บทที่266 ตายด้วยกัน
วิหารเฟิ่งหมิงกลับไปมีบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ที่มักโดนตีนอนคาพื้นจนกระทั่งลุกไม่ได้นั้นเป็นฉีหลินตลอด
และเขาชี้ไปที่กู้อ้าวเวยอย่างหอบหืด:กําลังกายของเจ้าดีขนาดนั้นเลยเหรอ!”
“ปกติข้างานวุ่นวายงานยุ่งขนาด ยังไงกำลังกายก็ต้องดีกว่าเจ้าสิ”กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนบันไดแล้วดื่มน้ำลงท้องทีละแก้วค่อยสบายขึ้นหน่อย
จากนั้นนางมองตามไปดาบยาวที่อยู่ในมือของฉีหลิน แล้วเอามาเปรียบเทียบกับมีดตัวน้อยที่อยู่ในกำมือ:“ของที่ข้าถืออยู่เบากว่าของเจ้าอีก”
ฉีหลินโมโหอย่างยิ่ง ยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนซ่านเชียนหยวนกอดท้องเยาะเย้ยไปซะแล้ว
ส่วนกุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างกระดิกคิ้วเบาๆ วรยุทธตัวเบาของเขาดีที่สุด เวลาที่มีการโจมตี เขาคนเดียวก็สามารถทำให้ฉีหลินและกู้อ้าวเวยมึนงงไปหมด
ยิ่งอย่าได้พูดถึงเรื่องของซ่านเชียนหยวนที่ไม่กลัวว่าเรื่องจะใหญ่โต ตอนลงมือปฏิบัตินั้นร้ายแรงกว่ากุ่ยเม่ยอีกด้วยซ้ำ
บนตัวของกู้อ้าวเวยนั้นเป็นแต่รอยฟกช้ำไปทั่ว ยังไงซ่านจินจื๋อก็ไม่มาอยู่แล้ว หลายๆคนก็เสียมารยาทไม่เกรงใจไปหมด
“เวลาก็ไม่เช้าแล้ว หรืองั้นพวกเจ้าก็ไปจับพุทราและปายเสากลับมาก็ถือว่าจบกัน ”กุ่ยเม่ยมองไปดูท้องฟ้า แล้วค่อยๆลากตัวกู้อ้าวเวยขึ้นจากพื้น
กู้อ้าวเวยทำตามองบน และรอบนี้ตาฉีหลินหัวเราะขึ้นมา:“พุทราชอบข้าขนาด!”
ทั้งสองต่างจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง วิ่งไล่ตามแมวสองตัวนั้นในลานอย่างสนุกสนาน กุ่ยเม่ยตามอยู่ทุกที่เกรงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร
ฉวยโอกาสที่ทั้งสองจะจับแมวใช้กลอุบายเล็กน้อย ซ่านเชียนหยวนดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นโย่วหลีเดินมา
ก็ทำหน้าขรึมแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อน
“ท่านขอรับ คุณหญิงอยากจะให้ท่านกลับไป
อีกอย่าง เบาะแสขององค์ชายหกนั้นถูกเก็บซ่อนไว้อย่างลึกลับ ทาสไม่ได้รับรู้ใดๆทั้งสิ้น”เสียงของโย่วหลีเบาทำให้ได้ยินกันแค่สองคน
พอพูดถึงองค์ชายหก ซ่านเชียนหยวนอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาไปตรงกู้อ้าวเวยที่กำลังวิ่งไล่ตามกุ่ยเม่ย แล้วทำหน้าเบ้ลง:
“เรื่องของซ่านจวนฮ่าวปล่อยไป อีกเรื่องนะ กลับไปบอกให้ลี่วานและเสด็จแม่ ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วงกังวลแม้แต่นิด ข้าสบายดี”
“ขอรับ”โย่วหลีพยักหน้าแล้วรีบจากไป
เสียงหัวเราะในวิหารเฟิ่งหมิงดังจนพระอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก ฉีหลินโดนปายเสาข่วนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ส่วนข้อมือเสื้อของกุ่ยเม่ยก็โดนกู้อ้าวเวยข่วนจนพัง จนกระทั่งหยกแขวนของซ่านเชียนหยวนยังหักแตกกัน ยังดีที่นายมือไว
อย่างน้อยก็ได้ช่วยชีวิตหยกแขวนไว้
ชิงต้ายเตรียมกับข้าวให้หลายคนอย่างเคยชิน
กู้อ้าวเวยยังคงกินหมดก่อน นางเช็ดมุมปากแล้วมองหน้ากุ่ยเม่ย:“หลายวันนี้พัฒนาดีขึ้นไม่น้อยนะ พรุ่งนี้ข้านอกจาก晨功แล้ว
เวลาที่เหลือก็พักผ่อนซะหน่อยนะ”
“อืม”กุ่ยเม่ยพยักหน้า แล้ว หยิบขนมเค้กจานน้อยที่อยู่ข้างให้นางอย่างเคยชิน
“อีกเรื่องนะ?”ซ่านเชียนหยวนและฉีหลินถามนางพร้อมกัน
“อืม ท่านพ่อให้ข้าไปตามหาบุคคลที่มีความสามารถพิเศษพวกหนึ่ง อีกทั้งยังให้รายชื่อข้ามาไม่น้อย
อย่างน้อยข้าก็ต้องไปดูทีละคน”กู้อ้าวเวยพายมืออย่างชิวสบาย และหยิบสมุดเล่มเล็กออกจากกระเป๋า一一มองไปแล้วพึมพำคนเดียว:
“ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ ท่านพ่อต้องด่าว่าข้าอย่างแน่นอน”
พระสงฆ์และชิงต้ายไม่รู้อะไรมึนงงไปหมด เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าควรทำอย่างลึกลับเหรอ?
ฉีหลินพยักหน้าอย่างเดียว รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี แต่ซ่านเชียนหยวนกลับยังคงรู้ดีกับสิ่งอัศจรรย์ที่อยู่ในข้างใน
ถ้าจะใช้คนไปตีสนิทกับบุคคลมีความสามารถพิเศษนั้น ก็ต้องใช้เพียงสกิลปากหรือเส้นสายนั่นเอง
แต่ยังไม่เคยเห็นให้ผู้หญิงไปตีสนิทเองมาก่อน
ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟัง นั่นก็คือใช้ความสวยไปยุยั่ว ถ้าจะพูดให้น่าฟัง นั้นก็เรียกว่าไม่ตระหนี่ภรรยาแสนอ่อนโยนของตัวเองแม้แต่นิด
ยิ่งไปนั้น ฐานะของกู้อ้าวเวยในตอนนี้คือพระชายาจิ้ง จะไปรู้อะไรได้ไง
“หรือไม่ก็ เรื่องนี้ให้ข้าทำเลยก็ได้”ซ่านเชียนหยวนหยิบสมุดเล่มเล็กนั้นมาทีเดียว
กู้อ้าวเวยโดนแย่งสมุดเล่มเล็กจนตะลึงแล้วหยิบกลับมาอย่างไม่กระวนกระวาย:“จะไปมีองค์ชายที่ไหนมาเรี่ยไรเงินด้วยตัวเองแล้ว
อีกทั้งท่านไม่กลัวลี่วานกับเสียนเฟย รู้ถึงเรื่องนี้แล้วปล่อยไฟพังทลายร้านยาเหย้า ของข้าเหรอ!”
ก็พูดถูกเนาะ ซ่านเชียนหยวนขยี้ๆจมูก คิดแผนการดีๆอะไรออกไม่ได้
“ที่นี่ไม่ขาดผู้หญิงที่เคยรู้จักพูดคุยกับเมิ่งซู่มาก่อน ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นแต่คนนอก ไม่รู้จักหน้าข้า
ข้าก็แค่ปลอมตัวเป็นทาสหญิงของเมิ่งซู่ตามเข้าไป ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรอีกแล้ว”กู้อ้าวเวยยิ้มๆแล้วเก็บของเข้าไป
กำชับให้ชิงต้ายไปหาหยินเชี่ยว แล้วซื้อกับข้าวดีกลับไปที่บ้านตระกูลเมิ่ง คืนนี้ไม่ต้องรีบกลับมา ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอันไม่คาดคิด
ชิงต้ายกล้าหาญอย่างยิ่ง หยินเชี่ยวเคยไปหลายรอบตอนกลางคืนแล้ว จะได้แวะช่วยงานกู้อ้าวเวยด้วย
“คุณเป็นพระชายา”กุ่ยเม่ยเอ่ยปากพูดกะทันหัน:“หากให้ท่านอ๋องรู้…….”
“ตามคำพูดของท่านพ่อ ไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้”กู้อ้าวเวยถอนหายใจ แล้วเอาเค้กยัดเข้าปากของกุ่ยเม่ยทีเดียว:
“ถ้าเจ้าตั้งใจเวลาที่เจ้าซ่อมพวกข้าหน่อยก็ดีแล้ว”
กุ่ยเม่ยสำลักอาหารไปสักครู่ แล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็นความไม่พอใจในสายตานาง หันมากินกับข้าวและขนมเค้กให้หมด
จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างไร้แสงเงาให้เห็น ฉีหลินทำเสียงจึ๊แล้วมองไปทางซ่านเชียนหยวน:“ถ้าเป็นแบบนี้
พรุ่งนี้เจ้าไปฝึกซ่อมกับข้าบนภูเขาได้?”
“ข้าเป็นถึงองค์ชายสี่เลยนะ”ซ่านเชียนหยวนกรอกตาให้เขา
“เชี้ย ไหนบอกเป็นพี่น้องที่ดี” ฉีหลินจ้องเขากลับเช่นเดียว:“ข้าไปเรียนรู้วิธีจัดการท่านพ่อมา จะได้มีเมียได้ง่าย”
พูดย้ำคำว่ามีเมียเป็นพิเศษ น้ำเสียงปะปนด้วยความโอ้อวดอยู่ข้างใน ทำให้ซ่านเชียนหยวนโกรธจนคับใจ
แต่อย่างไงนายก็ถือว่าสนิทสนมกับฉีหลิน เลยตอบตกลง
จัดการเรื่องเสร็จ อย่างไงกู้อ้าวเวยก็ต้องสังเกตวิจัยพิษร้ายของโหวเซ่อ แล้วค่อยดับเทียนลง
นั่งลงบนเตียง เสียงประตู ปัง ถูกผลักออก ทำให้นางตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างนั้นก็หยิบมีดตัวน้อยที่อยู่ใต้หมอนแนบไว้ที่ข้างเอว
แล้วเอามีดอีกเล่มไว้ในกำมือ
ดึกขนาดนี้แล้ว
กุ่ยเม่ยและซ่านเชียนหยวนพักอยู่ในห้องทั้งสองข้าง ทั้งสองคนนั้นมีวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างชำนาญการ
แต่คนนี้กลับเปิดประตูห้องตัวเองออกอย่างเสียงดัง มีความน่าจะเป็นอยู่สองแบบ หนึ่งคือเป็นการกลั่นแกล้งของใครคนหนึ่ง
ส่วนอีกแบบนั่นคือคนนี้ต้องมีวิชาป้องกันตัวอย่างชำนาญ จัดการไปอย่างเงียบไร้เบาะแสใดๆ
นางไม่ออกเสียงอะไร ส่วนประตูนั้นก็มีลมเย็นพัดเข้ามาอย่างเงียบเหงา
รู้สึกปลายนิ้วเย็นๆ แต่กู้อ้าวเวยก็ยังคงไม่เอ่ยปากพูด ทำแค่เดินมาหน้าประตู สวนในบ้านนั่นเงียบเหงาไปทั่ว ห้องทั้งสองข้างนั้นก็เงียบเช่นเดียว
นางยังไม่ทันก้าวออกแม้แต่ก้าวเดียว เสียงทำลายความสลบดังขึ้น
มีมีดสามเล่มแนบชิดอยู่ข้างหน้านางแล้วแทงเข้าไปในกำแพง นางหลบไปอย่างพยายาม แต่ก็โดนตัดชิ้นผ้าขาดไปสักนิด
“ไอ่เชี้ย”ด่าเบาๆคำนึง นางหันหลังมือปิดประตูทั้งสองด้าน ปัง
“พ๊าก พ๊าก”เสียงหน้าต่างข้างหลังถูกดผิดออก และมีเงามืดดำมุดเข้ามา
กู้อ้าวเวยผลักออกอย่างพยายาม โดนเงามืดดำนั้นตามไปจนถึงข้างเตียง จนทำให้ข้างหลังไร้พื้นที่ถอยได้
นางกัดฟันแล้วยกมือไปกั้นบางอยู่ข้างหน้า โดยไม่เห็นหน้าตาคนข้างหน้าที่ถือมืดไว้
เสียง คว้าง ดังขึ้น เหมือนว่าเงามืดดำนั้นจะสตั๊น มีดในมือนางไล่ลงตรงไปที่คอนางทีเดียว
ยังไม่ทันถึงที่คอ ท่าทางคนๆนั้นหยุดลงทันที
เห็นแต่มีดในมือกู้อ้าวเวยค้นดอกไม้ที่ไร้ประโยชน์ออกมา ส่วนมืออีกข้างนั้นกลับเล็งตรงไปที่คอฝ่ายตรงข้าม
ในเอวนั้นเหลือเพียงปลอกมีดอันเดียว สีหน้าเย็นชายิ่ง แต่ก็ยังคงปะปนด้วยรอยยิ้ม:“ตายด้วยกัน?”