บทที่ 193 เรือนนอกเทียนเหยียน
“เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าในจวนอ๋องจิ้งมีคนผู้นี้อยู่”
ซ่านเชียนหยวนสีหน้ามืดครึ้ม เพียงแค่เลิกผ้าม่านรถแล้วสอบถามพลขับเบื้องหน้า
“องค์ชาย นี่คือหมอเทวดาที่ก่อนหน้านี้อ๋องจิ้งทุ่มเงินเชิญกลับมา แต่ระยะนี้กลับก่อความวุ่นวายในเมืองเทียนเหยียนไม่เบา แทะโลมลูกสาวตระกูลผู้ดีไปไม่น้อย แต่ดันเป็นที่ชื่นชอบของอ๋องจิ้ง จึงทำเป็นหลับตาลงข้าง รู้เห็นเป็นใจไม่เอาความพ่ะย่ะค่ะ” พลขับในจวนกลับรอบรู้ทันเหตุการณ์ในเทียนเหยียนเสียด้วย
คนที่ชมดูอยู่รอบๆค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่เมื่อได้ยินเชื่อเสียงเรียงนามของจวนอ๋องจิ้ง ก็กลัวตัวสั่นงกๆกันทุกราย เกิดความกลัว เกรงว่าแม่ลูกที่น่าสงสารคู่นี้ที่โพล่งออกมาจะโดนจวนอ๋องจิ้งเห็นเป็นหนามทิ่มตา จึงได้แต่มองด้วยความไม่โมโห
หมอเทวดา?
แทบไม่ต้องคิดเลยว่าเพราะซูพ่านเอ๋อแน่ๆ
“ให้คนไปนำตัวคนที่เรียกว่าหมอเทวดามา แล้วให้เงินแม่ลูกนั่นสักจำนวนหนึ่ง ลูกสาวลาโลกไปแล้วยามนี้ยังวางไว้บนถนนดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก” ซ่านเชียนหยวนปิดม่านลงขณะที่รอคนสนิทไปจัดการธุระ
สีหน้าพลันมืดครึ้ม เสด็จอา..กระทั่งชื่อเสียงของจวนอ๋องจิ้งก็ไม่สนใจใยดี ยอมให้หมอเทวดาที่รักษาซูพ่านเอ๋อมาสร้างหายนะเช่นนี้ได้
เมื่อองค์ชายสี่ออกหน้า เรื่องนี้ย่อมจัดการได้ด้วยดี
หมอยาหลางจงพเนจรถูกโยนขึ้นรถม้า ซ่านเชียนหยวนให้คนขับรถม้ารีบไปโรงยาโดยไม่หยุดล้อ
“เจ้าน่าจะรู้ว่ายามนี้พระชายาจิ้งอยู่ที่ไหน?” คมมีดในมือของซ่านเชียนหยวนแตะลงบนหน้าอกของคนผู้นั้นเบาๆ เพียงแค่สัมผัสเบาๆก็ทำให้หลางจงผู้นั้นพรั่นพรึงจนถึงกับสูดลมหายใจละล่ำละลักตอบ “องค์ชายเรื่องนี้พูดไม่ได้ หากพูดออกไปอ๋องจิ้งไม่เพียงให้กระหม่อมชดใช้ตัวคนเดียวแน่”
“ความหมายของเจ้าคือ หากเจ้าตายเสีย เสด็จอาก็ตำหนิข้าไม่ได้!” คมมีดของซ่านเชียนหยวนเคลื่อนตัวจากหน้าอกขึ้นไปหยุดบนลำคอของเขาขาด้วยท่าทีดุดัน
สองขาของหลางจงผู้นั้นอ่อนยวบ ไหล่สั่นสะท้าน “องค์ชาย….ข้าน้อยมิได้เป็นภัยสำหรับท่าน เพียงแต่แม่นางซูเป็นบุคคลที่อ๋องจิ้งวางไว้ตำแหน่งสูงสุดในพระทัย และยามนี้กระหม่อมกำลังรอตัวนำยา….”
“ตัวนำยาอะไร?” ซ่านเชียนหยวนดันคมมีดเข้าไปอีกหลายส่วน
ครั้งนี้ หมอยาหลางจงพเนจรกลับไม่เอ่ยวาจา ทว่าซ่านเชียนหยวนเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วน
กู้อ้าวเวยออกนอกเมืองไปพักฟื้นร่างกาย แต่หลางจงผู้นี้บอกว่าต้องรอตัวนำยา เพียงแต่เมื่อนึกถึงซูพ่านเอ๋อที่เคยต้องการเลือดหัวใจของนาง จึงคิดตกได้ไม่น้อย
กลัวว่าหมอยาหลางจงพเนจรผู้นี้ก็เป็นซูพ่านเอ๋อที่เชิญมา
“โย่วหลี ส่งคนไปสืบ” ซ่านเชียนหยวนกระซิบบอกเบาๆ พลขับที่อยู่นอกรถม้าพยักหน้ารับทันที และนำคำสั่งนี้ไปมอบหมายให้โย่วหลี
นำหมอยาหลางจงผู้นี้ไปโยนไว้ที่หน้าประตูจวนอ๋องจิ้งให้ข้าที แล้วช่วยนำคำข้าไปบอกทีว่าหลางจงผู้นี้เป็นแค่คนประหลาดเชื่อในไสยศาสตร์์์ที่ซูพ่านเอ๋อเชิญมา อีกทั้งสร้างหายนะภายในเมืองเทียนเหยียน สมควรถูกส่งเข้าคุก”
ซ่านเชียนหยวนโบกมือไล่ด้วยสายตาเยือกเย็น คนข้างรถม้าไม่สนใจการดิ้นรนของหลางจงผู้นี้แล้วนำตัวคนออกไปทันทีด้วยกิริยาหยาบกร้านไม่เบา
ตลอดทางที่มาโรงยา ซ่านเชียนหยวนได้สั่งให้คนสนิทที่ไว้ใจได้อย่างโย่วหลีไปสอบถามเรื่องที่ค้างคาต่อไป
แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงยากลับรกร้างวังเวงอย่างมาก ยามนี้ยังมีรถม้าอีกคันจอดอยู่ที่ด้านหน้าประตู ทันทีที่ชำเลืองมองบนป้ายนั้นเขียนไว้ด้วยตัวอักษรสีแดงสองคำว่า เหยียนหยู่
เมื่อลงจากรถม้า ก็พบฉีหรัวกับฉีหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอยู่ก่อนแล้วดังคาด ส่วนหยินเชี่ยวและชิงต้ายกลับไม่เห็นแม้แต่เงา เมื่อเห็นว่าซ่านเชียนหยวนเดินเข้ามา ฉีหลินก็ประสานด้วยสายตาที่เย็นชา “ช่างให้ความสำคัญกับคนรักมากกว่าสหายเสียจริง ไม่อยากนึกเลยว่าปกติแล้วพระชายาปฏิบัติต่อท่านอย่างไร”
“เสี่ยวหลิน” ฉีหรัวดุเสียงเบา เพียงแต่บ่ายหน้าหันไปมองซ่านเชียนหยวน “องค์ชายสี่ เสี่ยวหลินก็แค่พูดไม่คิดไปบ้าง ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ท่านไม่สะดวกที่จะสอดมือ”
“เป็นลี่วานที่ปิดกั้นข่าวไว้” ซ่านเชียนหยวนสีหน้าไม่สบอารมณ์
สองพี่น้องตระกูลฉีตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ ฉีหรัวแค่ส่งเสียงหัวเราะเยาะ “โชคดีที่ข้าไม่ได้ถูกจับโยนให้มาเกิดในราชนิกุล การแต่งงานเช่นนี้เกรงว่าจะไม่สามารถถอนตัวไปได้”
ซ่านเชียนหยวนเพียงรีบนั่งลง โรงยาที่ไม่มีกู้อ้าวเวยยังคงจัดการได้เป็นระเบียบเรียบร้อย
โย่วหลีก้มตัวลงที่ด้านข้างซ่านเชียนหยวน กระซิบเบาๆ “ระยะนี้อ๋องจิ้งมักจะไปพักเรือนนอกเมืองเทียนเหยียน ยามนี้ซูพ่านเอ๋อถูกวางยาพิษยังไม่ได้ทำการถอน แต่เมื่อสองวันก่อน เป็นจริงที่ว่าอ๋องจิ้งได้กราบทูลต่อฝ่าบาทให้ท่านไปที่บ้านริมน้ำโล่เสีย เมื่อวานอ๋องจิ้งทรงกลับจวนมาแล้วจนบัดนี้ยังไม่ได้จากไปไหนพ่ะย่ะค่ะ””
“เรือนนอกนั่นอยู่ไหน?”
“ออกจากเมืองเทียนเหยียนไปทางทิศเหนือประมาณเจ็ดลี้ ทางตะวันออกประมาณเก้าลี้ องค์รักษ์เกราะเงินนับร้อยคุ้มครองอย่างลับๆ คนรับใช้อีกสิบกว่าคน ขอองค์ชายโปรดไตร่ตรองพ่ะย่ะค่ะ” โย่วหลีรีบคุกเข่าลงโดยมีความกังวลปรากฏอยู่ในสายตา
“คุ้มครองลับๆ? ข้าว่าก็แค่ป้องกันนางหลบหนีเสียมากกว่า” ฉีหลินแค่นเสียงเย็น ลุกขึ้นจะเดินออกไป กู้อ้าวเวยสำหรับเขาและพี่สาวมีบุญคุณต่อกัน ยามที่นางแบกรับเพื่อเขาก็คือบุญคุณ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงที่ดูแลพวกเขามามากมาย เขาไม่อาจยอมเป็นคนไร้น้ำใจได้อย่างแน่นอน
ฉีหรัวปราดเข้าไปขวางน้องชาย “หากสอดมือแทรกแซงเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ต้องใช้ชีวิตของเจ้า ชีวิตของพวกเราตระกูลฉีสำหรับอ๋องจิ้งแล้ว ยังเทียบกับซูพ่านเอ๋อแค่คนเดียวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ฉีหลินกำหมัดแน่น “อ๋องจิ้งเหลวไหลเช่นนี้….”
“ทุกอย่างเป็นเพราะซูพ่านเอ๋อ เมื่อถึงเวลาข้าจะไปเรือนนอกดูสักครั้งพวกเจ้ารอข่าวจากข้าก็แล้วกัน จงจำไว้อย่าได้กระทำการบุ่มบ่าม” จู่ๆซ่านเชียนหยวนปวดกลางหว่างคิ้วขึ้นมา
ยิ่งมายิ่งเหลวไหลจริงๆ!
ทำไมเสด็จอาทำเรื่องเหลวไหลเหล่านี้เพื่อซูพ่านเอ๋อ เขาสมควรจะรู้ว่าการรวบรวมองครักษ์เกราะเงินนับร้อยที่นอกเมืองเทียนเหยียนมันคือข้อหาใด! สมควรจะรู้ว่าการที่เป็นภัยต่อพสกนิกรคือข้อหาใด! ลงมือกับชายาที่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เป็นอาชญากรรมข้อใด!
ยิ่งไปกว่านั้นกู้อ้าวเวยยังเป็นบุตรสาวเสนาบดีและทายาทตระกูลหยุน
ถ้าหากเสด็จพ่อทราบเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาจะโปรดเสด็จอามากแค่ไหนก็ต้องลงโทษแน่นอน
เขาเพียงแต่รีบไปที่จวนอ๋องจิ้ง ส่วนหลางจงพเนจรที่ถูกโยนไปหน้าประตูไม่มีใครถามถึง เขาไม่สนใจพ่อบ้านหน้าประตู ผลุนผลันเดินเข้าไปในเรือนหลัก ซ่านจินจื๋อที่ออกมาจากในห้องซูพ่านเอ๋อเห็นเขาก็เอ่ยด้วยถ้อยคำน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้ามาเพราะกู้อ้าวเวยสินะ”
“เสด็จอา ไม่ใช่แค่เพื่อนางแต่เพื่อท่านด้วย ถึงแม้ปกติท่านจะหยิ่งผยอง ในค่ายทหารก็กระทำการเด็ดขาด แต่พึงระลึกไว้ว่าท่านคืออ่องจิ้ง เพื่อซูพ่านเอ๋อแล้วมองดูสิว่าท่านทำอะไรลงไปบ้าง!” ซ่านเชียนหยวนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเคยช่วยชีวิตคนในชางหลานมาตั้งเท่าไร ยามนี้กลับไม่ยอมให้ข้าช่วยซูพ่านเอ๋อทั้งคนงั้นหรือ?” กล่าวเลื่อนลอยเหมือนเมฆปลิวตามลม ซ่านจินจื๋อเดินออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าพระชายาอยู่ที่ใด” ซ่านเชียนหยวนหันไปมองค้อนด้วยความโกรธขึ้ง
เขาชี้หน้าเสด็จอาอย่างเหลืออด อย่างไรเขาก็ทุ่มเทมากเกินไปจริงๆ
“ในเมื่อเจ้าส่งคนไปตามแล้ว ก็ไปดูสิ” ซ่านจินจื๋อแววตามืดครึ้ม เข้าไปในห้องหนังสือเพียงลำพัง เฉิงซานนำเรื่องราววันนี้ทั้งหมดของกู้อ้าวเวยเรียบเรียงใส่บนกระดาษ
บัดนี้ สิ้นสุดฤดูกาลใบไม้ร่วงแล้วว
“นำเครื่องจองจำไปสวมซะ แล้วอย่าประมาทเลินเล่อกับนางเด็ดขาด” หลังจากที่ซ่านจินจื๋อเอ่ยจบ ความทรงจำในอดีตที่ร่วมขึ้นเขากับนางก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง หนักอึ้งราวกับหินพันชั่งที่กดทับเขาไว้จนแทบหายใจไม่ออก
กู้อ้าวเวย เจ้าเข้ามาในหัวใจข้าแล้ว ยังจะออกไปได้หรือ!