บทที่154 นามแฝงเอ่อร์ชิง
“อะไรที่เรียกว่าไม่มีข่าวคราวเลย”
ซ่านจินจื๋อหันไปมองคนข้างหลังอย่างกุ่ยเม่ยเฉิงซาน พวกเขาไม่สามารถค้นเจอร่องรอยของโหวเซ่อเลย
ซ่านเซียนหยวนที่นำกำลังออกไปตามหาก็ล้มเหลวกลับมาเช่นกัน ทุกอย่างไร้ประโยชน์
องค์ชายหกก็ลงแส้ม้าเร็วตอบกลับข้อความ เพื่อแสดงออกว่าร่องรอยของโหวเซ่อสูญหายแล้ว ค้นหาไม่พบจริงๆ แล้วย้ำกับคนของตนอย่าได้คลาดกันเด็ดขาด” เซียวไห่เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ
ซ่านจินจื๋อหายใจหนึ่งเฮือก หากว่าตอนนั้นเขาไม่กลับมาเพียงเพราะซูพ่านเอ๋อ ไม่แน่ว่า……
ทหารนายหนึ่งจากข้างนอกรีบวิ่งเข้ามา สองมือกำเข้าหากัน
“ท่านอ๋อง! องค์ฮ่องเต้ได้ยินข่าวเรื่องนี้แล้ว มีรับสั่งว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาของตระกูลหยุนและราชวงศ์ อย่าได้ให้ลุกลามใหญ่โต แล้วได้ส่งคนของรัชทายาทและคนขององค์ชายสามออกค้นหาแล้ว ท่านอ๋องได้โปรดอย่าได้ร้อนใจ
ซ่านจินจื๋อหลังผ่อนคลายกำปั้นออกเล็กน้อยก็กลับกำแน่นขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายทำได้เพียงพยักหน้า: “ส่งคนออกตามหาต่อไป อย่างเงียบๆ”
“เสด็จอา! ไม่ว่าท่านพ่อจะรับสั่งอย่างไร แต่นั่นก็คือชีวิตหนึ่งชีวิต!” ซ่านเซียนหยวนก้าวมาข้างหน้าแล้วพูด ซ่านจินจื๋อกลับเพียงแค่ดึงประตูปิดแน่นเสียงดังปัง แล้วไม่พูดอะไรอีก
ทุ้งโจวเองก็ยังไม่ทันได้ดูแลคู่ข้าวใหม่ปลามัน หลังจากที่ต้องรีบร่ำลาภรรยาแล้วก็ออกไปค้นหากู้อ้าวเวยเช่นกัน
แต่ซ่านเซียนหยวนที่ยังไม่ทันเดินออกจากตำหนักอ๋องจิ้ง ก็เห็นลี่วานที่สวมใส่ชุดจีนโบราณทั้งตัวกำลังยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นซ่านเซียนหยวน ก็เดินเข้าไปหาพร้อมสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง: “องค์ชายสี่ เมื่อสักครู่พระมารดาได้ให้คนมาส่งข่าว”
“พระมารดารับสั่งว่าอย่างไร?” ดวงตาซ่านเซียนหยวนอ่อนลงเมื่อพูดถึงพระมารดา ขณะที่ลี่วานรับผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือแล้วซับเหงื่อตรงหน้าผาก
หลังจากการอภิเษกแล้ว พวกเขาได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน พอเจอหน้ากันซ่านเซียนหยวนกลับทำเป็นมองไม่เห็นนาง ทำให้นางต้องเพิ่มความกล้าอย่างมากที่จะพูดออกไป: “พระมารดารับสั่งว่าให้ท่านไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้แล้ว และยังบอกว่า……แทนที่จะใช้เวลาไปกับเรื่องนี้ ไม่ดีกว่าหรือที่จะต่อสู้เพื่อครองบัลลังก์”
ลี่วานยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเบาลง ดูเหมือนประโยคนี้รู้สึกว่ายากที่จะพูดออกจากปาก
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่นางเคยยั่วโมโหซ่านเซียนหยวนแล้ว ก็รู้ได้ว่าบางคำพูดก็ไม่ควรพูดออกมา
สีหน้าของซ่านเซียนหยวนเปลี่ยนทันที แต่เพราะเป็นคำพูดของเสียนเฟย(พระสนม) เขาก็พูดอะไรมากไม่ได้ จึงพูดเพียง: “ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างร้อน เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ รอให้เรื่องนี้จบลง ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวพักผ่อนกันสักพัก ไปผ่อนคลายอารมณ์”
“เพคะ” ลี่วานพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วรีบหลบทางให้
กระทั่งซ่านเซียนหยวนออกจากที่นี่แล้ว สาวใช้ที่ยืนข้างลี่วานก็พูดเสียงเบา: “ฟูเหริน องค์ชายสี่ดูเหมือนจะไม่มีความสนใจในราชบัลลังก์แม้แต่น้อย พระสนมเสียนเฟยหวังลูกให้เป็นมังกร พวกเราควรจะโน้มน้าวใจอย่างไรดี?”
“ยังไม่ต้องรีบ ข้ายังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขา เรื่องรายละเอียดการหายตัวไปของพระชายาจิ้งเขาก็ไม่เคยบอกข้า เกรงว่าอาจเพราะกลัวว่าข้าจะนำไปบอกกับพระมารดา เพราะพระมารดาเกลียดนางจิ้งจอกนั่นอย่างมาก” ลี่วานพลันใบหน้าเย็นชาลง แล้วหันหลังเดินจากไป
พระชายาจิ้งคนนี้ หากว่าวันข้างหน้ากลับมาไม่ได้คงจะดี
ถ้าไม่มีพระชายาจิ้งคอยจัดการแล้ว ขอเพียงแค่พระมารดาและครอบครัวของตนร่วมมือกัน องค์ชายสี่ก็จะไม่คิดอีกต่อไปว่าที่อ๋องจิ้งดีต่อเขานั้นคือความจริงใจ องค์ชายสี่คือคนที่อ๋องจิ้งสนิทใจที่สุด เช่นเดียวกัน ก็เป็นใบมีดคมที่ไว้ฆ่าอ๋องจิ้ง
สิ้นแล้วอ๋องจิ้ง องค์ชายสี่ถึงจะมีวันที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
ตำแหน่งชายาองค์ชายสี่แค่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาและพระมารดาพึงพอใจ
……
ตำบลซ่านหลินรอบด้านเต็มไปด้วยพื้นที่การเกษตร แม้ว่ามันจะเป็นตำบล แต่กลับปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่
และซู๋โหย่วเว่ยฝึกฝนเรื่องยาที่นี่มาหลายรุ่น โรงหมอโหย่วเว๋ยดูเหมือนว่าเปรอะเปื้อนฝุ่นมาเป็นแรมปี บนตัวกู้อ้าวเวยมีบาดแผล หลังจากกลับมาก็นอนหลับไป ตอนที่ตื่นมา หลังร้านยาทั้งสวนและห้องทั้งสามห้องก็ถูกจัดการทำความสะอาดแล้ว พวกเขากลับให้กู้อ้าวเวยพักเพียงลำพังหนึ่งห้อง ปกติแล้วเป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดเก็บยาสมุนไพร แต่นำเตียงมาวางหนึ่งเตียง แต่กลับไม่เป็นอุปสรรค
กู้อ้าวเวยตอนที่ตื่นขึ้นมา ก็เห็นเฟิงเมี่ยวกำลังเช็ดตู้ยา
“ข้านอนหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว?” กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าอาการปวดหัวดีขึ้นอย่างมาก ก็เลยรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน บาดแผลบนร่างกายก็ถูกพันไว้แล้ว นางก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่นิ่งไม่ได้ จึงรีบยืนขึ้น
เฟิงเมี่ยวพยายามไม่ให้นางลุกขึ้นอยากให้พักผ่อนให้เพียงพอ แต่กู้อ้าวเวยกลับเอายาสมุนไพรมาค่อยๆดม แล้วมุ่นคิ้ว เพียงรู้สึกว่าในแคว้นชางหลานนี้กลับมีสมุนไพรไม่น้อย มากมายจนบางครั้งทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง
นางยกมุมปากขึ้น แล้วจึงเดินไปแย่งผ้าในมือของเฟิงเมี่ยวมา: “ข้าทำเอง”
“แต่บาดแผลเจ้า……”
“อย่าได้กังวล ปกติแล้วข้าก็เป็นคนที่อยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ หากว่าท่านจะให้ข้านอนอยู่แต่บนเตียง ข้าก็อยู่ไม่ได้” พูดเสร็จนางก็หันกลับไปมองที่สวนเห็นบนชั้นวางมีสมุนไพรที่ซื้อมาไม่น้อย จึงพูดต่อ: “สมุนไพรพวกนั้น ข้าก็สามารถนำมันใส่เข้าไปได้ ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทางที่ดีไปนั่งตากแดดในสวนดีกว่า แต่ต้องจำไว้ว่าตอนนี้เป็นฤดูร้อนอาบแดดได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แล้วไปพักผ่อนในที่ร่มๆอากาศถ่ายเทสะดวก
น้ำเสียงกู้อ้าวเวยที่พูดมีความอ่อนโยน ทำให้ลืมที่จะปฏิเสธ นางก็จากไปแล้ว
แต่เด็กสาวอย่างอาโม่อย่าดูแค่ว่าอายุเพียงห้าหกขวบ กลับเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด คอยช่วยกู้อ้าวเวยใส่สมุนไพรไม่น้อย และยังมีความสุขที่ได้ถามกู้อ้าวเวยเกี่ยวกับพวกใบสั่งยาแปลกๆ กู้อ้าวเวยก็พูดทีละอันๆอย่างใจเย็น
ซู๋โหย่วเว่ยซื้อสมุนไพรมาอีกไม่น้อยเมื่อกลับมาถึง เห็นเฟิงเมี่ยวนั่งตากแดดอยู่บนเก้าอี้ ก็เดินเข้าไปหา เฟิงเมี่ยวมองมาที่เขาอย่างเหม่อๆ: “ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่า……แม่นางท่านนี้กับตำหนักอ๋องเกรงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันจริง”
“เกิดเรื่องราวอะไรขึ้น? หรือเพราะที่นางกำลังจัดชั้นวาง?” ซู๋โหย่วเว่ยรีบเดินเข้ามา แล้วมองตามสายตาของเฟิงเมี่ยวที่จ้องไปทางประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นอาโม่ที่จับปลายเสื้อของหญิงสาวไว้แล้วเดินไปเดินมา แม่นางท่านนั้นก็ลดความยาวในการก้าวเท้าลง เพื่อระมัดระวังให้อาโม่ แล้วยังใส่สมุนไพรทีละน้อยๆ
“ก็แค่ความรู้สึกเท่านั้น หมึกพู่กันของที่บ้านก็หมดแล้ว ท่านไปซื้อให้หน่อย ถึงอย่างไรก็ให้นางได้เขียนจดหมายสักฉบับส่งกลับไป” เฟิงเมี่ยวมีความรู้สึกว่าแม่นางท่านนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆอยู่เสมอ จึงได้ตบเบาๆที่ไหล่ของซู๋โหย่วเว่ย
ซู๋โหย่วเว่ยเพียงพยักหน้า แล้วรีบไปจัดการ
รอจนกระทั่งค่ำ กู้อ้าวเวยจึงได้นำสิ่งของต่างจัดเก็บเข้าไปในตู้ยา ทานข้าวทั้งเร็วทั้งมาก ดูไม่ออกว่ามีส่วนไหนคล้ายคนที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้ใส่ใจ นึกถึงแต่ตนเองที่ไม่ได้ทานอาหารมาหลายวัน แต่ก็ไม่กล้าทานมากไปกว่านี้ ทำได้เพียงวางถ้วยและตะเกียบลง แล้วถือโอกาสเดินไปอีกด้านหยิบหมึกพู่กันขึ้นมา
นางเขียนแค่ว่ามาถึงตำบลซ่านหลินแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าคนของโหวเซ่ออยู่ที่ไหน เพื่อป้องกันสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ นางจึงปกปิดชื่อจริง แล้วใช้นามแฝงว่าเอ่อร์ชิงจะเดินทางไปที่หลิ่งหนานตระกูลหยุนเพียงคนเดียว ขอให้ซ่านจินจื๋ออย่าได้คะนึงถึง ลงท้าย มีเพียงแค่เอ่อร์ชิงสองพยางค์เท่านั้น
ซู๋โหย่วเว่ยเห็นตัวหนังสือที่นางเขียนแล้วก็ไม่ใช่พวกคุณหนูน้อยใหญ่ที่สามารถเขียนออกมาได้ ยิ่งเห็นเอ่อร์ชิงสองพยางค์นี้แล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้: “จะส่งไปที่ตำหนักอ๋องจริงหรือ?”
กู้อ้าวเวยพิจารณาเล็กน้อย หากว่ากลางทางมีคนดักอ่านจดหมายนี้แล้ว ก็ต้องรู้ว่านางและตำหนักอ๋องมีความสัมพันธ์กัน
นางลังเลเล็กน้อย จึงเขียนจดหมายอีกฉบับขึ้น ลงท้ายเยียนเพียงตัวเดียว เพียงพูดถึงเรื่องราวงานแต่งก่อนหน้านี้ของฉีหลินเหมือนกันกับกู้จี้เหยา เสร็จแล้วจึงมอบให้ซู๋โหย่วเว่ย: “เป็นข้าที่ประมาทเลินเล่อเกินไป ขอเพียงแค่ส่งไปถึงสำนักเยียนหยู่เก๋อในเทียนเหยียน หากถึงมือคุณหนูฉีหรัวจะเป็นการดีสุด
“ได้” ซู๋โหย่วเว่ยเพียงพยักหน้า โดยที่ไม่เห็นปากของกู้อ้าวเวยยกขึ้นเล็กน้อย