บทที่ 229 ฮูหยินงี่เง่า
ชุดเครื่องเขียนถูกวางลงบนโต๊ะ
“หากว่าพระชายาจิ้งอยากจะส่งข่าวสารอย่างเปิดเผยมีเกียรติจริงๆ ไม่สู้ควักเงินเปิดร้านชาซ่านให้ข้าสักแห่ง กำไรทุกเดือนจะตกเป็นของท่านทั้งหมด วันหน้าจะส่งข่าวสารก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว” ฉางอีฉินลอบกระตุกมุมปาก เอาใบรายชื่อของร้านชาซ่านชุดหนึ่งวางไว้ต่อหน้าของกู้อ้าวเวย
ไม่ว่าร้านค้าโรงชาที่เปิดในร้านชาซ่าน หรือไม่ก็ใบชาทุกชนิดที่อยู่ในนั้น ก็มีครบครันทั้งหมด
นี่ไม่เหมือนความคิดของซ่านเซิ่งหาน ปลายนิ้วของนางไล้ผ่านตัวอักษรในนั้นทีละคำ ไล่อ่านทีละตัว ค้นพบว่ารายการนี้มีรายละเอียดมาก ที่แท้ก็มีร้านชาเล็กบางแห่งต่างใช้ใบชาราคาถูกเหล่านั้นของร้านชาซ่าน ส่วนร้านที่จ้องนามร้านชาซ่าน ก็ใช้ใบชาราคาสูงพวกนั้น
หลังจากอ่านจบแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นมา เลิกคิ้วมองไปยังทั้งสองคน “องค์ชายสามมักจะรอบคอบเสมอ คงจะไม่ทำโจ่งแจ้งแบบนี้เด็ดขาด ของพวกนี้คือเจตนาของพวกท่านทั้งสองกระมัง”
“ใช่ แค่รู้สึกว่าติดต่อกับพระชายาจิ้งเป็นการส่วนตัว ไม่สู้อ้างเจ้าบ้านของพวกเราตรงๆ ดีกว่า”
“ข้าแค่อยากทำเงินสักหน่อย แต่ท่านก็รู้ พอร่วมมือกับข้า สายลับของอ๋องจิ้งก็คงจะไม่ไปจากบ้านพวกท่านแน่” กู้อ้าวเวยดันรายการนี้กลับไปอีกอย่างอย่างฝืนใจ
สามารถร่วมมือกับสำนักเยียนหยู่เก๋อได้ ก็เพราะตอนนั้นนางจับพลัดจับผลูรู้จักกับฉีหลินโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็มีสัมพันธไมตรีกับฉีหลิน
เผชิญหน้ากับฉางอีฉินที่หยิ่งยโสในใจคิดแต่จะได้รับหัวใจจากผู้ชาย นางไม่กล้าร่วมมือด้วยเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยว่แปลกๆ คนนั้นที่อยู่หลังกายนางเลย ย่อมไม่กล้าเชื่อถืออยู่แล้ว
“เป็นเยี่ยงนี้แล้วอย่างไร พระชายาจิ้งไม่ควรเป็นคนที่อยู่ข้างพวกเราอย่างนั้นหรือ”
“จริงหรือ ท่านก็ให้เกียรติเรียกข้าว่าพระชายาจิ้ง แต่ถึงขั้นพูดถ้วยวาจานี้ออกมาได้อยู่อีก” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ฉางอีฉินคนนี้เป็นคนโง่คนหนึ่งจริงๆ ด้วย
คำบางคำไม่อาจพูดอย่างชัดเจน ถึงขึ้นไม่รู้หลักการข้อนี้เชียว
เยว่ดึงนางเอาไว้อย่างร้อนรน แนบข้างหูและเอ่ยเตือนเสียงกระซิบหลายประโยค คราวนี้จึงมายังเบื้องหน้าของกู้อ้าวเวย นำเรื่องที่ซ่านเซิ่งหานบัญชามาทั้งหมดส่งไปให้พร้อมแนบจดหมายฉบับหนึ่งไปด้วย “นี่คือสำรับอาหารที่ฮูหยินทานยามปกติ รบกวนพระชายาจิ้งให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย”
“ข้อนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่หวังว่าวันหน้าฮูหยินอย่าได้คิดว่ารายการแบบนี้จะซื้อตัวข้าได้ หากว่าอยากซื้อข้าจริงๆ ก็หอบเงินเป็นกอบเป็นกำเข้ามาตรงๆ เลยจะดีกว่า”
กู้อ้าวเวยโบกมือ ชิงต้ายจึงนำทางสองคนนี้ออกไป
นางเปิดอ่านจดหมายเบื้องหน้าออกแล้ว ดูว่าซ่านเซิ่งหานเองก็คิดจะดึงหู้ปู้เซ่อหลางมาเข้าพวก และยังคิดวิธียุแยงตะแคงรั่ว ทำให้นางร่วมมือ ส่วนสองแผ่นสุดท้ายก็คือรายการอาหารที่ฉางอีฉินรับประทานเป็นกิจวัตรจริงๆ
สำหรับเรื่องนี้ นางทำเพียงแค่เลิกคิ้ว เห็นชิงต้ายเดินเข้ามา ก็จนปัญญาเหมือนกัน “สูตรเร่งการเกิดช่วยผู้คนนี้ ข้าก็ยังไม่รู้จริงๆ ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติหรอกหรือ ช่างน่าปวดหัวจริงๆ”
“ฮูหยินในจวนไม่น้อยต่างก็กังวลใจในเรื่องนี้ เรื่องลูกนี้หนอ ดูแล้วก็ยังเป็นโชคชะตาของมนุษย์อยู่ดี บางคนร่วมเรียงเคียงหมอนกันหลายปีก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที แต่กับบางคนแค่เป็นสามีภรรยากันแปบๆ ก็ท้องแล้ว เรื่องนี้พูดไปกลัวจะไม่ดีนัก” ชิงต้ายเดินเข้ามาอย่างจนปัญญา “เพียงแต่อีกไม่กี่วันก็ต้องไปงานเลี้ยงพระราชสมภพของไทเฮาแล้ว หลายวันนี้กลัวว่าจะต้องจัดการปัญหาเรื่องของหู้ปู้เซ่อหลางให้เรียบร้อยเสียหน่อย”
“มีเหตุผล แต่เรื่องของหู้ปู้เซ่อหลางก็พิลึกนัก พิษนี้ถูกวางอย่างเป็นความลับมากๆ ดูไม่เหมือนพฤติกรรมขององค์ชายสักคนเลย กลัวว่าจะเป็นคู่แค้นสักตระกูลของหู้ปู้เซ่อหลางเสียมากกว่า” กู้อ้าวเวยพึมพำพูดกับตัวเอง ขบคิดอย่างถี่ถ้วน ตระกูลคู่แค้นของหู้ปู้เซ่อหลางก็มีไม่น้อยเลย หากคิดจะยุแยงตะแคงรั่ว ก็ต้องตามหาคนๆ นี้ให้พบถึงจะถูก “ชิงต้าย เจ้าก็ไปที่จวนหู้ปู้เซ่อหลางเพื่อดูสักระยะ ดูสิว่าเป็นพิษที่คนรับใช้วางหรือไม่”
“เหตุใดถึงเป็นคนรับใช้”
“เพราะว่าพวกลูกหลานของหู้ปู้เซ่อหลางมักจะรังแกคนอ่อนแอกว่าเสมอ อาจเป็นไปได้ว่าประชาชนคนนั้นตัดสินใจจะเข้ามาในจวนและฆ่าพวกเขาให้ตาย แต่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรศาสตร์มาก ถ้าไม่ใช่คนรับใช้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นพิษที่ซ่านจินจื๋อวางไว้อย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น เห็นชิงต้ายคล้ายกับไม่วางใจที่ตนต้องอยู่คนเดียวลำพัง จึงเอ่ยอย่างจนปัญญา “ตอนนี้จัดการเรื่องของโหวเซ่อได้แล้ว คิดว่าข้าคงไม่มีอันตรายอะไรแล้ว”
“ข้ากลัวว่าท่านจะหิวตายในร้านยาเหย้า” ชิงต้ายทอดถอนใจหนึ่งเฮือก
กู้อ้าวเวยพูดไม่ออกสักคำ ทำเพียงกระแอมไอเบาๆ รับปากชิงต้ายมั่นเหมาะว่าจะกินอาหารให้เรียบร้อย คราวนี้จึงขับชิงต้ายออกไป
ชิงต้ายถูกส่งไปที่จวนหู้ปู้เซ่อหลางเพื่อสังเกตการณ์ทั้งวันทั้งคืน ก็ยังไม่มีข่าวคราว หลายวันต่อมา กู้อ้าวเวยกลับคิดแผนยุแยงตะแคงรั่วบางอย่างขึ้นมาได้ แต่กลับไม่อธิบายชัดเจน จนกระทั่งหน่วงเหนี่ยวมาจนถึงวันงานเลี้ยงพระราชสมภพของไทเฮา ก็ยังไม่มีกระบวนการใดๆ เลยสักนิด
ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนรถม้าของตำหนักอ๋องเพียงลำพัง
ท่ามกลางรถม้าว่างเปล่า คนขับรถก็ขับรถออกไป คล้ายกับไม่มีคนอยู่บนรถ
ห่อเสื้อคลุมบนไหล่เอาไว้แน่น กู้อ้าวเวยทำเพียงมองพระอาทิตย์ตกดินนอกหน้าต่าง มองดูรูปแบบสีสันต่างๆ บนท้องถนน ความเงียบสงบของเทียนเหยียนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางเลยสักนิด
พอเข้าสู่วังหลวง เสียงจอแจข้างหูก็มลายไป แทนที่ด้วยเหล่านางในติดตามจำนวนนับไม่ถ้วน
“เนื่องด้วยมีธุระสักพักให้หลังอ๋องจิ้งจึงจะมาถึง พระชายาจิ้งต้องการตรงไปพักผ่อนที่ห้องโถงหลักกับบรรดาพระญาติสตรี หรือว่าให้ข้าทาสนำทางท่านไปเดินชมรอบบริเวณดี” ขันทีเพียงคนเดียวเอ่ยเสียงเล็กบีบลำคอ
“ตรงไปพักผ่อนดีกว่า” กู้อ้าวเวยหาวอย่างเกียจคร้านหนึ่งที ระยะเวลาตั้งยาวนานขนาดนี้ กลับไม่รู้ว่าแต่ละวันนอนหลับไปกี่ชั่วยามกันเชียว เมื่อคืนก็นอนหลับอยู่บนโต๊ะหนังสือทั้งคืน วันนี้ยังรู้สึกเจ็บหลังเอวเคล็ดอยู่เลย
ขันทีตอบอย่างเบิกบานหนึ่งที และพานางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางวังหลวงแห่งนี้
วังหลวงแห่งนี้รอบบริเวณล้วนเต็มไปด้วยอิฐแดงกระเบื้องสีเหลือง หากไม่ใช่ป้ายยังสถานที่ต่างๆ แตกต่างกัน เกรงว่าเหล่าขันทีนางในที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลานานก็ยังแยกแยะทิศเหนือใต้ออกตกไม่ชัดเจนกระมัง นางอ้อมจนหน้ามืดตาลายแล้ว
ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องโถงหลักซึ่งดูงดงามโอ่อ่า บรรดาพระญาติสตรีกลุ่มหนึ่งต่างพักผ่อนอยู่ในสวนดอกไม้ละแวกนั้น แต่ละนางล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างหรูหราประทินโฉมเข้ม บนศีรษะปักปิ่นเครื่องประดับจำนวนไม่ถ้วน จู่ๆ กู้อ้าวเวยก็รู้สึกว่าเครื่องสำอางที่ฉีหรัวแต่งให้ตนนั้น เครื่องประดับที่คัดสรรมาก็ไม่เลวเลย สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้อันที่หนักเกินไป ไม่อย่างนั้นวันนี้คอของนางคงยิ่งเคล็ดเข้าไปใหญ่
เสาะหาสถานที่หย่อนกายอันเงียบเชียบที่หนึ่งได้แล้ว เบื้องหน้ามีพิณอยู่สองสามตัว แต่น่าเสียหน้าที่ยามเยาว์วัยนางเคยร่ำเรียนมาแค่การเขียนพู่พันแบบตานชิงเท่านั้น และบวกกับระบำบางส่วน ส่วนพิณและหมากกระดานอื่นๆ นี้นางไม่ชำนิชำนาณเลยจริงๆ จึงทำได้เพียงดีดไปสองที ได้ยินว่าเสียงนี้มันทุ้มต่ำไม่ใสแจ๋ว ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ จึงดีดเล่นไปเรื่อยเปื่อยเสียหน่อย
แต่กลับดึงดูดเสียงหัวเราะเป็นระยะเข้ามาได้
“คิดไม่ถึงว่าพระชายาจิ้งไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความโปรดปราน ก็แม้แต่พิณโบราณยังเล่นไม่เป็นเชียวหรือ”
“เจ้าก็เบาเสียงหน่อยประไร พระชายาจิ้งไม่ได้รับความโปรดปรานนั่นไม่ใช่เรื่องที่คนเขารู้กันทั่ว ข้าเพียงแต่แปลกใจ สาวงามที่ยโสโอหังซ้ำยังชอบเป็นที่สนใจของธารกำนัลแบบนี้ จะนั่งอยู่ในตำแหน่งพระชายาจิ้งนี้ได้อยู่หรือไม่”
คุณหนูไม่กี่นางต่างหัวร่อต่อกระซิก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหญิงวัยกลางคนปะปนอยู่ด้วย
กู้อ้าวเวยยังคงดีดพิณโบราณในมือเล่นต่อไป ไม่เปล่งเสียงสักแอะ
คุณหนูทุกตระกูลที่ยามปกติมักจะติดกู้จี้เหยาแจ ยิ่งหัวเราะอย่างเปิดเผยเข้าไปใหญ่ “ยังไม่รู้ว่าพระชายาจิ้งคนนี้ทำลูกตัวเองแท้งได้อย่างไรกันนะ”
สายพิณขาด
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “ในเมื่อเจ้าให้เกียรติเรียกข้าว่าพระชายาจิ้ง เช่นนั้นข้าทำโทษโบยเจ้าสามสิบไม้ เจ้าก็รับไหวกระมัง”