บทที่ 172 อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปบังคับ
กล่าวกันอยู่เสมอว่าเมื่อเกิดในเชื้อพระวงศ์ บนบ่าย่อมแบกความรับผิดชอบใหญ่หลวง
องค์ชายบางคนเต็มใจที่จะยอมรับภาระนี้ฝึกฝนทุกวันทุกคืนทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ และก็มีองค์ชายบางคนที่เอ้อระเหยลอยชายสร้างปัญหา ทั้งคู่อาจจะจบชีวิตในวังหลวงหรือขึ้นนั่งบัลลังก์ในวันหน้า หรืออาจจะต้องโดนจำคุกในอนาคต แต่พวกเขาล้วนไม่เป็นตัวของตัวเอง
แม้แต่ตัวซ่านจินจื๋อเองก็อยากถามว่าถ้าหากเขาไม่ได้เป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ตั้งความหวัง แล้วตนพาซูพ่านเอ๋อหนีไปไกลแสนไกล วันนี้เขาจะเป็นอิสระไร้พันธนาการมากกว่านี้หรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขากลับไม่สามารถลืมรสชาติของสนามรบและบัลลังก์มังกรแห่งวังหลวง
รถม้าเดินทางช่วงกลางคืน กู้อ้าวเวยที่ไม่สามารถนอนหลับจึงได้แต่ประคองหนังตาจ้องซ่านจินจื๋อที่อยู่ตรงหน้า “ท่านน่าจะเคยดูพระอาทิตย์ย่ำรุ่งและยามพระอาทิตย์ตกดินกับซูพ่านเอ๋อสินะ”
“นับครั้งไม่ถ้วน” ซ่านจินจื๋อกล่าวยอมรับ
กู้อ้าวเวยยกมุมปาก เลิกผ้าม่านเพื่อมองออกไปยังข้างนอกและหัวเราะเบาๆ “ท่านกับหม่อมฉันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
“เพราะเหตุใดรึ?”
“จะพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ดวงจันทร์อันโดดเดี่ยวหรือราตรีที่ไร้แสง หม่อมฉันดูคนเดียวเพียงลำพังมาโดยตลอด ในช่วงเวลาแบบนี้หม่อมฉันมักจะอยู่คนเดียวเสมอ” กู้อ้าวเวยหันหน้าไปทางแสงบนท้องฟ้ายามรุ่งสางฝั่งเทือกเขา พลันยกยิ้มมุมปาก “คงมีวันนี้ที่หม่อมฉันได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันกับท่าน บางทีอาจมีแค่วันนี้ที่พวกเรามีความคล้ายกัน”
ซ่านจินจื๋อรู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างเหลวไหล
แค่พระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก จะสื่ออะไรได้
เมื่อกู้อ้าวเวยเห็นแสงสว่างรำไรจึงระงับรอยยิ้มบนมุมปาก ยกมือขึ้นมากุมมือของซ่านจินจื๋อ ฝ่ามือของซ่านจินจื๋อทั้งหนากว้างและแข็งแรง ส่วนมือของกู้อ้าวเวยนั้นผอมบางเล็กกระจิ๋วหลิว
“จะทำอะไร?”
เพียงแค่อยากเตือนท่านอ๋องสักประโยค ท่านสมควรจะเป็นอินทรีที่ทะยานเหนือท้องฟ้า เป็นเทพแห่งสงครามแห่งสมรภูมิ ไม่ใช่องค์ชายที่ทิ้งบ้านเมืองเพื่อคนๆเดียว ที่ฮ่องเต้คาดหวังในตัวท่านอย่างลึกซึ้งเป็นเพราะท่านเผด็จการและเด็ดเดี่ยว เขายอมมอบอำนาจทางทหารให้ท่าน โดยยอมให้ท่านสร้างผลงานสร้างอำนาจ
เขาไม่หวั่นเกรงที่จะมอบบัลลังก์ให้กับท่าน แต่ท่านกลับละทิ้งโอกาสเพื่อซูพ่านเอ๋อ””กู้อ้าวเวยไม่หยุดยิ้ม ต่อมาจึงชักมือตนกลับ
“เจ้าจะบอกว่าข้า จัดลำดับความสำคัญผิดงั้นหรือ?”
หากวางซูพ่านเอ๋อไว้ข้างกายหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ ทุกอย่างจะแตกต่างอย่างสิ้นเเชิง
แต่น่าเสียดาย ข้างกายเขาไร้คนฝีปากกล้าเช่นนี้
“ใช่” กู้อ้าวเวยยอมรับ “ท่านอ๋องควรทราบดีว่า เมื่อก้าวแรกพลาด ก้าวต่อไปก็ง่ายที่จะผิดพลาด”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าคงไม่ได้เป็นฮ่องเต้เสียแล้ว” ซ่านจินจื๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราเยาะหยัน พายุก่อตัวขึ้นในดวงตา
กู้อ้าวเวยกลอกนัยน์ตากลมกลิ้งแล้วพยักหน้าในที่สุด “ผิดพลาดแม้เพียงนิด ก็ผิดไปเป็นโยชน์ได้ (เปรียบเทียบว่าความผิดพลาดในตอนต้นแม้จะเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงได้) หากท่านคิดจะครองบัลลังก์เพื่อซูพ่านเอ๋อ มันก็ดูเลื่อนลอยไร้สาระเกินไป”
ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นกุมลำคอของกู้อ้าวเวย ด้วยพละกำลังที่ไม่หนักหนาแต่เจตนาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้น สองมือของกู้อ้าวเวยปัดป่ายที่ข้อมือของซ่านจินจื๋อพลันกล่าวต่อ “หม่อมฉันพูดเช่นนี้ความหมายต้องการจะบอกท่านว่า ผู้คนอาศัยอยู่บนโลก มีพระอาทิตย์ขึ้นก็ย่อมมีพระอาทิตย์ตก ยามนี้ท่านคิดอยากจะพาคนไร้อนาคตทะยานสู่ขอบฟ้า คนปัญญาอ่อนยังบอกน่าขันเลย!”
“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าโมโหแล้วเป็นอย่างไร!” ซ่านจินจื๋อเพิ่มแรงมากขึ้นอีก
กู้อ้าวเวยส่งเสียงอึดอัดแต่นางเพียงแค่ยกมุมปาก มั่นใจแล้วว่าซ่านจินจื๋อจะไม่ลงแรงหนักมือไปมากกว่านี้
เพียงชั่วครู่ เฉิงซานที่กำลังควบม้าอยู่ก็เข้ามาห้ามซ่านจินจื๋อ
กู้อ้าวเวยบีบนวดลำคอของตน “ช่างเถอะ ไม่อยากฟังคำแนะนำดีๆก็ช่างปะไร”
“เจ้า!”
“ท่านอ๋อง ทะเลาะกันต่อเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีพะย่ะค่ะ”เฉิงซานรุดเข้ามาห้าม
ซ่านจินจื๋อไม่รั้งอยู่ต่อพลันสะบัดแขนเสื้อจากไปในทันทีเพื่อขึ้นม้าของตนเอง แล้วหันมองเฉิงซาน “ให้กุ่ยเม่ยมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ข้าจะกลับเทียนเหยียนไปดูพ่านเอ๋อร์”
“เดินทางราบรื่นนะ”กู้อ้าวเวยโบกมือหยอยๆอย่างไม่กลัวตาย
ซ่านจินจื๋อควบม้าจากไป เฉิงซานขานรับคำสั่งอย่างไม่รีรอ จนกระทั่งเงาร่างซ่านจินจื๋อเลือนหายไปในความมืดอันเวิ้งว้างกู้อ้าวเวยจึงได้ยกยิ้มมุมปาก เหลือบมองกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่ไว้ในแขนเสื้ออยู่ก่อนแล้ว
ค่ำคืนของวันถัดมา นางเลือกนกพิราบส่งสารของตระกูลฉีและส่งจดหมายออกไป
กุ่ยเม่ยคล้ายกับต้องการสอบถามว่านั่นคือสิ่งใด กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ “นั่นเป็นใบสั่งยาที่ข้าส่งให้สำนักเหยียนหยู่เก๋อ จากมาก็นานกลับยังไม่สามารถลืมวิธีหาเงินทองอ่ะได้เลย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้กุ่ยเม่ยก็ไม่ถามให้มากความอีก
นกพิราบส่งสารบินกลับเทียนเหยียนเป็นระยะทางยาวไกล เมื่อฉีหลินเห็นสิ่งที่อยู่บนนั้น ก็ให้คนนำของส่งให้กับคฤหาสน์ขององค์ชายสาม
ตั้งแต่ที่เยว่ปล่อยให้กู้อ้าวเวยถูกจับไป ซ่านเซิ่งหานก็ไม่เห็นเป็นคนสนิทรู้ใจอีก ขณะที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ก็ยิ้มโค้งมุมปาก ให้คนข้างกายทั้งหมดไปซุ่มที่หน้าผาไป๋เฉ่า จะต้องสังหารซ่านจินจื๋อ ไม่อาจปล่อยให้เขารอดกลับมาได้
อีกฟากหนึ่ง ฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว คนทั้งสองอุดอู้อยู่ในโรงเตี๊ยม
กู้อ้าวเวยตากลมหนาวทำยาดองสมุนไพร กุ่ยเม่ยที่เห็นทุกอย่างในสายตาโน้มน้าวอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องให้กระหม่อมดูแลท่านดีๆ”
“เจ้ายังเด็กอยู่นะ”
“กระหม่อมก็ยังอายุมากกว่าท่านสองปี” กุ่ยเม่ยตอบตามจิตใต้สำนึก
กู้อ้าวเวยกลอกตามองบน ครั้นพิจารณากุ่ยเม่ยอย่างละเอียด จึงยักคิ้วใส่ “ เมื่อคืนเจ้ายังเอาผลไม้แช่อิ่มข้าไปกินอยู่เลย”
กุ่ยเม่ยมองไปที่เพดานอย่างเฉไฉโดยไม่พูดอะไรสักคำ
กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันกับกุ่ยเม่ยยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้ว่านิสัยของคนผู้นี้กลับคล้ายเด็กน้อยยิ่งนัก แต่ปกติจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาและเอาแต่นึ่งขรึมไม่พูดไม่จา ล้วนเป็นการวางท่าทั้งนั้น แต่ก่อนยังแสร้งทำได้แต่ตอนนี้เมื่อได้อยู่ห่างจากซ่านจินจื๋อ นิสัยเด็กน้อยก็เริ่มเผยออกมาให้เห็น
“ท่านอ๋องออกว่าไม่ไว้วางใจท่าน วันพรุ่งก็จะมา” กุ่ยเม่ยพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจข้าหรอก เขาไม่ได้กลับเทียนเหยียนแต่แรกอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยสนแต่จะปิดผนึกเหล้าให้ดี ขณะเดียวกันก็ถือถ้วยยาของตนหันมองออกไปยังนอกหน้าต่าง เม็ดฝนได้สาดลงบนโต๊ะไม่น้อย และนางเองก็ไม่ยอมปิดหน้าต่าง
สี่ฤดูกาลของแคว้นชางหลานในความทรงจำของนางนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชางหลานส่วนใหญ่เป็นฤดูใบไม้ผลิร้อน ฝนชุกจึงไม่เคยมีภัยแล้ง มีแต่น้ำเอ่อล้นจนเป็นอุทกภัย หากเป็นช่วงแล้งก็แล้งตามวิสัยธรรมชาติ นอกจากนี้ช่วงเวลาสงบสุขรุ่งเรืองยังเกิดคนดีมีศีลธรรมมากมาย และคนต่างถิ่นเห็นความมั่งคั่งของที่แห่งนี้ต่างก็จ้องตาเป็นมัน
น้ำมีมากผืนดินอุดมสมบูรณ์ ภาพลวงของความสงบสุขอันรุ่งโรจน์ไม่อาจรักษาได้นาน กลียุคใกล้มาเยือน
“กุ่ยเม่ย เจ้าว่าถ้าหากมีสงครามชายแดนท่านอ๋องจะไปสนามรบไหม?”
“ย่อมไปแน่นอนพะย่ะค่ะ” กุ่ยเม่ยพยักหน้า สักครู่จึงได้พูดต่อ “แต่ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่นี้ว่าท่านอ๋องยังไม่กลับเทียนเหยียนหมายความยังไงหรือ?”
“เจ้านี่สมองทึบเกินไปแล้ว แค่ห้าวันจากที่นี่ไปกลับเทียนเหยียนต่อให้โบยแส้เร่งม้าอย่างน้อยก็ต้องสิบวัน เกรงว่าแค่ไปไล่ตามโหวเซ่อเพื่อเสาะหายาถอนพิษของซูพ่านเอ๋อ แล้วค่อยส่งคนไปเทียนเหยียนเท่านั้นล่ะ คงเรียกได้ว่ารักผูกพันมั่นคง”
บนใบหน้ากู้อ้าวเวยไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป นางลูบวนปลายนิ้วขณะใช้ความคิด
นางคิดว่าถ้าหากไม่ยืมอำนาจของซ่านจินจื๋อมาตั้งหลักที่แคว้นชางหลาน ไม่ว่าจะเป็นราชสำนัก วังหลังหรือประชาชนแนวหน้า นางจำเป็นจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่อาจจะต้องสิ้นเปลืองเวลานับหลายปีแต่นางกลับไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย
สักวันเมื่อตั้งหลักได้ โลกนี้ก็จะเป็นสนามเด็กเล่นของนาง ลงทุนลงแรงเพื่อผู้คนและในอนาคตผู้คนก็จะปูทางแห่งอิสรภาพเพื่อนาง
“ท่านไม่ริษยาแม่นางซูบ้างหรือ?”
“ริษยาแล้วอย่างไร ไม่สมกับเป็นข้าหรอก อะไรที่เป็นของเราไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับมา อย่าสิ้นเปลืองแรงกับอะไรที่ไม่ใช่ของตัวเรา