บทที่ 199 คืนเดียวก็พอ
ยามนี้ยังอยากจะนั่งร่วมสังสรรค์กับคนตระกูลฉีผู้มั่งคั่ง เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว”
เซียวไห่ยกจอกสุราในมือขึ้น ส่งเสียงหัวเราะเยาะมองไปทางซ่านจินจื๋อ ทุ้งโจว ขมวดคิ้วเล็กน้อยๆคล้ายว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพียงชิงจอกสุราที่อยู่ในมือของเซียวไห่มา “หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต สู้ไม่แลกดีกว่า”
ดวงตาเซียวไห่เบิ่งกว้างเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ชิงจอกสุรากลับมาจากมือของทุ้งโจว
มีเพียงซ่านจินจื๋อที่อยู่บนตำแหน่งผู้นำ ยกสุราดื่มลงไปจอกแล้วจอกเล่าขณะที่มองเซียวไห่และทุ้งโจว
กลับไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเขาจะได้มาหารือกับบรรดาพี่น้องเพราะเรื่องความสัมพันธ์
สนทนากันอยู่นานแต่ไม่มีผลสรุป กลับกลายเป็นว่าเขาดื่มจนเกือบเมาจึงบอกลากับเซียวไห่และเดินเข้าไปในวิหารเฟิ่งหมิง เขาเคยชินกับคืนวันที่ได้ร่วมเตียงเคียงหมอนกับกู้อ้าวเวยเสียแล้ว
เมื่อเอนเกยลงบนฟูกนอน เงาร่างคนตรงหน้าค่อนข้างคลุมเครือ กระทั่งเขาลืมไปเลยว่าคนยังอุ้มท้องอยู่
จำได้แค่ว่ากู้อ้าวเวยในค่ำคืนนี้เร่าร้อนอย่างหาได้ยาก
ตะวันสาดส่องแสงขอบฟ้ายามรุ่งอรุณ
เสียงนกร้องที่ดังแว่วมาจากนอกหน้าต่าง ซ่านจินจื๋อลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพของห้องที่เห็นตรงหน้าคือวิหารเฟิ่งหมิง เขาวิงเวียนศีรษะจนอดไม่ได้ที่จะสะบัดหัว ได้แต่โทษสุราที่ทุ้งโจวนำมานั้นแรงเกินไป บนเอวกลับมีแขนเรียวบางพาดอยู่
“ตื่นแล้วหรือ?” ซ่านจินจื๋อเอ่ยเสียงค่อย
ยามที่ร่วมนอนหลับกับกู้อ้าวเวยนางมักจะตื่นแต่เช้าตรู่อยู่เสมอ อีกทั้งยังหลับตื้นมาก ทุกครั้งที่ซ่านจินจื๋อขยับตัวกู้อ้าวเวยก็จะตื่นอยู่ตลอด วันนี้กลับน่าประหลาดใจ
นางง่วงจนเบลอหรือถึงได้เร่าร้อนเช่นนี้?
แต่เมื่อเขาจับข้อมือของนางกลับผุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างดุร้าย จับคนที่เพิ่งร่วมเคียงหมอนกับเขากดลงกับเตียง
“ท่านอ๋อง!” กู้จี้เหยาส่งเสียงด้วยความหวาดผวา รู้สึกได้ว่ามือของตนใกล้จะถูกหักเต็มที
คำว่า นางสนม กลับทำให้ซ่านจินจื๋อครองสติไว้ได้
เมื่อเห็นชัดๆว่าภายใต้สถานการณ์ที่คนนั้นสวมเพียงชุดชั้นใน ซ่านจินจื๋อจึงคลายมือออกแล้วคลานลงจากเตียง เพียงแค่รู้สึกว่ารอยเลือดเป็นดวงบนที่นอนนั้นช่างเสียดตานัก
เฉิงซานที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างภายในห้องพลันเบิกตากว้าง เหลือบมองแผ่นป้ายเหนือประตูที่นอกจวกอย่างอดไม่ได้ จึงรีบคุกเข่าทันที “ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูรองถึงมาอยู่ที่นี่ได้!”
ซ่านจินจื๋อนวดหว่างคิ้ว “ไปรับโทษโบยสามสิบไม้! ให้กุ่ยเม่ยมาดูติดตามประกบพระชายาตลอดเวลา หากเกิดเรื่องเช่นนี้ให้เห็นอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่!”
“ท่านอ๋อง…..” กู้จี้เหยาดึงผ้านวมพลางส่งเสียงเรียกเบาๆ ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา “เมื่อวานหม่อมฉันเพียงเห็นว่าวิหารเฟิ่งหมิงวังเวง อีกทั้งพี่สาวยังตั้งครรภ์จึงได้เปลี่ยนกับพี่สาว”
หญิงสาวอธิบายเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อไม่ได้ตำหนินางแม้แต่นิดกลับกลายเป็นว่าสีหน้าหม่นหมอง “พระชายาอยู่ที่ใด?”
“น่าจะอยู่ที่วิหารชิงเฟิงของสนมเพคะ” หยดน้ำตาของกู้จี้เหยาไหลออกมาในที่สุด
ซ่านจินจื๋อไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาอะไรแบบนั้น เมื่อเห็นท่าทางที่กู้จี้เหยากระทำ สีหน้าเย็นชาเหวี่ยงคนลงจากเตียงในทันที หลานเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างตกใจรีบเข้ามากอดปกป้องกู้จี้เหยาโดยไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว
“ร้องไห้อะไรนักหนา วันหน้าหากเจ้ายังวางแผนตุกติกอีกละก็ อย่าได้โทษที่ข้าไม่เกรงใจ!” ซ่านจินจื๋อเพียงรับเสื้อนอกจากมือของเฉิงซานสวมใส่ลวกๆแล้วเดินออกไป
กู้จี้เหยาถูกทำให้หวาดกลัวไม่น้อย บริเวณที่ถูกซ่านจินจื๋อฉุดเมื่อสักครู่นี้เจ็บปวดราวกับร่างจะฉีกขาด น้ำตาไหลพรากล้มพับไปกับพื้น
หลานเอ๋อร์เพียงจับมือของนางไว้แน่น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่าจา ““คุณหนูอย่าตื่นตกใจไปเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่เฉิงซานเพิ่งจะจงใจกล่าวให้ท่านเป็นฮูหยินรอง ตราบใดที่ทุกอย่างทำได้ด้วยดีจะต้องไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“หากท่านอ๋องรู้เรื่องรอยเลือดบนฟูกนอนนั่น….” เมื่อนึกถึงตรงนี้กู้จี้เหยาพลันอดไม่ได้ที่จะเสียงสั่นเครือ เมื่อพลิกปลายนิ้วของตนที่ตรงนั้นยังมีครอบเลือดเล็กๆติดอยู่
หลานเอ๋อร์รีบป้องปาก “เรื่องเมื่อคืน คุณหนูจะพูดกับคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”
“หลานเอ๋อร์ เจ้าให้ข้าทำอะไรลงไป?” กู้จี้เหยาเม้มปากอย่างไม่ยินยอม สองมือเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหมดเมื่อคืน ก็หวาดกลัวจนเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกซ่านจินจื๋อโยนลงจากเตียง
เมื่อคืนไม่ง่ายเลยที่นางได้นอนหลับข้างกายซ่านจินจื๋ออย่างสบายๆโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
“กู้ฮูหยินเคยกล่าวไว้ว่า ท่านไม่ใช่สนมเอก หากต้องการอยู่อย่างมั่นคงในจวนอ๋องจิ้งก็ต้องพร้อมที่จะเสี่ยง” หลานเอ๋อร์เพียงกุมมือของนางไว้ มุมปากเจือด้วยรอยยิ้ม “เรื่องในวันนี้แค่คืนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
……
ณ วิหารชิงเฟิงในเวลานี้
ในอ้อมแขนของกู้อ้าวเวยกำลังประคองถ้วยบะหมี่น้ำร้อนๆเอาไว้ กำลังเป็นทุกข์ที่สาวใช้ภายในจวนไม่ส่งตะเกียบให้ ตนเองก็มองไม่ค่อยจะเห็น ดันยังเผลอให้ชิงต้ายไปจี้ซื่อถางอีก ยามนี้ต้องเผชิญกับบะหมี่น้ำร้อนๆ นอกจากจะทานน้ำแกงไปได้ไม่กี่อึก ซึ่งคล้ายกับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ขณะครุ่นคิดด้วยความจนปัญญา แสงสว่างตรงหน้ากลับถูกบดบังอย่างกระทันหัน
“นำตะเกียบมาให้แล้วหรือ?” กู้อ้าวเวยแหงนหน้าด้วยความเหม่อลอยยามที่จำใบหน้าคนตรงหน้าได้พลันตื่นตะลึงเล็กน้อย “ซ่านจินจื๋อ?”
“เจ้ากลับจำข้าได้!” ซ่านจินจื๋อมองดูนางที่กำลังนั่งอยู่บนม้าหินประคองถ้วยบะหมี่น้ำ จึงรั้งโทสะไว้ไม่กล้าลงมือ เฉิงซานที่ชำเลืองมองจากด้านข้างลอบสั่งให้คนไปนำช้อนกับตะเกียบมา
ซ่านจินจื๋อนั่งลงทันที นำถ้วยบะหมี่น้ำร้อนตรงหน้านางวางไว้บนโต๊ะ “เมื่อคืน….”
“อย่างไรหม่อมฉันก็ปรนนิบัติท่านไม่ได้ อีกอย่างท่านก็ให้จี้เหยาเข้ามาในจวนแล้ว หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่สมควร”
“ที่แท้เจ้าสามารถยกข้าให้กับผู้หญิงคนอื่นง่ายดายเยี่ยงนี้!”
ซ่านจินจื๋อตบโต๊ะอย่างดุร้าย ทุกคนในวิหารชิงเฟิงต่างทยอยคุกเข่ากันเซ็งแซ่ กู้อ้าวเวยก็ตกใจผงะ
ความหมายของปฏิกิริยาตอบกลับนี้ กู้อ้าวเวยกลับทำได้แค่เพียงอ้าปากเหวอ พูดไม่ออกสักนิด
ความหมายของซ่านจินจื๋อเหมือนกับว่า…..
“ข้าดันลืมเสียได้ว่าเจ้าเป็นหญิงใจไม้ไส้ระกำ” ซ่านจินจื๋อกลับเปลี่ยนเรื่องทันที ในน้ำเสียงยังเจือไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
บะหมี่น้ำร้อนๆบนโต๊ะเทสาดลงพื้น ถ้วยกระเบื้องแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆกองอยู่ข้างเท้ากู้อ้าวเวย
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยที่กุมบะหมี่น้ำร้อนๆเมื่อสักครู่เย็นเยียบในฉับพลัน นางกำชายเสื้อแน่นแล่วแน่นอีก จนกระทั่งย่างก้าวของซ่านจินจื๋อถึงบริเวณปากประตูจวน นางจึงได้คลายมือออก พลันเอ่ยเสียงค่อย “ท่านอ๋องก็เห็นชัดแล้ว เวยเอ๋อร์ก้เป็นแค่ผู้หญิงใจไม้ไส้ระกำคนหนึ่งเท่านั้น”
ซ่านจินจื๋อหยุดที่หน้าประตูจวน นิ่งเงียบอยู่นาน
“สิ่งที่ข้ารังเกียจที่สุด ก็คือผู้หญิงใจร้ายเช่นเจ้า”
เมื่อสิ้นเสียง ลมฤดูใบไม้ผลิโชยเอื่อย เหลือเพียงเสียงแตกสลายที่ดังก้องอยู่ในหู
กู้อ้าวเวยหยอกเย้าผมข้างหู ปลายนิ้วขาวซีดกำเสื้อบริเวณหน้าอก ปลายจมูกเปียกรื้นเอ่ยเสียงค่อย “เช่นนั้นเหตุใดท่านต้องมาทิ่มแทงหัวใจข้าด้วย”