บทที่ 212 สูญเสียไป
ยามรุ่งสางเทียนเหยียนมีหิมะตกลงมา
หิมะขาวล่องลอยตามสายลมบนท้องฟ้า ลมหนาวพัดโหมกะทันหัน กระทั่งใบไม้ที่เกลื่อนกระจายบนต้นไม้ถูกพัดร่วงลงมาจำนวนมาก
กู้อ้าวเวยก็ไม่รู้ว่าตนออกมาจากเรือนหลักได้อย่างไร จำได้เพียงว่าหิมะตกลงบนปลายนิ้วและปลายจมูกของนาง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจตลอดทาง หนาวจนเริ่มมีความเจ็บปวด
ระยะนี้ซ่านจินจื๋อตามอกตามใจนางเยี่ยงนี้ แทบจะเชื่อฟังนางไปเสียทุกอย่าง
ที่แท้ สิ่งที่ต้องการก็ไม่พ้นเลือดเนื้อของนาง อีกทั้งเขายังยอมทนให้กู้จี้เหยาอุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอย่างง่ายดาย แต่กลับไม่ยินยอมให้อาการป่วยของซูพ่านเอ๋อรีรออีกสองสามวัน
เมี่ยวหารที่อยู่เบื้องหน้าประสานมือให้นาง เฉิงยีเฉิงเอ้อมาหยุดข้างกายนางโดยไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงเอ่ยขออภัยต่อนางเสียงแผ่วเท่านั้น
“เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง ซ่านจินจื๋อ ท่านเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมขนาดนั้นได้ลงคอเชียวหรือ”
กู้อ้าวเวยสลัดมือของเฉิงยีเฉิงเอ้อออก และผลักเมี่ยวหารที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะมาหยุดต่อหน้าซ่านจินจื๋อ ปลายนิ้วที่เย็นจนแข็งแดงคว้าเข้าที่แขนเสื้อของซ่านจินจื๋อโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาสองข้าแดงก่ำ “เพื่อชีวิตของซูพ่านเอ๋อ ท่านไม่ใยดีชีวิตลูกของท่านเลยเชียวหรือ นับประสาอะไรที่ซูพ่านเอ๋อแต่เดิมก็ไม่ได้…”
ในวินาทีต่อมา ซ่านจินจื๋อก็ยื่นมือมาอุดปากของนางเอาไว้ และโน้มตัวลงมาแตะหน้าผากกับนาง
“พวกเรามีลูกกันอีกได้”
หนึ่งประโยคเพียงพอที่จะทำลายความเพ้อฝันทั้งหมดของกู้อ้าวเวย
สารเลว!
กู้อ้าวเวยไร้หนทางสลัดให้หลุดพ้นได้เลย อ้อมแขนของซ่านจินจื๋อไม่เคยมีความรุนแรงเท่านี้มาก่อน
ขณะที่นางถูกกดทับอยู่บนเตียงนุ่มตลอดนั้น นางยังคงคว้าข้อมือของซ่านจินจื๋อเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำตาร่วงรินลงมาเป็นสาย “ท่านจะต้องตกนรก…ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ปล่อยซูพ่านเอ๋อไปอย่างแน่นอน”
ซ่านจินจื๋อกลับหันหน้าออกไป ไม่มองนางอีกแล้ว
“ลงมือเถิด” เมื่อคำพูดของซ่านจินจื๋อสิ้นสุดลง ปลายเล็บของกู้อ้าวเวยก็จิกลงไปที่ลำแขนของเขาจนเป็นแผล ริมฝีปากก็ถูกกัดจนมีเลือดไหลออกมา
ลมและหิมะด้านนอกหน้าต่างดูรีบร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดภายในห้องทำเอาศีรษะของกู้อ้าวเวยปวดตุบ
แต่กลับกลบฝังความเกลียดชังเอาไว้ไม่มิด นางกรีดร้องอย่างแหบพร่า ทำเอาเหล่าคนรับใช้ที่เดินผ่านละแวกนั้นพากันก้มหน้างุดด้วยความตกใจ ชิงต้ายที่ยังคงสวมชุดสีอ่อนถูกเฉิงยีเฉิงเอ้อกดให้คุกเข่าอยู่หน้าเรือน ร่ำร้องไห้เสียจนไม่มีเสียง
บนโต๊ะฝั่งหน้าต่าง ชื่อลูกที่กู้อ้าวเวยเขียนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านั้นถูกหิมะละลายใส่จนเปียกชุ่มไปหมด
ซ่านเชียนหยวนที่รีบมาเมื่อได้รับฟังข่าวคราวถูกกุ่ยเม่ยและเฉิงซานกดไว้กับที่ทั้งซ้ายขวา กำหมัดแน่นและดวงตาแดงก่ำ “ไสออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ไม้กลายเป็นเรือแล้วนะ องค์ชายสี่” เฉิงซานส่ายหน้าอย่างเห็นใจ
เสียงคำรามทุ้มต่ำน่ากลัวค่อยๆ ถูกเสียงหิมะดังกลบจนมิด ภายในเรือนหลักมีเสียงหัวเราะที่แทบไม่ค่อยได้ยินดังลอยมา
เบื้องหน้าที่แต่เดิมควรหายดีโดยสมบูรณ์แล้วยังคงพร่าเลือน หยาดเส้นผมสีดำและเนื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อเหนียวเหนอะหนะแนบเรือนกาย นางไม่ยอมเป็นลมหมดสติไป ทำเพียงจิกมือเล็กที่จนปูดโปนเป็นสีฟ้าเหลือบม่วงก็ไม่ยอมปล่อยแขนของซ่านจินจื๋อ “เอาคืน…เอาคืนมาให้ข้า…”
“เอาออกไป” ซ่านจินจื๋อกัดฟันพูดกับเมี่ยวหาร ดึงมือของกู้อ้าวเวยถอยออกมาอย่างไร้ความปรานี และหยัดกายลุกขึ้นมา “เจ้าพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
กล่าวเสร็จ กู้อ้าวเวยก็รวบรวมแรงทั่วทั้งร่างตะเกียกตะกายขึ้นมา แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำ
หลังจากนั้นไม่นาน นางทำเพียงกระอักเลือดออกมาอย่างแรง ต่อไปเกิดอะไรขึ้นอีกนั้น นางไม่รับรู้เลยสักนิด
ในหน้าหนาววันแรกของเทียนเหยียน นางสูญเสียลูกที่ยังไม่ทันเป็นตัวคนนั้นไปเสียแล้ว
คืนนั้น ซ่านจินจื๋ออดตาหลับขับตานอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงซูพ่านเอ๋อตลอดคืน ปล่อยกู้อ้าวเวยนอนหมดสติเพียงลำพังกับท่านหมอที่เชิญมาจากจี้ซื่อถางคนนั้น ชิงต้ายถูกกักขังอยู่ในร้านยาเหย้า
ส่วนนอกประตูเรือนหลัก จิ่นซิ่วในชุดบางตัวเกร็งสั่นเทิ้ม และขดตัวอยู่ในมุมอับให้ได้มากที่สุด อุดหูเอาไว้ไม่ฟังเสียงใดๆ ข้างกายยังมีสาวใช้หลายคนรุมล้อมนางอยู่ “พี่จิ่นซิ่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“อย่าพูด พวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงร้องของเด็กเลยหรืออย่างไร”
จิ่นซิ่วร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง นางมองฝ่ามือของตนราวกับว่าเลือดในนั้นจะเช็ดล้างไม่ออกเลยตลอดกาล
สาวใช้หลายคนถูกด่าจนหนังศีรษะมึนชา
ไร้เสียงพูดทันใด ท่ามกลางคืนเหน็บในฤดูหนาวนี้ คำซุบซิบนินทาในจวนอ๋องจิ้งแพร่สะพัดออกไป จนทุกคนต่างรู้โดยทั่วกัน
ขณะที่เมิ่งซู่เข้ามาในเมืองวันรุ่งขึ้นเพื่อซื้อของเตรียมพร้อมสำหรับหน้าหนาว ก็ได้ยินเหล่าหญิงสาวที่กินอาหารเช้าบนตรอกเล็กๆ ด้านข้างกำลังสนทนากันในเรื่องดังกล่าวพอดี “ว่ากันว่าพระชายาจิ้งไม่ได้รับความโปรดปราน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอ๋องจิ้งจะลงมือกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้ลงคอ”
“ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่าเพื่อศิษย์น้องคนนั้นอ๋องจิ้งปล่อยให้พระชายาจิ้งอยู่ห้องว่างเพียงลำพัง เหตุใดถึงเอาเลือดเนื้อเชื้อไขไปเสียแล้ว”
“นี่เจ้าไม่รู้สินะ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพระชายาจิ้งออกไปข้างนอกช่วงหนึ่ง นั่นก็ไปบำรุงครรภ์มา ข่าวที่แพร่ออกมาเมื่อคืนวาน บอกว่าลูกของพระชายาจิ้งไม่เหลือแล้ว” พูดถึงตรงนี้ หญิงคนนั้นก็กวาดมองไปโดยรอบ หลังจากที่มองไม่เห็นคนในวังจึงเอ่ยต่อไป “บอกว่าใช้เลือดเนื้อเชื้อไขของพระชายาจิ้งไปทำส่วนประกอบยาให้กับศิษย์น้องคนนั้นไง”
หญิงสาวหลายคนพากันร้องอุทานขึ้นมา พูดเพียงแต่ว่าอ๋องจิ้งคนนี้ช่างใจไม้ไส้ระกำจริงๆ
ยัยไง่หงรู้สึกเพียงว่าเกี๊ยวน้ำที่กินลงไปนั้นกลับซัดคลื่นไส้ขึ้นมา คว้าแขนของเมิ่งซู่เอาไว้แน่นอย่างร้อนรน “ที่พวกเขาพูด คงไม่จริงหรอกกระมัง”
“ข้าไม่รู้” ในใจของเมิ่งซู่กลับเริ่มเชื่อในถ้อยคำที่เหล่าหญิงสาวพวกนี้พูดขึ้นมาบ้างแล้ว
เป็นอย่างที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้ บิดามารดาของกู้อ้าวเวยไม่สนใจใยดีต่อนางเลยสักนิด คนที่เรียกว่าสามีก็ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่จริงใจ
เขากำหมัดแน่น ทำเพียงมองดูลมหิมะพร่างท้องฟ้าที่ดูแรงขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่สู้พวกเราไปหานางที่วังอ๋องดีกว่ากระมัง ข้าอยากรู้…”
“หากไปแล้ว ก็จะสูญเสียความคาดหวังทั้งหมดที่นางมีต่อข้า” เมิ่งซู่ทำเพียงกินเกี๊ยวน้ำเบื้องหน้าให้หมดด้วยความรวดเร็ว พลางหยัดกายลุกขึ้นมา “รอจนลมหิมะผ่านไป ข้าเองก็จะต้องก้าวหน้าอีกหนึ่งขั้นแล้ว”
ยัยไง่หงเบ้ปาก ทำเพียงเดินตามฝีก้าวของเมิ่งซู่อย่างรวดเร็ว รีบซื้อของสำหรับหน้าหนาวและออกจากเมืองเทียนเหยียนแห่งนี้ มุ่งหน้าไปพักค้างอ่านหนังสือยามค่ำที่เรือนอื่น เพื่อไม่ทำผิดต่อความคาดหวังของกู้อ้าวเวยในปีหน้าจะต้องสอบวัดระดับให้สำเร็จจงได้
กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาท่ามกลางลมหิมะ เสียงของลมหิมะข้างหูราวกับไม่เคยหยุดนิ่ง
ไม่มีใครอยู่ข้างเตียง ในห้องนอกจากลมหิมะพัดจนเกิดเสียงแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย
กายท่อนล่างปวดจนไม่ไหว ความเจ็บปวดบริเวณช่องท้องราวกับหนอนแมลงวันแทะกระดูกพันอยู่รอบเส้นประสาทของนางเอาไว้ ปลายนิ้วล้วนเจ็บปวด ทั่วเรือนกายหนาวเย็น น่าเสียดายที่กลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ปลายจมูกยากจะลบเลือน
“อึก…” นางกำผ้านวมแน่นอย่างไม่ยินดี น้ำตาไหลพรากด้วยความชอกช้ำ
แต่เดิมนั่นควรเป็นที่พึ่งของนาง เป็นสมบัติในมือนาง
แต่ตอนนี้ ไม่เหลืออะไรแล้ว…
ปลายนิ้วของนางไล้ผ่านช่องท้องของตนโดยไม่ตั้งใจ ทำได้เพียงกัดฟันแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
ซูพ่านเอ๋อนางกล้าดีอย่างไร
นางกัดฟันอย่างไม่เต็มใจ ความเจ็บปวดช่วงอกคล้ายกับจะกำเริบสาหัสขึ้นมา
ท่านหมอที่เฝ้าอยู่นอกประตูสังเกตถึงการเคลื่อนไหวด้านใน ตอนที่เข้ามา ก็พบว่าริมฝีปากและฝ่ามือของนางมีเลือดอยู่รำไร ส่วนไม้บนเตียงถูกเล็บเปื้อนเลือดของนางไล้ผ่านจนเป็นร่องรอยขนาดเล็กหลายรอย
“พระชายา” ท่านหมอวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ กลับถูกคนข้างหลังคว้าเสื้อของเขาเอาไว้อย่างรุนแรง ทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ข้างเตียงเท่านั้น
“ข้าต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะฟื้นตัว” กู้อ้าวเวยไอปนเลือดออกมา สายตาดูน่าสยดสยอง