บทที่ 203 เด็กในสลัม
ฤดูใบไม้ร่วงผันผ่าน คิมหันตฤดูกำลังจะมาเยือน
กู้อ้าวเวยกล่าวอำลาเห้อจิ้นหล่างที่ทิงเฟิงโหลแห่งนั้น เห็นว่าเขานำขอทานตัวเล็กสองคนขึ้นไปบนรถม้าเท่านั้น บนรถม้าคันนั้นมีกระดิ่งเชือกที่นางพันรอบให้เองกับมือ มันเคลื่อนไหวแต่ไร้เสียง ทว่าสามารถอาศัยสิ่งของดังกล่าวเข้าไปในตระกูลหยุนได้
เพียงแต่เห็นว่าดวงตาของนางดีขึ้นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พอจะเห็นได้ว่ามีความพร่ามัวคร่าวๆ อยู่ มันสุดขีดจำกัดแล้ว
หลิ่วเอ๋อที่อยู่ข้างกายยกซุปไก่ดำร้อนๆ มาให้นาง ก่อนวางไว้ข้างลำตัวของนาง “พระชายา ซุปมาแล้วเจ้าค่ะ”
กลัวเหลือเกินว่ากู้อ้าวเวยดื่มซุปเองแล้วมันจะลวกมือ หลิ่วเอ๋อลุกขึ้นมาปรนนิบัติโดยไม่ถามเลยสักคำ กู้อ้าวเวยก็ปล่อยเลยตามเลย กู้จี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนางซูบผอมลงไปมาก ครั้งแรกที่มาถึงทิงเฟิงโหลแห่งนี้ ก็ทำหน้าบูดบึ้ง “ท่านปล่อยเขาไปแบบนี้เลยหรือ ไม่รั้งเขาไว้เลยหรืออย่างไรกัน”
“เขาเป็นผู้อาวุโสของข้า จะบอกให้เขาอยู่เขาจะฟังคำได้อย่างไรกัน” เวลาเกือบครึ่งค่อนเดือนกู้อ้าวเวยอยู่ร่วมกับกู้จี้เหยา อยู่จวนอ๋องแล้วว่างงานทั้งยังหดหู่ ทำให้กู้จี้เหยาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ จากทางด้านกู้เฉิงโดยอภิปรายถึงเรื่องการออกไปถือศีลกินเจที่อาราม ซ่านจินจื๋อถึงได้อนุญาตให้นางออกไป
ว่ากันตามจริงแล้วมันก็ค่อนข้างพิสดารอยู่ พักหลังๆ ซ่านจินจื๋อผู้นี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เปลี่ยนอุปนิสัย และตามนางไปทั่วหนทุกแห่ง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่กลัวซูพ่านเอ๋อนั่นทำร้ายเจ้าอีกรึ” มองไปทางหน้าท้องของกู้อ้าวเวยมันเริ่มจะมีส่วนโค้งมนบ้างแล้ว กู้จี้เหยาก็มองที่หน้าท้องของตนเองอย่างเป็นกังวล
ก็ไม่รู้ว่าจะติดหรือเปล่าสินะ
“ออกมาแล้วก็ไม่กลัวแล้วล่ะ แต่ว่าเมื่อไหร่กว่าที่ท่านพ่อจะมา ได้ยินว่าอารามพุทธแห่งนั้นห่างจากเทียนเหยียนร้อยกว่าลี้เชียว กลัวว่าตลอดเส้นทางคงต้องใช้เวลาหลายวันอยู่” กู้อ้าวเวยเอนพิงกำแพงด้านข้างอย่างเกียจคร้าน หลิ่วเอ๋อสั่งคนไปหยิบหมอนรองมาให้นางพิง และพูดว่า “เมื่อครู่จวนเฉิงเสี้ยงเพิ่งจะส่งคำมาบอก แจ้งว่านายน้อยท่านนั้นยังไม่ทันถึง ต้องรออีกประเดี๋ยว”
คราวนี้กู้จี้เหยาจึงนึกได้ว่ากู้เหยียนจือจะมา
กู้อ้าวเวยที่ลอบมองอยู่ข้างๆ นางกลับติดตามกู้เหยียนจือตลอดเวลา ในยามปกติซ่านเชียนหยวนหรือไม่ก็ซ่านจินจื๋อเองก็บอกข่าวคราวบางอย่างให้นางทราบอยู่บ้าง
ตอนนี้กู้เหยียนจือเร่งรัดทั่วสารทิศเพื่อองค์ชายสี่ ออกกำลังแรงกายไม่น้อยเลย แต่ว่า เขามีไหวพริบกว่าแต่ก่อนไม่น้อย พูดน้อยกว่าเมื่อก่อน คิดว่าพอมาถึงเทียนเหยียนแล้วก็จะรีบไปรายงานต่อบิดาที่จวนเฉิงเสี้ยงอย่างแน่นอน
และทำได้เพียงรอคอยอย่างสงบ ผ่านไปสักพัก ก็เอนตัวหลับบนหมองรองใบนุ่มนั้นไปเสียแล้ว
เมื่อตื่นขึ้นมา กู้อ้าวเวยจึงค้นพบว่าตนได้มานอนบนแท่นนอนด้านหลังทิงเฟิงโหลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นนางตื่นขึ้นมา ชิงต้ายที่อยู่ข้างเตียงก็กล่าวอย่างจนปัญญา “เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วเจ้าค่ะ รถม้าของจวนเฉิงเสี้ยงเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ
“ทำไมถึงไม่เรียกข้า” กู้อ้าวเวยตะกายขึ้นมาครึ่งตัว ตอนนี้แสงสว่างยังคงอยู่ คิดดูแล้วก็หลับไปไม่กี่ชั่วยามเอง
“ท่านตั้งครรภ์อยู่นั้นเป็นทายาทของอ๋องจิ้ง ไหนเลยจะมีคนกล้ามารบกวนการนอนของท่านได้” ในถ้อยวาจาของชิงต้ายประโยคนี้เคลือบแฝงแววเสียดสีอยู่บ้าง คิดๆ ดูแล้ว เฉิงเสี้ยงคงจะพูดอะไรสักอย่างเป็นแน่
ออกจากทิงเฟิงโหลแห่งนี้ กู้เฉิงและกู้ฮูหยินรออยู่ด้านนอกแล้ว กู้จี้เหยาขึ้นรถม้าไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
รถม้าเบื้องหน้าแต่ละคันโอ่อ่ากว่าใครทั้งนั้น คันที่สบายที่สุดย่อมต้องเป็นรถม้าของนางและกู้จี้เหยาเป็นธรรมดา
ขึ้นมาบนรถแล้ว หลานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายกู้จี้เหยาก็นำเค้กพุทราและผลไม้หวานมาให้ “นี่คือของที่นายท่านกำชับไว้เจ้าค่ะ”
“มีแก่ใจแล้ว” กู้อ้าวเวยรับเค้กพุทรามากินหลายคำก่อนจะวางลง
รถม้าค่อยๆ ควบปุเลงออกไปนอกเมืองอย่างแช่มช้า น่าเสียดายแต่เวลานี้นางเองยังมองไม่เห็นวิวทิวทัศน์สวยงามอะไรเลย ทำได้เพียงขอของเล่นเด็กเล็กจากชิงต้ายมาวางเล่นในมือไม่หยุดหย่อนเท่านั้น
หลังจากออกจากจวนอ๋องจิ้งแล้ว นางก็พอจะสงบใจลงมาหน่อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องคอยได้ยินข่าวคราวของซูพ่านเอ๋อที่เมี่ยวหารส่งเข้ามา มันทำร้ายนางให้คอยวิตกกังวลอย่างแปลกประหลาดได้พอตัว ส่วนข่าวสารที่ฝั่งตระกูลหยุนส่งเข้ามา ความว่าได้ส่งชิงจือให้ไปผู้ที่น่านับถือคอยดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ได้ว่าชิงจือคือคนของตระกูลหยุน
คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงวางใจได้โดยสมบูรณ์
ชิงจือ เป็นถึงสหายคนหนึ่งที่ท่านตาหลงเหลือไว้ให้นางเชียวนะ
การมุ่งหน้าไปวิหารในครั้งนี้ เหตุผลที่บิดาบอกก็หนีไม่พ้นไปทำธุระให้อ๋องจิ้ง คนที่เป็นพ่อแม่อย่างพวกเขาย่อมคาดหวังให้บุตรสาวและหลานชายในอนาคตปลอดภัย นับประสาอะไรพักนี้กู้เฉิงยังมาป่วยอีก สบโอกาสนี้มาขอพรที่วัดสักเที่ยวพอดีเลย
“คุณหนู เมื่อครู่แม่นางหลิ่วเอ๋อให้คนนำเอาขนมอบของทิงเฟิงโหลมาไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ” ชิงต้ายวางตะกร้าเล็กๆ อันหนึ่งไว้ข้างลำตัว
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทิงเฟิงโหลแห่งนี้ก็มีความลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ดูแลเรื่องรสนิยมการกินของตนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านพ่อเป็นโรคอะไรกันแน่” กู้อ้าวเวยเอ่ยถามขึ้นมาทันใด
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ได้ยินว่าพักนี้ท่านพ่อนอนไม่ค่อยจะหลับ คล้ายกับว่าหลังจากรัชทายาทถูกถอดแล้ว ตอนที่ไปขึ้นกิจเช้าท่านเป็นลมหมดสติไปในท้องพระโรง ทำเอาฮ่องเต้ทรงกริ้วยิ่งนัก” กู้จี้เหยาเอาม่านรถลงมา
นับตั้งแต่หลังจากถูกซูพ่านเอ๋อวางยาพิษ กู้จี้เหยาก็กลายเป็นคนว่าง่ายขึ้นมามาก ท่ามกลางจวนอ๋องกู้อ้าวเวยเป็นพวกไหลตามน้ำ แต่หลานเอ๋อร์คนนั้นกลับเป็นพวกที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ กระทำการส่วนตัวใดๆ ยังไม่เป็นที่รู้จักเลย
กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงแต่ว่ามันยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น บุตรสาวของกู้เฉิงผู้นี้แต่งเข้าจวนอ๋องจิ้งแล้ว เหตุใดจึงดูเหมือนจะยืนอยู่ทางด้านองค์รัชทายาท นี่มันหมายความอย่างไรกันแน่
เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยตกดิน รถม้าคันนี้ยังไม่ทันเคลื่อนไปไหนไกลเลย ทำเพียงเลือกสถานที่อ้างแรมแบบทุรกันดารแห่งหนึ่ง
ตลอดเส้นทางนี้พวกเขาแสร้งว่าเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย จึงจะไม่ดึงดูดสายตาให้คนสนใจอย่างง่ายนั่นเอง
หลังจากกินอาหารที่เรือนพักแห่งนี้ กู้อ้าวเวยก็ได้ยินโต๊ะข้างๆ กำลังอภิปรายกันสนุกปาก “เจ้าไม่รู้หรอกว่าการสอบจอหงวนช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้ามีเด็กในสลัมติดโผไปตั้งเท่าไหร่ นี่เพิ่งจะย่างสู่ฤดูหนาว พวกมีความสามารถเหล่านั้นก็ทยอยกันมุ่งหน้ามาเทียนเหยียนเสียแล้ว ก็เพื่อได้รับชื่อเสียงในการสอบจอหงวนกันทั้งนั้นแหละ”
“ทำไมต้องมาเร็วขนาดนี้ด้วย” คนที่อยู่ถัดจากชายตัวใหญ่เอาแก้วเหล้ากระแทกลงบนผิวโต๊ะ
“ไม่ใช่เพราะรัชทายาทถูกปลดรึไง เจ้าแค่ไม่รู้ว่าผู้สนับสนุนรัชทายาทในปัจจุบันนี้โอหังแค่ไหน เพียงเอาราชวงศ์เป็นหลัก ทั้งปฏิเสธพวกเด็กในสลัมเฉดออกนอกประตูวัง ตอนนี้ไม่มีรัชทายาทแล้ว พวกเด็กในสลัมเหล่านี้ไม่ใช่ว่าพอจะมีวันได้ลืมตาอ้าปากอยู่หรอกหรือ” ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างๆ พากันหัวเราะตามขึ้นมา
“ที่เจ้าว่ามาก็ไม่ผิด มันต้องรีบมาแต่เนิ่นๆ ถ้ารอจนถึงยามฤดูใบไม้ผลิ พ่อค้าต่างแดนมากันเต็มไปหมด พวกบัณฑิตคงแก่เหล่านั้นคงจะไม่มีสถานที่พักเป็นแน่”
คนโต๊ะข้างๆ ก็เริ่มอภิปรายเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน
กู้อ้าวเวยฟังอย่างตั้งใจ ก่อนถามกู้เฉิง “สถานภาพของเด็กในสลัมเมื่อก่อนทุกข์ยากมากเลยหรือ”
“เป็นสาวเป็นนาง จะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน” กู้เฉิงเอ่ยตำหนิเสียงเบา ไม่คาดหวังจะพูดอะไรที่นี่
กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้เอ่ยวาจา กินอาหารภายใต้การช่วยเหลือของชิงต้ายจากนั้นจึงกลับเข้าไปในห้อง
ชิงต้ายยกน้ำอุ่นสำหรับแช่เท้ามาหนึ่งกะละมัง ย้ายตั้งเตี้ยอันหนึ่งไปนั่งลงด้านข้าง “คุณหนูท่านคงไม่รู้หรอก รัชทายาทและพระชายารัชทายาทคนนี้เจ้ากี้เจ้าการเรื่อยมา ครอบครัวของพระชายารัชทายาทคือตระกูลจู นับดูแล้วตระกูลจูก็ถือว่าเป็นผู้หลอมรวมอาณาจักร ถึงได้ทำตัวกร่างไปหน่อยเจ้าค่ะ”
“แล้วเด็กในสลัมพวกนั้น…”
“นั่นเป็นความตั้งใจของตระกูลจู ปีนั้นตอนที่แต่งตั้งรัชทายาท ใต้เท้าตระกูลจูขอราชโองการกับฮ่องเต้ บอกว่าเด็กในสลัมไม่รู้หลักทางลัทธิเต๋ามาตั้งแต่เด็ก ต่อมาฮ่องเต้ทรงคัดค้าน แต่หลังจากทรงรอมชอม ก็ให้รัชทายาทไปเยี่ยมชมการสอบจอหงวน รัชทายาทจึงไม่รับเด็กในสลัมคนไหนอีกเลย” ชิงต้ายกล่าวเสียงแผ่ว