บทที่ 211 ส่วนประกอบยาของข้า
จันทร์พราวดาวพร่างฟ้า ลมราตรีช่างหนาวเหน็บ
เฉิงซานขับรถม้า มุ่งหน้าไปส่งเมิ่งซู่ที่ลานเรือนนอกเมือง ในตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิดลงยังคงยืนกรานว่าจะต้องพาเขาไปส่งที่นอกเมืองให้จงได้ เห็นชัดถึงการให้ความสำคัญของซ่านจินจื๋อที่มีต่อเขา และยิ่งทำให้เขากลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปมุ่งโจมตีได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
เมิ่งซู่กระโดดลงจากรถม้า ยัยไง่หงที่อยู่ในเรือนเดินออกมาพร้อมกับถือเสื้อคลุมและโคมไฟเท่านั้น
“คุณชายเมิ่ง ท่านอ๋องฝากความหวังไว้กับท่านมาก แต่วันหน้าหากท่านยังคงผยองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าจะล้มหัวคะมำเอา”
ก่อนเฉิงซานจะจากไป ทำเพียงทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคนี้
ยัยไง่หงสวมเสื้อคลุมให้เมิ่งซู่อย่างงงงวย และยัดถุงเนื้ออุ่นๆ ใส่ในมือของเขา ยิ้มให้เขาด้วยอาการแดงเรื่อที่ปลายจมูก “พระชายาจิ้งเจ๋งจริงๆ ท่านยังไม่ทันได้สอบจัดอันดับและไม่ได้มีบทความมากเท่าไรเลยด้วยซ้ำ พวกเขายังพากันแย่งท่านเสียแล้ว วันหน้าหากโบยบิน นายท่าน ฮูหยินและนายน้อยใหญ่จะต้องปลื้มใจตายเป็นเลยแน่ๆ”
“เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” เมิ่งซู่ ลูบกระหม่อมของนาง ทำเพียงสาวเท้าเดินมุ่งเข้าไปสู่ลานเรือนที่มีขนาดเล็กๆ ไม่เกินสามห้อง ภายในห้องยังมีแม่นางน้อยที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่ พอเห็นเขาก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ “คุณชายเมิ่ง”
“เจ้าคือ…” เมิ่งซู่ไม่เข้าใจ จ้องยัยไง่หงที่อยู่ข้างกายตาเขม็ง
ยัยไง่หงรีบโบกมือเป็นพัลวัน “คิดอะไรอยู่น่ะนายน้อย ท่านผู้นี้ไม่ใช่สตรีที่นายท่านกับฮูหยินส่งมาเสียหน่อย นี่ก็คือหยินเชี่ยวที่เมื่อก่อนพระชายาจิ้งพูดถึงบ่อยๆ ท่านเพิ่งออกไป นางก็แหวกป่าข้างๆ เดินเข้ามาเลย ช่างอาจหาญยิ่งนัก”
คราวนี้เมิ่งซู่ถึงได้เข้าใจ ในใจยิ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตอนนี้มันดึกมากแล้ว เหตุใดเจ้า…”
“ฉีหลินส่งคนให้ส่งข้าเข้ามา คุณชายเมิ่งไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ” หยินเชี่ยวยิ้มพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเมิ่งซู่ แววตาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา “ที่มาคืนนี้ เพราะคุณหนูให้ข้านำข่าวสารมาบอก”
เมิ่งซู่โบกมือ ให้ยัยไง่หงปิดประตูหน้าต่างลง คราวนี้จึงหย่อนกายลงนั่ง
ทีนี้หยินเชี่ยวจึงเอ่ยคำต่อไป “เมื่อก่อนคุณหนูเคยให้ข้าติดต่อกับองค์ชายสาม ตอนนี้องค์ชายสามส่งความมาบอกว่าเขาจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักเป็นการชั่วคราว แต่กลับให้คุณชายเมิ่งเผยคมในฝักของตนออกมา รอสักวันหนึ่ง หากเขาคิดว่าท่านทำได้ ย่อมต้องมาหาท่านด้วยตนเองอยู่แล้ว”
“นี่คือถ้อยคำขององค์ชาย มันใช่ถ้อยคำของคุณหนูเจ้าเสียที่ไหนกัน” ยัยไง่หงหัวเราะเยาะขึ้นมาอยู่ข้างๆ
หยินเชี่ยวเบ้ปาก “ถ้อยคำของคุณหนู ก็คือให้ข้านำความมาบอกพวกท่านไง แล้วมันจะไม่ได้การตรงไหน”
“อัยยะ โกรธแล้ว น่ารักจริงๆ” ยัยไง่หงยื่นมือออกมา หัวเราะพลางบีบพวงแก้มของหยินเชี่ยว ดูแล้วกลับชอบอุปนิสัยของหยินเชี่ยวยิ่งนัก หยินเชี่ยวยิ่งหัวเสีย ไปที่ไหนก็มีแต่คนคอยหยอกล้อนาง
“วันนี้ค่ำมืดแล้ว แม่นางหยินเชี่ยวไม่สู้ฟัดเหวี่ยงกับเด็กสาวน่าปวดหัวคนนี้ของข้าสักคืนดีกว่ากระมัง” เมิ่งซู่รีบลากยัยไง่หงออกมาอย่างรวดเร็ว
หยินเชี่ยวปราดมองนอกหน้าต่าง และรีบตอบตกลงทันใด และไปยังห้องข้างๆ พร้อมกับยัยไง่หงด้วยอารามหัวร่อต่อกระซิก
เมิ่งซู่กลับครุ่นคิดถ้อยคำขององค์ชายสามโดยละเอียด แบบนี้ดูท่าองค์ชายสามผู้นี้จึงจะเป็นคนที่มีกะใจอยากจะปราศรัยกับเขาอย่างแท้จริง ส่วนอ๋องจิ้งคนนั้นวันนี้ถามคำถามเขาไม่น้อยเลย ดูแล้วอยากจะสืบข่าวเรื่องที่กู้อ้าวเวยทำลงไปทั้งหมดที่ตำบลซ่านหลินในตอนนั้นเสียมากกว่า
ระหว่างท่านอ๋องจิ้งผู้นี้และกู้อ้าวเวย มีปัญหากันจริงๆ เสียด้วย
……
วันรุ่งขึ้น ช่วงเวลาอาหารเช้า
กู้อ้าวเวยไม่มีความอยากอาหาร และขี้เกียจเกินกว่าจะไปเจอกับซูพ่านเอ๋อหรือไม่ก็กู้จี้เหยาในห้องโถง
เพียงแต่เมื่อเช้านี้ หลังจากเมี่ยวหารตรวจวัดชีพจรให้กับกู้จี้เหยาแล้วก็รีบมาบอกเรื่องที่กู้จี้เหยาตั้งครรภ์กับท่านอ๋องทันที ซ่านจินจื๋อลุกออกจากเตียงนอนไปตั้งนานแล้ว เหลือนางไว้ภายในห้องหนังสือเพียงลำพัง
ขณะที่ซ่านจินจื๋อไม่อยู่ ชิงต้ายก็สามารถเข้ามาดูแลด้านในได้
“หยินเชี่ยวส่งความมาบอกแล้วเจ้าค่ะ องค์ชายสามยังไม่นิรโทษกรรมเป็นการชั่วคราว แต่จะรอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ” ตอนที่ช่วยมวยผมให้นาง ชิงต้ายเอ่ยเสียงแผ่วไปพลาง
“ทุกอย่างก็ให้เมิ่งซู่เป็นผู้ตัดสินใจเองทั้งหมดเถิด ตอนนี้ข้าขอเพียงดูแลตัวเองให้ดีก็นับเป็นโชคลาภอันประเสริฐแล้ว” นางอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน และหยิบขนมปังเนื้อร้อนๆ จากด้านข้างขึ้นมาหนึ่งอัน
วันนี้หากยังคงอยู่ด้านหลังห้องอ่านหนังสือได้ละก็ นางย่อมสามารถรับฟังได้ว่าข้างกายซ่านจินจื๋อมีกองกำลังใดบางอย่างแน่นอน
สองชั่วยามผ่านไป ซ่านจินจื๋อจึงหุนหันกลับสู่ห้องอ่านหนังสือด้วยความโกรธ คนที่ตามมาด้วยยังมีเฉิงซานและพ่อบ้านในจวน กู้อ้าวเวยเพิ่งจะอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้า พอได้ยินเสียงของพ่อบ้านจึงวางหนังสือลงทันที
“ท่านอ๋อง เรื่องของพระชายารอง ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ นะ” พ่อบ้านคุกเข่าอยู่บนพื้นและตัวสั่นเทิ้ม
เฉิงซานที่อยู่ข้างๆ ทำเพียงคุกเข่าบนพื้น ก้มหน้างุดสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นข้าน้อยที่ทำพลาดเอง”
“เอาเถิด ส่งกู้จี้เหยาไปที่เรือนอื่นเสีย” ซ่านจินจื๋อนวดขมับที่ปวดตุบๆ ผ่านไปสักพักถึงได้ฉุกคิดขึ้นว่าเบื้องหลังฉากกั้นลมยังมีกู้อ้าวเวยอยู่ด้วย สีหน้าเริ่มแปรเป็นอ่อนโยนลงบ้าง และให้ทั้งสองคนนี้ออกไป
รอจนในห้องหนังสือไร้ผู้คน กู้อ้าวเวยจึงเดินอ้อมด้านหลังฉากกั้นลมออกมา “เหตุใดท่านอ๋องถึงให้น้องสาวไปเรือนอื่นด้วยเล่า”
“หากซูพ่านเอ๋อรู้เรื่องนี้เข้า ร่างกายจะยิ่งทรุดหนักลงไปอีก” ซ่านจินจื๋อหยิบเอกสารราชการข้างมือขึ้นมา
กู้อ้าวเวยเบ้ปาก รู้ว่าตนถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเสียแล้ว
แต่ว่าด้วยเหตุนี้ ต่อให้กู้จี้เหยาอยากจะทำอะไรกับนางจริงๆ หลังจากไปเรือนอื่นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ มันกลับปลอดภัยเสียอีก
หลังจากกลับไปที่ฉากกั้นลมอีกครั้ง กู้อ้าวเวยก็ปรายตามองปลายนิ้วของตนเอง
ดวงตาของนางแทบจะหายดีเป็นปกติแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครเปิดโปงนางได้ นึกถึงตรงนี้ นางก็ตรงไปหยิบหนังสือจำนวนไม่น้อยมาอ่าน
ท่ามกลางห้องอ่านหนังสือของซ่านจินจื๋อส่วนใหญ่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และหนังสือทางทหาร มันทำให้นางรู้สิ่งต่างๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
สองวันต่อเนื่องกันมานี้ นางแทบจะอยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อตลอด เพียงแต่ไม่ตามซ่านจินจื๋อไปทานอาหารที่ห้องโถงเท่านั้น วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องหนังสือมีความสุขอย่างเป็นอิสระ และได้ยินความแตกต่างเล็กน้อยจากพลพรรคของซ่านจินจื๋อพวกนั้น
ซ่านจินจื๋อยังคงเป็นแม่ทัพ และเขาไม่สนใจเหล่าข้าราชการพลเรือนในจวนเลย มีข้อคิดเห็นที่ไม่เลวบางส่วนกลับถูกซ่านจินจื๋อระงับไว้เสียก่อน
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง
น่าเสียดายที่นางสนใจเฉพาะข้อมูลในอดีตทางการเมือง และลืมไปตั้งนานแล้วว่าในจวนยังมีซูพ่านเอ๋ออยู่ด้วย
ตอนที่ได้เห็นซูพ่านเอ๋ออีกครั้ง ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนให้หลังแล้ว
เตาไฟวางอยู่ด้านข้าง ในห้องเล็กๆ กลับได้รับการจัดระเบียบอย่างดี นี่คือโอกาสจำนวนน้อยครั้งที่กู้อ้าวเวยจะเข้ามาเยือนเรือนหลัก นางห่อตัวอย่างแน่นหนา ส่วนซูพ่านเอ๋อนอนเอนกายครึ่งตัวอยู่บนเตียง สาวใช้สองคนถูกกักกันไว้ด้านนอกประตู
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าวันนี้ข้าเรียกเจ้ามาทำไม” ซูพ่านเอ๋อยกมุมปากอย่างผยอง ปลายนิ้วเรียวงามกำลังเขี่ยชามยาที่ว่างเปล่าเล่นอยู่
ต่อให้ซ่านจินจื๋อวางเครื่องหอมไว้ในที่แห่งนี้ มันก็ยังไม่อาจกลบกลิ่นยาฉุนเข้มนี้เอาไว้ได้
กู้อ้าวเวยสำลักจนรู้สึกไม่ค่อยสบาย ทำเพียงเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเสแสร้งแกล้งทำแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทำร้ายข้าไม่ได้แล้ว ยังทำเอาร่างกายของตัวเองมีสภาพเช่นนี้อีก สบายดีไหม”
“กู้อ้าวเวย อย่าคิดว่าข้าไม่มีวิธีจัดการกับเจ้าเชียวนะ” ซูพ่านเอ๋อวางชามยาไว้ด้านข้าง ลงมาจากเตียงนอน ไหนเลยจะมีท่าทีอ่อนแอเหมือนอยู่ต่อหน้าซ่านจินจื๋อ
ซูพ่านเอ๋อเดินเปลือยเท้ามาหยุดต่อหน้านาง ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววบ้าคลั่ง
ทั้งสองสบสายตากัน กู้อ้าวเวยปั้นหน้านิ่ง ทำเพียงมองซูพ่านเอ๋อที่มองมายังหน้าท้องของตน และพ่นหนึ่งประโยคออกมาอย่างแช่มช้า “ลูกของเจ้า วันหน้าก็จะเป็นส่วนประกอบยาของข้า คงไม่ได้เป็นรกในครรภ์อะไรนั่นให้เปลืองแรง