บทที่ 240 เรื่องช่างประจวบเหมาะ
มารดาของฉีหลินและฉีหรัวคือคนรักตั้งแต่วัยเยาว์ของฉีหมิง แต่เมื่อครอบครัวของนางเกิดตกอับ นางจึงถูกขายไปอยู่ที่หอคณิกา ในตอนนั้นนางยังไม่ทันได้รับแขกก็ถูกฉีหมิงมาชิงซื้อตัวกลับไปก่อนด้วยเงินที่เขาขโมยมาจากครอบครัว แต่แม้กระนั้นชื่อเสียงของนางก็ได้ป่นปี้ไปแล้ว ยากที่จะได้รับการยอมรับให้มาเป็นชายาเอก เพื่อสยบคำโจมตีทั้งหลายของคนในวงศ์ตระกูล ฉีหมิงจึงได้แต่งกับหญิงอื่นๆมาเป็นชายา และชายาเอก
เหล่าชายาต่างชิงดีชิงเด่นกัน ตลอดจนถึงลูกๆของพวกนางต่างได้รับสืบทอดความคิดฝังเข้าไปในหัว
แต่เป็นฉีหลินที่ฉีหมิงรักใคร่เอ็นดูเป็นที่สุด แม้ฉีหมิงไม่ได้ให้ความรักต่อชายาคนอื่น แต่ในเมื่อมีทายาทด้วยกันแล้ว เขาจึงให้ความเคารพพวกนางฉันท์สามีภรรยา และปฏิบัติต่อลูกของพวกนางอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาเขาส่งมอบสำนักเยียนหยู่เก๋อให้ฉีหลิน พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถมีชีวิตที่ดี
“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของฉีหลินแล้ว แม้เขาจะได้รับสืบทอดมรดกของตระกูล แต่เขาก็จะคอยปกป้องดูแลพี่น้อง แต่หากว่าข้าส่งมอบให้กับลูกคนอื่นๆ เกรงว่าพี่น้องจะทะเลาะกัน” ฉีหมิงได้แต่ส่ายหัว
กู้อ้าวเวยนิ่งเงียบไป ไม่ว่าฉีหมิงเลือกที่รักมักที่ชังจริงรึไม่ หรือเขาแค่คำนึงถึงสถานะและความมั่งคั่งของวงศ์ตระกูลก็ตาม ที่เขาทำเช่นนี้ก็หาใช่เป็นความผิดไม่
ทันใดบานประตูก็ถูกผลักเปิดออก
ฉีหรัวเข้ามาพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ กำหมัดแน่น: “เหตุใดท่านพ่อจึงไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา”
“หรัวเอ๋อร์” หลังจากนั้นฉีหมิงมีสีหน้าที่สงบลง: “ฉีหลินเป็นน้องชายของเจ้า เจ้ายังคิดอยากแก่งแย่งกับเขาหรืออย่างไร”
“ทำไมจะไม่ล่ะ ท่านไม่เคยสนใจใยดีข้า ไม่เคยแม้แต่จะสนว่าข้าจัดการกิจการงานบ้านอย่างไร เพียงเพราะข้าป่วยไม่สามารถแต่งงานออกไปจึงทำให้ถูกกลั่นแกล้ง” ฉีหรัวก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าวและกระโจนลงมาคุกเข่าต่อหน้าฉีหมิง: “แต่ในเวลานี้ข้าสามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้แล้ว เสี่ยวหลินทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เหตุใดท่านพ่อจึงไม่ยอมยกสำนักเยียนหยู่เก๋อให้ข้าดูแล”
“เจ้าเป็นลูกผู้หญิง ต่อไปก็ต้องแต่งงานไปดูแลสามีและลูก……”
“หากท่านพ่อยอมยกสำนักเยียนหยู่เก๋อให้ลูก ลูกสาบานว่าชาตินี้จะไม่มีวันแต่งงาน ในวันข้างหน้าทรัพย์สมบัตินี้จะตกอยู่ในมือของพี่น้องเราอย่างแน่นอน” ฉีหรัวยกมือขึ้นสาบานด้วยแววตาที่พาให้คนยำเกรง
นัยน์ตาทั้งสองของฉีหมิงเบิกโพลง เขาโกรธจนพูดไม่ออก
กู้อ้าวเวยรีบเข้าไปลูบไหล่ของฉีหมิงเพื่อทำให้เขาสงบอารมณ์ลง: “นายท่านฉีอย่าโกรธไปเลย ค่อยๆพูดค่อยๆจา”
“พระชายาจิ้ง! ท่านดูที่นางพูดสิ! มีที่ไหนกันผู้หญิงไม่แต่งงาน!” ฉีหมิงชี้ไปที่หน้าของฉีหรัวและแผดเสียงออกมา: “ที่แท้เจ้าอยากได้สมบัติของข้าถึงขั้นนี้เชียวรึ!”
“แล้วทำไมจะไม่ได้ ข้าก็เป็นลูกของท่านเหมือนกัน”
“มีลูกสาวบ้านไหนกัน……”
“โปรดใจเย็นกันลงก่อนเถิด” กู้อ้าวเวยยื่นมือเข้ามาขัดจังหวะการโต้วาจาที่ไร้ความหมายของทั้งสอง ฉีหมิงมีความคิดแบบผู้ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายทศวรรษ ส่วนฉีหรัวนั้นมาพร้อมกับความโกรธของคนวัยหนุ่มสาว
กู้อ้าวเวยประคองฉีหรัวขึ้นมาจากพื้น: “ให้ข้าคุยกับนายท่านฉีเถอะ”
ฉีหรัวกัดริมฝีปากล่างด้วยความคับแค้นใจ นางเผชิญหน้ากับฉีหมิงอยู่นานสองนานโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายจึงเดินจากไป
ฉีหมิงถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่
“นายท่านฉี ถึงแม้ว่าตั้งแต่อดีตกาลจะมีเพียงผู้ชายได้เป็นใหญ่ แต่ถ้านายท่านฉีคิดเพื่อประโยชน์ของอนาคตของสำนักเยียนหยู่เก๋อจริงๆ ฉีหรัวเป็นตัวเลือกที่ดี” กู้อ้าวเวยพูดอย่างจริงจัง: “ในบรรดาลูกๆของท่าน นางเป็นหนึ่งเดียวที่มีพรสวรรค์โดดเด่น”
“แต่อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง หากไม่แต่งงานมีลูก ภายภาคหน้าจะต้องถูกคนว่ากล่าวนินทาครหาไม่จบสิ้น”
“แล้วไงล่ะ” สีหน้าที่ไร้อารมณ์และแววตาที่มืดลงของกู้อ้าวเวยหันไปทางฉีหมิง: “หากนางมีเงินทองมากมาย มีฐานะที่มั่นคง แม้ถูกคนครหานินทามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่อาจสั่นคลอนนางได้แม้แต่น้อย”
ฉีหมิงที่ยังคงปักใจไม่เชื่อในคำพูดของกู้อ้าวเวย เปิดปากพูด : “จะเป็นไปได้อย่างไร……”
“ฉีหรัวยังซื้อใบสั่งยาจากข้าไปไม่น้อย นางพัฒนาเวชสำอางและสินค้าใหม่ออกมา ก่อนหน้านี้นางยังได้สาบานอีกด้วยว่าจะไม่มีวันแต่งงานไปตลอดชีวิต ยังมีอะไรที่นายท่านฉีต้องกังวลใจไปอีกเล่า” กู้อ้าวเวยหยิบใบสั่งยาไปไว้ในมือฉีหมิงอย่างระอา
ฉีหมิงสีหน้าเรียบนิ่ง เขาไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับกู้อ้าวเวยอีก
“ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อเรื่องของหยินเชี่ยวกับฉีหลิน” กู้อ้าวเวยพูดต่ออีกว่า “ข้าจะช่วยเพิ่มอิทธิพลให้หยินเชี่ยว”
กู้อ้าวเวยมาที่นี่เพื่อทำการโน้มน้าวถึงขั้นนี้ หากเขาคิดจะปฏิเสธไปคงไม่ดี จึงทำได้เพียงแค่เงียบไป
เรื่องในจวนฉีซับซ้อนไม่น้อย กู้อ้าวเวยไม่คิดเข้าไปเกี่ยวข้องนัก แต่นางมีความคิดของตัวเองอยู่ในใจ
เดิมทีนางยังคิดไม่ตกอยู่กับเรื่องของจูเย่นและจูเซ แต่ตอนนี้พื้นหลังของหยินเชี่ยวช่างว่างเปล่า หากให้คนของโหวเซ่อมาที่เทียนเหยียนและช่วยปลอมเป็นญาติห่างๆของหยินเชี่ยวชั่วคราว แล้วทำการกระจายข่าวลือไปว่าภูมิหลังของหยินเชี่ยวนั้นเป็นองค์กรลับแห่งยุทธภพ
ส่วนองค์กรลับนี้คืออะไรนั้น ก็เป็นสิ่งที่นางไม่ควรละลาบละล้วงถามต่อไป
เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง หยินเชี่ยวและชิงต้ายอดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องราว กู้อ้าวเวยก็เพียงตอบอย่างทั่วไป ไม่ได้ให้พวกนางรับรู้อะไรไปมากกว่านั้น
หนึ่งราตรีแห่งการนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม กู้อ้าวตื่นขึ้นมาในรุ่งอรุณของวันถัดไป ผู้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงนั้นไม่ใช่หยินเชี่ยวหรือชิงต้าย แต่กลับเป็นบรรดาคนรับใช้มือฉมังที่คอยรับใช้ซ่านจินจื๋อ
พวกนางประคองกู้อ้าวเวยไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
“ท่านอ๋องรับสั่งพวกข้ามาว่า วันนี้พระชายาเข้าวังหลวง จึงควรต้องทำให้เหมาะสม” จากนั้นมือของเหล่าคนรับใช้ที่มีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เคลื่อนไหวอย่างเบามือ ผ่านไปไม่นาน มือที่ชำนาญหลายคู่นั้นได้ทำให้รอยบวมบนหน้าของกู้อ้าวเวยถูกกลบไปเจ็ดส่วน
ดูแล้วซ่านจินจื๋อเกรงกลัวไทเฮาอยู่ไม่น้อย
กู้อ้าวเวยยอมนั่งนิ่งแต่โดยดีตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อแต่งเสร็จเรียบร้อย นางหยิบกล่องยาและหยิบผ้าคลุมหน้ามาใส่: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราก็เดินทางเข้าวังไปก่อนเสียตอนนี้เลย”
“รถม้าของท่านอ๋องได้มารอท่านพร้อมอยู่แล้วที่ประตู” เหล่าคนรับใช้ย่อตัวทำความเคารพแล้วพากันออกไป
กู้อ้าวเวยมองดูท้องฟ้าที่ในเวลานี้พระอาทิตย์ยังคงไม่โผล่ขึ้นมาเต็มใบ จึงนึกขึ้นได้ว่ายามนี้เป็นเวลาที่ซ่านจินจื๋อต้องไปว่าราชกิจ
มาถึงที่ด้านนอกของตำหนักอ๋องขึ้นไปบนรถม้า ชุดว่าราชกิจอย่างเต็มยศที่ถูกแต่งอยู่บนตัวของซ่านจินจื๋อ ส่งเสริมให้เขาดูองอาจสง่าผ่าเผยมากขึ้นไปอีก หันกลับมามองทางกู้อ้าวเวยที่เมื่อได้รับการแต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้เลือกชุดอะไรเป็นพิเศษ นางแต่งกายด้วยชุดธรรมดาเรียบง่าย จับคู่กับคลุมหน้าสีขาว
ทั้งคู่มองกันและกันด้วยความเกลียด ซ่านจินจื๋อสีหน้าเรียบนิ่งมองออกไปในทิศทางหนึ่ง ส่วนกู้อ้าวเวยอยู่ในสภาพเหม่อลอย ภายในใจครุ่นคิดว่าควรล้างเครื่องสำอางบนใบหน้านี้ออกเมื่อใด
เมื่อเดินทางมาถึงประตูเข้าวังอย่างสวัสดิภาพ ทั้งสองก้าวเท้าลงจากรถม้า จากนั้นซ่านจินจื๋อเอ่ยขึ้นว่า: “อย่าให้ท่านแม่เห็นเป็นอันขาด”
“ค่ะ ท่านอ๋อง” กู้อ้าวเวยตอบอย่างอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
หากนางยอมเชื่อฟังจริง เหตุใดเมื่อวานจึงไม่ทายา ต้องรอจนซ่านจินจื๋อส่งคนมาจัดการด้วยตัวเอง
ซ่านจินจื๋อมองหลังของนางอย่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ
กู้อ้าวเวยมาถึงที่ห้องบรรทมของไทเฮาอย่างรวดเร็วแบบที่คนในตำหนักไม่ทันได้ตั้งตัว กุ้ยมามาดูจะรู้ว่ากู้อ้าวเวยจะมาในวันนี้ นางจึงรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อพบกับกู้อ้าวเวยแล้วจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำการต้อนรับนาง: “พระชายาเพคะ ไทเฮาทรงยังไม่ได้ล้างหน้า ถ้าอย่างไรเชิญท่านพักผ่อนที่ตำหนักรองก่อนดีรึไม่
“ได้” กู้อ้าวเวยดวงตาเป็นประกาย มาถึงก่อนเวลาเช่นนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
สาวรับใช้ในวังที่อยู่ข้างๆเดินนำทางพากู้อ้าวเวยไปยังตำหนักรอง เมื่อเดินเข้าประตูมา ระหว่างทางนั้นกู้อ้าวเวยได้สัมผัสไปโดนสิ่งของที่ไม่สะอาดจึงต้องการล้างมือ นางจึงทำการล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกไปอย่างเกลี้ยงเกลาด้วยในเวลาเดียวกัน และเพื่อให้เป็นการแน่ใจ นางยังได้กินยาเม็ดที่มีกลิ่นค่อนข้างแรงเข้าไปอีกด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่ยาชูกำลัง ไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อร่างกาย นอกเสียจากกลิ่นของมันที่ไม่ค่อยพึงประสงค์เท่านั้นเอง
“พระชายาเพคะ ท่านรู้สึกไม่สบายหรือไม่”
เมื่อสาวใช้เข้ามาพบกับนาง ก็ย่นจมูกในทันที
“ไปเอาซุปมาให้ข้าหน่อย หากให้ไทเฮาได้กลิ่นยานี้เข้า ต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่” หลังจากที่เครื่องสำอางได้ถูกชะล้างออกไป ใบหน้าของกู้อ้าวเวยขาวซีด สาวรับใช้มองดูด้วยความเคลือบแคลง แล้วจึงสั่งให้คนไปจัดการตามที่นางบอก