บทที่ 161 ใจลวง
ซ่านจินจื๋อ ควบม้าตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เพียงกี่วันก็เดินทางมาถึงตำบลซ่านหลินที่น้อยคนจะรู้จัก
ตำบลซ่านหลินเกือบทั้งหมดล้วนพึ่งพาตนเอง ถึงแม้ว่ามีผู้มาเยือน แต่ก็เป็นคนท้องที่ แท้จริงแล้วตำบลซ่านหลินตั้งอยู่ในป่าเขา คาราวานพ่อค้าเดินทางจากที่นั่นน้อยมาก
ตอนที่ซ่านจินจื๋อพากุ่ยเม่ยมาถึงก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว
พวกเขาค้นหาตามเส้นสนกลในก็เจอเบาะแส ทราบว่าผู้ส่งจดหมายฉบับนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการแพทย์ จึงนำผู้คนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน่วยการแพทย์แห่งนี้ เฟิงเมี่ยวและซู๋โหย่วเว่ยเปิดประตูออกมาก็พบกับม้าสีดำและนักการจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาสะดุ้งตกใจ: “ท่านว่าการ มีเรื่องอะไรหรือมิทราบ?”
จิตใจ้สำนึกบอกซู๋โหย่วเว่ยให้ปกป้องเฟิงเมี่ยวและอาโม่เอาไว้ข้างหลัง
แต่อาโม่กลับเอียงหน้ามามองซ่านจินจื๋อลงจากหลังม้า: “พวกท่านมาหาท่านพี่หรือ?”
ซู๋โหย่วเว่ยถึงกับตกใจ แต่ก็ฟังนักการที่ยืนอยู่ด้านข้างพูด: “พวกเจ้ายังมัวทำอะไร มองไม่เห็นป้ายที่เอวหรืออย่างไร นี่คืออ๋องจิ้ง ยังไม่แสดงความเคารพกันอีก!”
“อ๋องจิ้ง” ซู๋โหย่วเว่ย เฟิงเมี่ยว อาโม่คุกเข่าลง หวังว่าคำพูดของอาโม่เมื่อสักครู่จะไม่ล่วงเกินอ๋องจิ้ง
ซ่านจินจื๋อประคองซู๋โหย่วเว่ยขึ้นมา นำจดหมายฉบับนั้นส่งให้เขา กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างหลังกระซิบถามว่า: “นี่คือของเจ้าหรือไม่?”
มองเห็นกุ่ยเม่ยดำมืดตื้อทั้งร่าง ซู๋โหย่วเว่ยจึงเปิดอ่าน นี่ไม่ใช่จดหมายก่อนหน้านี้ของเอ่อร์ชิงหรอกหรือ?
พอนึกถึงเรื่องนี้ ซู๋โหย่วเว่ยและเฟิงเมี่ยวก็มองหน้ากันอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าเอ่อร์ชิงและอ๋องจิ้งมีความเกี่ยวข้องกัน จึงรีบตอบว่า: “ก่อนหน้านี้พวกเราช่วยนางไว้ระหว่างทาง แต่หลังจากกลับมานางบอกว่านางต้องการปกปิดชื่อไว้ จะได้ไม่สร้างปัญหาให้พวกเรา ภายหลังจึงส่งจดหมายมา”
“ช่วยไว้ที่ใด?” สีหน้าซ่านจินจื๋อเย็นเยือก เจตนาสังหารในนัยน์ตาคู่นั้นเกือบจะกลายเป็นมีดที่แหลมคมพร้อมตัดคอพวกเขา
ซู๋โหย่วเว่ย เพียงแจ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนั้น: “ก่อนหน้านี้พวกเราพบนางระหว่างทางที่ตำบลซ่านหลิน นางลอยมาจากต้นแม่น้ำแยงซีเกียง ปืนข้ามเขาลูกเล็กนั้นมา ในเวลานั้นข้อมือข้อเท้าของนางถูกล่ามโซ่ตรวนและกุญแจมือไว้ เนื้อตัวมีบาดแผลที่หน้าอกและไหล่ แช่อยู่ในน้ำจนเป็นหนอง ภายหลังรักษาดูแลอยู่ไม่กี่วัน ก็ไปขอให้พี่น้องตระกูลเมิ่งช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ ก่อนได้กำไรค่าเดินทาง สิบวันก่อนนางได้ติดตามคาราบาวพ่อค้าตระกูลเมิ่งและเดินทางไปยังหลิ่งหนาน”
กุ่ยเม่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด มีเพียงซ่านจินจื๋อเคลิบเคลิ้มอยู่เล็กน้อย: “เจ้ารู้ไหมว่านางหนีออกไปได้อย่างไร มันปลอดภัย?”
“นางบอกว่าไม่สามารถเกี่ยวพันกับพวกเราได้ จึงไม่บอก” ซู๋โหย่วเว่ยพูดอย่างระมัดระวัง: “แต่นางบอกว่าตอนนี้นางได้ใช้นามแฝงว่าเอ่อร์ชิง ปลอดภัยอย่างแน่นอน หลังจากเดินทางถึงหลิ่งหนานจะส่งจดหมายถึงเทียนเหยียน ยิ่งไปกว่านั้นคาราวานพ่อค้าเองก็ส่งข่าวมา และดูเหมือนว่าจะส่งคนไปถึงหลิ่งหนานอย่างปลอดภัย”
“กลับเทียนเหยียน” ซู๋โหย่วเว่ยถอนหายใจเบาๆ
ตราบใดที่กู้อ้าวเวยปลอดภัย เขาจะได้ไปต้องกังวลอีกต่อไป ซูพ่านเอ๋อยังคงรอเขาอยู่
“พระชายาไปที่นั่น ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อย่างไรก็ให้กุ่ยเม่ยพาคนไปดูสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงซานยังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่เล็กน้อย เสียงของเขาทุ้มต่ำลง แต่เพิ่งกลับค้นพบว่าไม่มีเงาของกุ่ยเม่ยที่อยู่รอบๆตัวแล้ว และเงาด้านหลังก็ไม่มี
เพียงแค่ซ่านจินจื๋อโบกมือของเขาเท่านั้น ก็มีคนสองคนเดินที่อยู่ริมทางเดินมา
ฉีหลินและหยินเชี่ยวเดินออกมาจากมุมตรอก หลังจากเห็นซ่านจินจื๋อมาก็แสดงความเคารพ
“พวกเจ้ามาเมื่อใด? เหตุใดไม่รายงานท่านอ๋อง!”
“ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้รับข่าว ด้วยเหตุนี้แม่นางเอ้อจึงไม่มีทางเลือก นอกจากให้เรามาพบกัน พวกเราไม่กล้ามาสืบสวนอย่างหลับหูหลับตาได้ จนเมื่อวานมาถึง” หยินเชี่ยวรีบเอ่ยปากพูดก่อนฉีหลินที่อยู่ข้างๆ
ฉีหลินไม่มีความรู้สึกดีต่อซ่านจินจื๋อนานแล้ว เพียงแค่นิ่งเงียบ
“ทำไมท่านอ๋องไม่ไปหลิ่งหนานและนำพระชายากลับมาด้วยตัวท่านเอง” หยินเชี่ยวเห็นว่าซ่านจินจื๋อกำลังจะไป จึงรีบถามออกไปเช่นนี้
“ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ” ซ่านจินจื๋อพูดทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้
หยินเชี่ยวกัดริมฝีปากของเขา เฉิงซานไม่พร้อมทิ้งทั้งสองคนไว้ เพียงแค่สั่งให้ไปเช่ารถม้า พาทั้งสองคนกลับไป ฉีหลินและหยินเชี่ยวมองหน้ากัน ไม่ชอบที่ซ่านจินจื๋อทำเช่นนี้
ในระหว่างทางกลับ ซ่านจินจื๋อหันไปยังเฉิงซานที่อยู่ข้างๆ: “จดหมายฉบับนี้ส่งไปยังหลิ่งหนานตระกูลหยุน ให้พวกเขาดูแล และแจ้งให้ข้าทราบเมื่อกู้อ้าวเวยออกเดินทาง”
“ท่านอ๋องหมายถึง…”
“รอจนกว่านางจะได้สูตรลับและกลับมาจากตระกูลหยุน ข้าจะพานางไปหน้าผาไป๋เฉ่า” ซ่านจินจื๋อดึงบังเหยีนแน่นและควบม้าออกไป เฉิงซานตามไปอย่างใกล้ชิด ทิ้งให้ผู้คนที่อยู่ข้างหลังไกลห่างออกไป
“เมื่อนานมาแล้ว พระชายาได้ให้สูตรไว้แล้ว ก็สามารถดูแลรักษาร่างกายของแม่นางซู เวลานี้ทำไมยังต้องการสูตรลับของตระกูลหยุนหรือ?” เฉิงซานไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดว่าสูตรนั่นดีจริงๆงั้นหรือ?” ซ่านจินจื๋อยิ้มเยาะ หลิ่งหนานตระกูลหยุนนี้ช่างกลับกลอก แม้แต่ราชวงศ์ก็ต้องการติดต่อกับพวกเขา สูตรลับนี้จะตกไปอยู่ในมือของกู้อ้าวเวยได้ง่ายๆอย่างไร
เฉิงซานปิดปากไม่พูด ผ่านไปไม่นานนัก เขาจึงเอ่ยปาก: “ท่านอ๋อง คงรักนางด้วยความจริงใจ”
เสียงลมดังโกลาหล คำพูดของซ่านจินจื๋อแม้สักคำเดียวก็ไม่เข้าไปในหูของเฉิงซาน: “พ่านเอ๋อคือรักแท้ของข้า แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าก็โดนข้าหลอก”
ดวงตาของเฉิงซานเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นรอยยิ้มที่ยากจะเห็นได้บนใบหน้าของซ่านจินจื๋อ
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เห็นอกเห็นใจกู้อ้าวเวยขึ้นมา
แท้จริงแล้วการปรนเปรอก่อนหน้านี้มันก็เป็นแค่ภาพลวงตา ความจริงทั้งหมดก็เพื่อซูพ่านเอ๋อ
……
หลิ่งหนานในเวลานี้ เหล่านักการไม่สามารถจัดการดูแลเจ้ายุทธภพที่หยิ่งยโสและใช้อำนาจบาตรใหญ่เหล่านี้ได้
แต่กู้อ้าวเวยในเวลานี้ หนาแน่นไปด้วยเหล่าเจ้ายุทธภพบนชั้นสองของร้านอาหารแห่งหนึ่ง นางนั่งอยู่ลำพังคนเดียวที่โต๊ะ แต่กลับดูโดดเด่น นางจดจ่ออยู่กับหอปาเจี่ยวนั่น
กล่าวกันว่าหอปาเจี่ยวเดิมเป็นบ้านที่มีลานบ้าน เมื่อปรากฏขึ้นจำเป็นต้องทุบกำแพงอิฐล้อมรอบออก
หอปาเจี่ยวเคยได้รับการปกป้องดูแลโดยผู้อาวุโสยุทธภพที่เกษียณไปแล้ว ตราบใดที่สมบัติล้ำค่านั้นถูกขายไป มันจะดูแลและควบคุมด้วยตนเองไปโดยปริยาย
แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกู้อ้าวเวย นางเพียงแต่มองหอปาเจี่ยวที่คล้ายกับที่พำนักในจวนตระกูลกู้ที่เคยอาศัยอยู่ด้วยกันกับหยุนชิงหยางในเมื่อก่อน แม้ว่าข้างบนจะไม่มีระฆังแขวนอยู่ แต่ก็แขวนป้ายที่วาดระฆังเหล็กไว้
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อบอกกับนางว่า: “ลายบนแผ่นป้ายนั้น กล่าวกันว่าเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เสียชีวิตในหอปาเจี่ยวได้วาดเอาไว้ ไม่ได้มีความหมายโดยนัยอะไรมากมาย”
กู้อ้าวเวยพยักหน้าเบาๆ และออกไปจากร้านอาหารแห่งนี้ เดินตรงไปยังหอปาเจี่ยวนั่น
แม้จะบอกว่าหอปาเจี่ยวนี้จะได้รับการปกป้องดูแลโดยผู้อาวุโสยุทธภพ แต่จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงต้องการดื่มกินอยู่เหมือนเดิม อำนาจที่อยู่เบื้องหลังอาจจะคิดและรับรู้ได้ แต่ทว่าการตกแต่งเช่นนี้ แม้จะคิดก็รู้ได้ว่าเป็นเงินช่วยเหลือที่อยู่เบื้องหลังของตระกูลหยุน
เช่นนี้แล้ว ซ่านจินจื๋อแม้จะพยายามแต่ก็ไม่มีทางจะได้รู้ข่าวจากปากของหยุนชิงหยาง แค่นี้ก็เข้าได้อย่างรวดเร็วแล้ว
การสมรู้ร่วมคิดของหลิ่งหนานตระกูลหยุนเพื่อแต่งตั้งตัวเองอย่างเป็นทางการ ให้ลูกสาวลูกชายแต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ และยังติดต่อกับเจ้ายุทธภพ ให้เป็นหลักประกันบางอย่าง แต่ก็สามารถเอาวิธีเช่นนี้มารักษาสมดุลไว้ได้ ผู้อาวุโสของตระกูลหยุนช่างเก่งกาจ
ช่างน่าเสียดายนางเพิ่งเดินเข้าไปในหอปาเจี่ยว ชายชราผมเคราสีขาวก็ร่วงลงมาต่อหน้านาง: “แม่นางไม่พกอาวุธมา แต่มารนหาที่ตาย?”