บทที่ 163 ดินแดนแห่งความฝัน
ณ เมืองเทียนเหยียน ตำหนักอ๋องจิ้ง
เสี่ยวฉวนคนสนิทของฮ่องเต้เดินเข้ามาในพระตำหนัก เพื่อแจ้งคำสั่งการให้อ๋องจิ้งทราบ: “ท่านอ๋องจิ้ง หลิ่งหนานชิงซวงได้ปลุกปั่นเจ้ายุทธภพ นักการไม่สามารถจัดการควบคุมได้ เพลานี้องค์ฮ่องเต้ต้องการเชิญท่านไปกำราบ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดสร้างความวุ่นวาย”
เรื่องยุทธภพ
ช่างน่าเสียดายที่ทุกวันนี้เจ้ายุทธภพไม่ได้กลียุคอีกต่อไป เขาจึงหาวิธีการก่อความวุ่นวาย การประลองยุทธเกลื่อนกลาดเต็มท้องถนน หรือไปยั่วยุก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเลือดสาด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงอาวุธลับและนักดาบ
เฉิงซานที่อยู่ข้างๆฟังความครึ่งหนึ่ง ก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “กงกง(เรียกขันที) การต่อสู้ของยุทธภพ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องออกหน้า”
เสี่ยวฉวนสีหน้าไม่ดี ซ่านจินจื๋อมองดูอย่างเงียบๆ
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ขาทั้งสองขาของเสี่ยวฉวนอ่อนยวบลงทันที เขารีบคุกเขาต่อหน้าซ่านจินจื๋อ: “ท่านอ๋อง นี่เป็นคำสั่งขององค์ฮ่องเต้ สั่งการว่าท่านอ๋องควรกลับไปพร้อมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่านจินจื๋อสีหน้าอึมครึม ไม่รู้ว่าทำไมท่านพี่ต้องติดอยู่กับหลิ่งหนานตระกูลหยุน วันนี้ก็ไม่ออกพระราชโองการ เพียงแค่สั่งคำสั่งการ ไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โต แต่คำสั่งบีบบังคับอย่างชัดเจน
เมี่ยวหารที่ถือกล่องยาอยู่ด้านหลังออกมาได้ยินข่าวนี้ เขาสีหน้าอึมครึม
ตอนนี้ซูพ่านเอ๋อล้มหมอนนอนเสื่อก็เพราะโหวเซ่อ เขาเสียใจที่ไม่ฆ่ากู้อ้าวเวย ไม่อย่างนั้นซูพ่านเอ๋อก็ไม่ต้องล้มป่วยอย่างทุกวันนี้
“ข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้”
“ท่านอ๋อง! องค์ฮ่องเต้ให้ท่านออกเดินทางทันที และต้องพาพระชายากลับไป” วันนี้เสี่ยวฉวนพูดจาอย่างไม่อ้อมค้อม เขาก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นไปทั้งตัว เพียงนำคำสั่งการขององค์ฮ่องเต้มาแจ้งให้ทราบ
ซ่านจินจื๋อกำหมัดแน่น เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วเดินไปในห้องของซูพ่านเอ๋อ
หากซูพ่านเอ๋อรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้ว่านางจะโมโหใส่อย่างไร
เมี่ยวหารเห็นทุกอย่างด้วยสายตา เขารอจนกระทั่งซ่านจินจื๋อออกไปจากห้องของซูพ่านเอ๋อ จึงสั่งให้คนไปเตรียมม้าไปยังหลิ่งหนาน เขาถึงกลับเข้าไปในห้องของซูพ่านเอ๋ออีกครั้ง
คนที่นอนอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเผือด อาละวาดขว้างปาสิ่งของไม่ต่างจากเมื่อก่อน
“พ่านเอ๋อ ท่านอ๋องเพียงรับคำสั่งขององค์ฮ่องเต้…”
“ข้ารู้ ทำไม่ข้าจะไม่รู้” ซูพ่านเอ๋อหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา นางค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง สั่งจิ่นซิ่วให้เปิดหน้าต่าง นางน้ำตาไหลออกมา บนผ้าปูเตียงปรากฏให้เห็นรอยคราบน้ำตา แต่นางกลับหัวเราะอย่างมีความสุข: “ฮ่องเต้ไม่ต้องการให้ข้าและพี่จื๋ออยู่ด้วยกัน เขาไม่ลืมว่าข้าและจูเย่นฆ่าซ่านหลิงเอ๋อร์! เห็นๆอยู่ว่าเขาเก็บความลับ ไม่เคยบอกพี่จื๋อ แต่กลับกดดันข้าอยู่อย่างลับๆ อนุญาตให้พี่จื๋อพาข้าเข้าตำหนัก! แต่ไม่อนุญาตให้ข้าได้รับสถานะแม้แต่น้อย!”
จิ่นซิ่วนั่นหรือจะเคยได้ยินข่าวลับของราชวงศ์ และยิ่งไม่รู้เรื่องนี้ เขารีบคุกเข่าลงบนพื้น แสร้งว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
เมี่ยวหารสีหน้าอึมครึม รู้ว่าซ่านจินจื๋อไม่อยู่บนพระตำหนัก และพ่อบ้านที่นี่ก็เป็นคนต่ำต้อยที่ชอบประจบและแอบอิงผู้มีอิทธิพล เพราะฉะนั้นแล้วไม่สามารถนำเรื่องของซูพ่านเอ๋อไปบอกผู้อื่นได้ แต่เขาก็ยังคงไม่วางใจ: “แม่นางพ่านเอ๋อพูดมากไป และองค์ฮ่องเต้ก็มิใช่คนเช่นนั้น”
“ทำไมเขาเห็นข้าเป็นก้างขวางคอ! หรือเขาอยากเห็นข้าเจ็บปวด!” ซูพ่านเอ๋อจับเสื้อตรงหน้าอกของตัวเองแน่น และตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
นางรู้สึกไม่ยุติธรรม นางเคยมีซ่านจื๋ออยู่ข้างๆ ตอนนี้ข้างกายกลับไม่มีใคร นางถูกแย่งชิงสติทั้งหมดไป เรื่องชั่วร้ายที่เคยทำเกือบทั้งหมดนางก็ซ่อนเอาไว้ แต่มาวันนี้ นางกลับหัวเราะเสียงดังอย่างคนบ้า: “แต่… ถ้าให้พี่จื๋อรู้ว่าท่านอาจารย์คือ…”
“เจ้าไม่สามารถพูดได้!” เมี่ยวหารรีบไปปิดปากนาง
ซูพ่านเอ๋อกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสงบลง คิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่ตนทำอะไรลงไป นางเบิกตากว้างตื่นตระหนกตกใจ มองไปทางจิ่นซิ่ว นางผลักเมี่ยวหาร แล้วดึงจิ่นซิ่วให้ยืนขึ้นจากพื้น: “เจ้าได้ยินอะไรไปบ้าง?”
สายตาของซูพ่านเอ๋อน่าสยดสยอง จิ่นซิ่วรีบสายหัว: “แม่นางพูดอะไรไป จิ่นซิ่วแม้แต่คำเดียวก็ไม่ได้ยินเพคะ โปรดท่านหญิงอย่าฆ่าข้าเลยนะเพคะ!”
เมี่ยวหารรีบดึงนางออกไป: “เจ้ามีจิ่นซิ่วคนเดียวที่เชื่อใจได้ นางจริงใจกับเจ้า”
ซูพ่านเอ๋อนั่งลงที่ขอบเตียง มองจิ่นซิ่วและเมี่ยวหารที่อยู่ต่อหน้าอย่างจำใจ นางตีอกตัวเองเบาๆ แล้วพูดต่อ: “ช่างเถอะ ตอนนี้ข้ามีแค่พวกเจ้าสองคนที่ข้าเชื่อใจ หลังจากกู้อ้าวเวยกลับมา ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าทำเรื่องบางสิ่ง”
“อะไร?” เมี่ยวหารขมวดคิ้ว
“ข้าต้องการให้นางได้ลิ้มรสวันที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักอ๋อง” ซูพ่านเอ๋อแสยะยิ้มมุมปาก ในขณะที่บนใบหน้ายังมีน้ำตาไหลอยู่
……
หลิ่งหนานตระกูลหยุนในเวลานี้ กู้อ้าวเวยยังคงนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงได้เพียงไม่กี่วัน ข้อมือยากที่จะตกสะเก็ด หากไม่ใช่ฝีมือการรักษาของหยุนชิงหยาง บาดแผลของนางก็ยังคงไม่สมาน
เมื่อก่อนไม่เคยมองออกว่าทักษะการแพทย์ของคนในตระกูลหยุนนั้นเกือบทั้งหมดล้วนลึกล้ำและยอดเยี่ยม
กู้อ้าวเวยเพิ่งจะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือภูเขายังมีภูเขา เหนือคนยังมีคน ที่แห่งนี้มีคนที่เก่งกาจเรื่องการฝังเข็ม แม้แต่เด็กที่มีอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ก็สามารถอ่านเรื่องยาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ เด็ก ๆ ที่นางเคยพบก่อนหน้านี้ส่งเสียงทุกวันไม่หยุด พวกเขาจัดการให้ยาอย่างไม่สะเพร่าแม้แต่นิดเดียว ทางผ่านภูเขาพวกเขายังให้คนมาเพราะปลูก แม่ครัวไม่กี่คนในครัวก็ล้วนได้รับอิทธิจากสิ่งที่เห็นที่ยินอยู่เป็นประจำ
กู้อ้าวเวยนั่งแกว่งขาบนชิงช้าที่หยาบกระด้าง อดไม่ได้ที่จะพูดกับหยุนชิงหยาง: “ตระกูลหยุนตรงไหนที่ในสังคมนี้เรียกว่ามหัศจรรย์ ดูเหมือนว่าตอนนี้ที่นี่เหมือนยิ่งกว่าดินแดนแห่งความฝัน”
รากฐานของตระกูลหยุนเป็นพันๆปี ได้สร้างความยิ่งใหญ่เช่นนี้ไว้ แต่เมื่อพวกเขาถึงช่วงเวลาที่ดี ก็ไม่ได้รับอิสระ หยุนชิงหยางยืนนิ่ง พูดเสียงค่อย: “น่าเสียดาย เจ้าในฐานะลูกหลานตระกูลหยุน ไม่ได้เติบโตที่นี่”
“แท้จริงข้าแซ่กู้” กู้อ้าวเวยกระโดดลงมาจากชิงช้า หายใจเข้าลึกๆไปเฮือกหนึ่ง นางมองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างอาลัยอาวรณ์
ถ้าหากอยู่ที่นี่ได้นานๆ ได้ศึกษาค้นคว้าการแพทย์ ก็คงเป็นเรื่องที่ดีงาม
ระหว่างทางที่มา ต่อให้ที่นี่เทียบไม่ได้กับความเจริญรุ่งเรืองครึ่งหนึ่งของเทียนเหยียน แต่ผู้คนและภูมิศาสตร์ต่างกัน ความดีความเลวเป็นครึ่งต่อครึ่ง สภาพสังคมยังคงยากลำบาก แต่กลับดีกว่าเทียนเหยียนทุกด้าน
“ลูกหลานตระกูลหยุน เพียงแบ่งสายเลือดกันเท่านั้น” ทันใดนั้นก็มีหญิงวัยสามสิบโผล่มาจากด้านหลัง นางมักสวมใส่เสื้อสีขาว พบเพียงไม่กี่วัน รู้เพียงว่าฝีมือในการรักษาของนางช่างยอดเยี่ยม แต่นัยน์ตาทั้งคู่ระทมทุกข์ ดูเหมือนว่าเข้ากับสังคมมนุษย์นี้ไม่ได้ และนางก็ไม่ได้แซ่หยุน แต่ก็เป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลหยุน
“ที่นี่มีแซ่นามสกุลแตกต่างกันมากมาย แต่ตราบใดที่มีสายเลือดตระกูลหยุน พวกเราก็ได้รับการเลี้ยงดูเติบโต กระทั่งหลังจากพวกเขาเติบโตขึ้น ก็จะแทนที่ด้วยชื่อของตระกูลหยุน จะทำงานด้านการแพทย์หรือค้าขาย ก็ไม่มีใครไปราชสำนัก” หญิงสาวผู้นั้นหันกลับมา ตาหงส์คู่นั้นกลับตกอยู่ในสายตากู้อ้าวเวย
“บรรพบุรุษตระกูลหยุน มีเพียงคนเดียวที่แต่งงานกับราชวงศ์ กู้อ้าวเวย เจ้าเป็นเหยื่อสังเวยของตระกูลหยุน ต่อให้รู้ความจริง เจ้าก็ยังคงไม่ยอมปลีกตัวออกจากหลักเลนของราชวงศ์หรือ?”