บทที่ 175 ร่วมทางสู่หน้าผาไป๋เฉ่า
หน้าผาไป๋เฉ่ามีหิมะตลอดปี ลมบนยอดเขาจึงหนาวเย็น
เมื่อคนทั้งสองมาถึงครึ่งทางไหล่เขา กู้อ้าวเวยเสียดายที่ไม่ออกกำลังให้ดี นางจำเป็นต้องพึ่งพากำลังของซ่านจินจื๋อเพื่อเดินขึ้นไป กระทั่งหายใจหอบถี่และสีหน้าของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก
“สมุนไพรที่เจ้าจะหานั้นต้องไปหาที่ไหน?” ซ่านจินจื๋อดึงคนมาข้างๆกาย ทางเดินเป็นก้อนหินดินโคลนตั้งแต่เริ่มขึ้นภูเขาจนตอนนี้หิมะเริ่มปกคลุมเท้าเป็นชั้นบางๆ ขณะที่จะมุ่งหน้าต่อลมแรงพัดผ่านส่งเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว
“น่าจะต้องค้นหาสักพัก เมื่อครู่คนนำนางบอกว่าใกล้ๆนี้มีถ้ำแห่งหนึ่งที่สามารถพักผ่อนได้ชั่วคราว” กู้อ้าวเวยจับมือของซ่านจินจื๋อไว้แน่น แค่ปีนมาถึงนี่สองขาของนางก็แทบไม่เหลือแรงแล้ว
สมควรตายนัก พวกองค์ชายสามซุ่มอยู่ที่ไหนกันแน่นะ
นางนึกย้อนอย่างอดไม่ได้ แต่ยังปีนกับซ่านจินจื๋อต่อเรื่อยๆ อีกทั้งระหว่างยังได้พบรากไป๋เฉ่าหยาหนึ่งต้น นางนำไป๋เฉ่าหยาใส่เข้าในกล่องไม้ด้วยความรวดเร็ว
ตามที่หยุนชิงหยางบอก หากเพิ่มไป๋เฉ่าหยาด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมตามในสูตรลับ ไม่เพียงยืดอายุขัย แต่ยังสามารถปลุกคนให้ฟื้นจากความตายกลายเป็นยาอายุวัฒนะ
“คือสมุนไพรตัวนนี้น่ะหรือ?” ซ่านจินจื๋อลากนางเดินต่อ
กู้อ้าวเวยปีนขั้นบันไดเบื้องหน้าอย่างยากลำบาก “หม่อมฉันไม่เคยเห็นสมุนไพรชนิดนี้ จึงเด็ดกลับไปก่อนค่อยว่ากันทีหลัง”
ซ่านจินจื๋อพยักหน้ากับสิ่งนี้ หน้าผาไป๋เฉ่า็ไม่ใช่แค่วันเดียวก็สามารถปีนขึ้นได้ โกยอะไรได้ก็โกยไว้ก่อน
ก่อนที่ช่วงยามค่ำจะมาเยือนพวกซ่านจินจื๋อพบถ้ำตามที่คนนำทางบอก ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กลางไหล่เขา ปากถ้ำนั้นเล็กมากแต่ภายในถ้ำกลับกว้างขวาง กระทั่งมีสิ่งของไม่น้อยที่คนที่ขึ้นเขามาก่อนหน้านี้ได้เหลือทิ้งไว้
เมื่อไปถึงยอดเขาบนหน้าผาไป๋เฉ่าที่มีสมุนไพรหลากหลาย เกษตรกรยาสมุนไพรมักจะมาที่นี่เพื่อหาเลี้ยงปากท้องตนเอง ดังนั้นหากพบคบเพลิงหรือตะเกียงน้ำมันก็ไม่น่าแปลกใจ และฟางกองที่อยู่ข้างๆนั้นเพียงพอที่พวกเขาจะเอนกายลงนอน
แต่ที่แห่งนี้ในช่วงกลางคืนนั้นหนาวเย็น แม้แต่ซ่านจินจื๋อก็เกือบทนไม่ไหว
กู้อ้าวเวยนำเสื้อหนาวตัวใหญ่และผ้าห่มม้วนหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระใบโตบนหลังมาห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา หลังจากนั้นหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ออกมาสองอันแล้วแบ่งให้ซ่านจินจื๋อ
“เจ้าทำไมถึงได้เตรียมเสื้อหนาวมา?
“เพราะหม่อมฉันได้ยินคนนำทางบอกมาไง ทำไมล่ะ? ท่านไม่ได้ฟังหรือ กู้อ้าวเวยหัวเราะคิกคัก
คนได้ฟังถึงกับสีหน้ามืดทะมึน ซ่านจินจื๋อเพียงแต่ทานขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่จนหมด ตอนที่คุยกับคนนำทางอยู่นั้น เพราะป๋ายเสาวิ่งหนีไปกู้อ้าวเวยจึงให้คนไปตามหา ตอนนั้นซ่านจินจื๋อก็เพิ่งเดินออกมาจากในห้องและนำสิ่งของที่ใช้ป้องกันตัวมาด้วยไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ฟังคำสนทนาระหว่างกู้อ้าวเวยกับคนนำทาง
เมื่อจัดการขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ในมือเสร็จ ซ่านจินจื๋อจึงดึงผ้าห่มกู้อ้าวเวยมาคลุมร่างของตนเข้าไว้ด้วยกัน เมื่อห่อตัวเองเสร็จสรรพกู้อ้าวเวยถึงกลับเหลือกตา แต่เมื่อคิดถึงว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน หากให้ซ่านจินจื๋อตัวแข็งตายอยู่ที่นี่จริงๆที่ขาดทุนก็คงเป็นตัวนางเอง
ทั้งสองห่มผ้าผืนเดียวกันและฟังเสียงลมพายุหิมะที่หนักขึ้นเล็กน้อย
เช้าวันถัดมาพวกเขาเผชิญกับภูเขาหิมะสีขาวโพลน จนแทบจะลืมไปแล้วว่านี่ยังเป็นช่วงฤดูร้อน เส้นทางหนึ่งเดียวที่คนนำทางบอกไว้ยังพอมองเห็นลางๆ หลังจากที่หิมะละลายไปแล้วบางส่วนทั้งสองคนจึงได้มุ่งหน้าขึ้นเขาต่อ
ก่อนถึงยอดเขา พายุหิมะพัดเข้าตาจนมองไม่เห็น
พายุหิมะเปรอะเปื้อนอยู่บนแพขนตาของกู้อ้าวเวย นางลืมตาไม่ขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็นซ่านจินจื๋อที่อยู่ตรงหน้า แต่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นสายหนึ่งที่สัมผัสได้ในมือของทั้งคู่
ส่วนซ่านจินจื๋อได้แต่กัดฟันมุ่งหน้าต่อไป
คนทั้งสองไร้คำพูดจา ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่จนขาทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวยแทบจะไร้ความรู้สึก และเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงพายุหิมะที่หายไป ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็ส่องแสงแยงนัยน์ตาและสาดกระทบลงบนแพขนตาส่องประกายวิบวับ
ซ่านจินจื๋อดึงนางขึ้นจากกองหิมะด้วยสีหน้านิ่งขรึม แล้วปัดเกล็ดหิมะบนใบหน้าของนางเบาๆ “พอขยับไหวหรือไม่?”
“ลำบากนิดหน่อย” กู้อ้าวเวยทำได้แค่อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ ครึ่งหนึ่งของขาน้อยๆที่จมอยู่ในหิมะแทบจะไม่สามารถเดินต่อไปไหว
“ขึ้นหลังมา” ซ่านจินจื๋อนำถุงสัมภาระบนหลังของตนพาดไว้ที่ไหล่ของนาง ข้างในยังบรรจุไว้ด้วยยาดองสมุนไพร
แม้แต่คำพูดตอบโต้กู้อ้าวเวยก็เอ่ยไม่ออก ทำได้เพียงไต่ขึ้นหลังของซ่านจินจื๋อ ขณะที่ถูกเขาแบกขึ้นหลังพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง “หม่อมฉันตัวหนักมาก แค่ให้หม่อมฉันพักสักหน่อยก็จะดีขึ้น…”
ซ่านจินจื๋อไม่ฟัง เพียงแต่ดึงกระดาษหนังวัวออกมาจากย่าม ที่อยู่บนนั้นคือลักษณะของสมุนไพรที่กู้อ้าวเวยวาดไว้อยู่ก่อนแล้ว ค่อยๆค้นหาบนผืนดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
“หากคนนำทางพูดถูก พวกเราสมควรต้องลงเขาเส้นนี้เพื่อค้นหาหน้าผาที่แท้จริงถึงจะสามารถหาสมุนไพรตัวนี้พบ” ในขณะเดียวกันกู้อ้าวเวยก็หยิบแผนที่ผ้าผืนหนาออกมาดูอย่างละเอียด ยังโชคดีที่จากจุดนี้สามารถระบุทิศทางได้
สองคนปรึกษากันสักพักก็มุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งก่อนที่ฟ้าจะมืด จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าผาใต้เขาและพบสมุนไพรเหล่านี้ กู้อ้าวเวยแทบจะปราดเข้าไปทันทีเพื่อบรรจุพวกเหล่านี้ลงในยาดองแล้วปิดผนึกอย่างดี ปลายจมูกของนางเริ่มแดงเริ่มแดงด้วยอากาศเย็น
ซ่านจินจื๋อนำยาดองส่งให้กู้อ้าวเวยถือ ส่วนตนก็แบกสัมภาระหนักอึ้งอื่นๆไว้บนหลังแล้วค่อยๆเดินลงไป
จนพวกเขาพบจุดพักชั่วคราวใต้ชะง่อนผา กู้อ้าวเวยกลับขมวดคิ้ว “หม่อมฉันคิดว่าพวกเรามาผิดทางเสียแล้ว หม่อมฉันไม่เห็นทางลงเขาตรงไหนเลย”
“ข้าเองก็ไม่เห็น” ซ่านจินจื๋อเขย่าเกล็ดหิมะน้ำแข็งบนร่างออก
“แต่ว่า ถ้าลงเขาน่าจะไม่ลำบากสิ”กู้อ้าวเวยพิงไหล่ของซ่านจินจื๋อด้วยความเหนื่อยล้าจนแทบไม่ไหวแล้วหลับตาหลง “รู้งี้ หม่อมควรฉันให้ท่านขึ้นมาคนเดียวดีกว่า”
“หลังจากกลับไป เจ้าจะต้องทำร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง” ซ่านจินจื๋อใช่ผ้าห่มห่อหุ้มร่างทั้งคู่ เพียงแต่กลับคาดไม่ถึงว่าผ้าห่มจะแข็งขนาดนี้ อีกทั้งใต้ชะง่อนผาลมกำลังพัดซึ่งไม่มีทางจะจุดไฟติด น่าเสียดายที่เขานำกิ่งไม้แห้งขึ้นมาแต่ไม่มีโอกาสใช้
“หม่อมฉันทราบว่าตนเองควรทำอะไรเพคะ””
“แม้แต่ป๋ายเสายังรู้ดีกว่าเจ้าเลยว่าควรจะทำอะไร” ซ่านจินจื๋อหลับตาอย่างเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน รู้สึกถึงน้ำหนักอันเบาหวิวบริเวณหัวไหล่ พลันยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
กู้อ้าวเวยเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆแล้วก็หลับผลอยไป
จนกระทั่งตื่นในยามตะวันโด่ง ทั้งสองคนตื่นสายโดยไม่ได้นัดหมาย การขึ้นเขานั้นง่ายแต่ลงยาก หลังจากผ่านหน้าผาหลายแห่งและไม่มีทางที่สามารถลงไปได้ กู้อ้าวเวยพลันมองพื้นรอบๆที่ปกคลุมด้วยหิมะชั้นบางๆ “ทำไมการลงเขามันยากขนาดนี้เนี่ย”
“หากหาเส้นทางไม่พบ พวกเราก็ไม่สามารถโดดลงจากหน้าผานี่ได้อยู่ดี” ซ่านจินจื๋อสอดรับคำพูดนาง เมื่อมองดูอย่างระมัดระวังจึงพานางเดินมาอีกด้านหนึ่ง
จนในที่สุดก็หาทางพบ เมื่อลงมาถึงไหล่เขาก็เป็นยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ม่านแห่งยามค่ำคืนคลี่ตัวลงมาปกคลุม
กู้อ้าวเวยมองดูรอบทิศทาง กำลังใคร่ครวญว่าคนของซ่านเซิ่งหานน่าจะลงมือแถวๆนี้
นางจับเข้าที่บริเวณหัวใจอย่างควบคุมไม่อยู่ คว้ามือของซ่านจินจื๋อคล้ายกับถูกผีอำโดยไม่รู้ตัว “ซ่านจินจื๋อ ทันทีที่เราสองคนจะรักษาการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ท่านจะรังเกียจหม่อมฉันหรือไม่?”
“เจ้านิสัยเช่นนี้ ข้าคงรับไม่ไหวหรอก” ซ่านจินจื๋อหัวเราะเยาะ กู้อ้าวเวยเพียงยกยิ้มมุมปาก ทันใดนั้นความละอายในใจลดลงไปอย่างมาก