเอ๋อร์
หลิ่วเอ๋อร์นำกระดาษข่าวในมือเสียบกลับเข้าไปที่เท้านกพิราบสื่อสารอีกครั้ง แล้วจึงลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ “ข้ากำลังอ่านข่าวสารของท่านประมุข พวกเจ้าจงออกไปสอบถามอย่างระมัดระวัง ถ้าหากได้ยินข่าวของพระชายาจิ้งบ้าง ท่านประมุขต้องดีใจมากแน่ๆ”
“แล้วเมื่อไหร่พวกข้าถึงจะได้พบท่านประมุขล่ะเจ้าคะ?” เด็กสาวมุ่ยปาก
“เพียงแต่พวกเจ้าทำในสิ่งที่สมควรทำได้ดี วันหน้าประมุขจะพาพวกเจ้าไปเล่นด้วยในหุบเขา”หลิ่วเอ๋อร์ตบที่ศีรษะนางเบาๆ เหล่าเด็กสาวพุ่งออกไปด้วยความดีใจอย่างลิงโลด เดินท่องไปทั่วทุกถนนหนแห่ง
รอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่แล้ว สีหน้านางค่อยเย็นเยียบลง
ทว่ามีร่างกรีดกรายเย้ายวนของหญิงสาวนางหนึ่งที่แต่งกายเผยเนื้อหนังมังสาเป็นส่วนมากกำลังเดินเข้ามา “ไม่แปลกใจคนที่ท่านประมุขชื่นชอบที่สุดนั้นจะเป็นเจ้า เหมือนกันกับข้าซะที่ไหนที่สกปรกมากเยี่ยงนี้
“เจ้าไม่เห็นจะสกปรกสักหน่อย ท่านประมุขก็กลัวเจ้าจะเวทนาถึงได้นำเจ้ามาดูความรุ่งเรืองของเมืองเทียนเหยียนไงเล่า” หลิ่วเอ่อร์กล่าวปลอบโยน รับกระดาษหมึกพู่กันจากมือของหญิงนางนั้นมา ขีดเขียนตัวอักษรอัดแน่นลงในกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวนางนั้นรอจนกระทั่งเขียนเสร็จไปหลายแผ่นจึงได้อุ้มกรงนกพิราบสื่อสารและช่วยนางจับนกใส่เข้าไป ช่วยนางนิดๆหน่อย กระทั่งลดสายตาลง “เจ้าว่าเหตุใดตัวท่านประมุขถึงไม่ทำเพื่อตัวเอง….”
“ถ้าหากท่านประมุขทำแค่เพื่อตัวเอง พวกเราคงตายอยู่กลางถนนเมืองเทียนเหยียนไปนานแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะเบาๆเพียงแต่ปิดกรงลงในตอนท้าย หญิงสาวเย้ายวนผู้นั้นจึงได้ถือออกไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา มีนกพิราบสื่อสารตัวเล่าตัวเล่าบินออกพร้อมกับนกพิราบสีขาวตัวอื่นๆจากทั่วทุกมุมของเมืองเทียนเหยียน ยังมีเหล่าเด็กสาวจำนวนไม่น้อยวิ่งพล่านไปทั่ว ผ่านชั้นวางขายขนมถังหูลู่(ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้)อยู่บ่อยๆ บ้างก็เข้าไปร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จเพื่อตั้งใจสอบถามโดยเฉพาะ
จนถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน ซ่านจินจื๋อจึงได้ขี่ม้าสีดำมากับซูพ่านเอ๋อร์
วันนี้ซูพ่านเอ๋อร์ได้พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยผ่านมากับซ่านจินจื๋อไปไม่น้อย ราวกับย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เคยอยู่ในนิกาย นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อ กระซิบด้วยความรำพัน “ข้าเองก็คาดหวังว่าจะได้เป็นพระชายาของพี่จื๋อ”
“ทำไมไม่ยินดีงั้นหรือ?” ซ่านจินจื๋อกระชับร่างคนในอ้อมกอด
หากข้าเป็นพระชายาของพี่จื๋อ ก็จะไม่มีพระชายาคนปัจจุบันนี้ ข้าไม่ชอบนางแม้แต่น้อย”ซูพ่านเอ๋อร์กระชับโอบกอดของเขาไว้ที่แผ่นหลัง “เคยกล่าวไว้ชัดเจนว่าจะมีเพียงเราสอง ทำไมยามนี้จึง…”
“เพราะว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่เกินไป” ซ่านจินจื๋อยกมุมปากและเร่งฝีเท้า “เปิ่นหวางจำเป็นจะต้องมุ่งไปข้างหน้า แต่สำหรับพ่านเอ๋อร์ขอเพียงแค่อยู่เคียงข้างเปิ่นหวางก็พอแล้วว”
ขณะขี่ควบม้า ในใจซูพ่านเอ๋อร์เกิดความซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่ที่มากยิ่งกว่านั้นคือความริษยา
เพื่อที่นางจะอยู่เคียงข้างกายซ่านจินจื๋อ จึงจำต้องหยุดฝีเท้า
แต่น่าเสียดายที่นางหยุดเพียงชั่วครู่ กู้อ้าวเวยก็กวดไล่เข้ามา
แล้วจะให้นางเต็มใจยกซ่านจินจื๋อให้ผู้อื่นหรืออย่างไร
เมื่อควบม้าตลอดทางจนมาถึงถนนสายหลักหน้าประตูเมือง ซ่านจินจื๋อถึงค่อยๆผ่อนความเร็วลง ด้วยเกิดกลัวว่าร่างของซูพ่านเอ๋อร์จะไม่สามารถรับการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้ได้
ทว่าซูพ่านเอ๋อร์ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็มีคนควบม้าเข้ามาจากที่ไกลๆ ทหารรักษาการณ์หลายนายได้มาถึงยังเบื้องหน้าของซ่านจินจื๋อ กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “เรียนท่านอ๋อง เมื่อคืนพระชายาจิ้งหายตัวไปพะยะค่ะ! ขอให้ท่านอ๋องโปรดเคลื่อนกำลังทหารเพื่อออกตามหาด้วยเถิดพะยะค่ะ!”
ซ่านจินจื๋อสีหน้าทะมึนควบม้าไปข้างหน้า คล้ายกับลืมไปแล้วว่าซูพ่านเอ๋อร์ก็อยู่บนหลังม้าด้วย เพียงแต่สอบถามกับทหารอย่างละเอียด
ซูพ่านเอ่อร์สีหน้าดำคล้ำในทันใด
กู้อ้าวเวยนะ กู้อ้าวเวย เหตุใดทุกครั้งที่เกิดเรื่องกับเจ้าถึงได้เหมาะเจาะบังเอิญเช่นนี้!
……
น้ำแกงรสขมเข้าสู่โพรงปาก เสียงจอแจภายในอาคารก็เงียบไปนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงกลางวัน
กู้อ้าวเวยในยามนี้ถูกหญิงโสเภณีหลายคนจับตาเฝ้ามองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่นางจะลงจากเตียงก็ไม่อนุญาต และทุกครั้งที่ชายชราชุดเทาเข้ามาตรวจชีพจรก็ได้แต่ชำเลืองตามอง และพูดเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง “ร่างกายท่านย่ำแย่เกินไป สมควรที่จะดูแลให้ดีๆ”
“เสียดายก็แต่เวลามีไม่มาก ท่านหมอต้องเตรียมยาอย่างไรบ้าง?” กู้อ้าวเวยตอบรับคำราวกับเป็นเรื่องปกติ
หมอคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่มาจับชีพจรได้ครั้งสองครั้งกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องภายนอกสักคำ
ถึงแม้ว่านางจะต้องติดอุปสรรคอยู่แต่บนเตียง แต่เมื่อคืนที่ฟังเสียงจากข้างนอกก็พอทราบถึงสถานการณ์
คนที่มากลับมีไม่น้อยที่เป็นคนชนชั้นสูงศักดิ์ และในเหล่านั้นนางกลับได้ยินชื่อคุณชายรายหนึ่งที่คุ้นเคยอยู่บ้าง เมื่อค่อยๆนึกดูนางจึงรู้ได้ว่ายังไม่ออกจากเมืองเทียนเหยียน แต่อยู่ในซ่องของเมืองเทียนเหยียน
แต่ไรมาซ่องก็เป็นเขตแดนที่ไม่มีผู้ใดสนใจ แต่มันกลับปลอดภัย
เกรงว่าไอ้สองพี่น้องตระกูลจูนั่นก็คงคิดแบบนี้ แต่นี่ก็ทำให้นางสบายใจขึ้นบ้างว่าอย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน
“ท่านเป็นทายาทของตระกูลหยุน จะใช้ยาอะไรแม่นางสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองเลย เพียงแต่ข้าผู้ชราจำเป็นต้องบอกสักประโยค” ชายชราชุดเทากล่าวกระซิบ “ข้าผู้ชราทั้งชีวิตไม่เคยทำเรื่องชั่วร้าย แต่วันนี้ไร้หนทางช่วยเหลือท่าน แต่เพราะคนในครอบครัวข้าถูกกักขัง ไร้กำลังต้านทาน วอนแม่นางอย่าได้โทษข้าผู้ชราเลย”
ขณะที่กล่าว ชายชราชุดเทาก็ก้มค้อมเอวเป็นเชิงขอโทษ
กู้อ้าวเวยเพียงแต่ยิ้มโบกมือเป็นเชิงห้าม “ไม่มีปัญหา บนโลกนี้ ใครคนไหนจะไม่มีข้อบกพร่อง ปล่อยให้ตนเองใช้ชีวิตดีๆบ้างก็พอแล้ว
ชายชราจึงได้จากไป และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มาที่นี่
คนดีและคนเลวบนโลกใบนี้เกือบจะเท่าๆกัน แต่คนเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับกู้อ้าวเวย
นางจะไม่รอให้ใครมาช่วยนางออกไป ต้องเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนต่างหากเล่า ครั้นแล้วนางจึงกวักมือเรียกหญิงสาวที่กำลังทานขนมอบ “พี่สาว ข้าต้องพักรักษาตัว น่าเบื่อสุดๆ คุยเรื่องน่าสนใจในหอโคมเขียวเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?”