บทที่ 278 ครึ่งหลังชีวิต
กู้อ้าวเวยตื่นมาเพราะมีคนเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้น้ำฝนตกใส่หน้าเธอ
หน้าต่างถูกทะลุเข้า กุ่ยเม่ยคุกเข่าลงที่ข้างเตียง และกลิ่นเลือดที่กระจายออกมานั้นแสดงว่า ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่นอน
ฟ้ายังไม่สว่าง กู้อ้าวเวยพยายามจะลุกขึ้น แต่กุ่ยเม่ยจับไหล่ของเธอเบาๆไม่ให้เธอลุก พูดว่า “อย่าพึ่งขยับตัว คนที่มาไม่ใช่คนดี”
นอกหน้าต่าง คนที่ใส่ชุดสีขาวยืนต่างฝนอยู่ข้างนอก ดาบยาวในมือยังมีเลือดติดอยู่ คนนั้นไม่ขยับสักนิด จ้องมองกู้อ้าวเวยด้วยสายตาอย่างน่ากลัว แต่ไม่มีความหมายที่จะฆ่าเธอแสดงออกมา
กู้อ้าวเวยขยับไม่ได้เลยแม้แต่นิ้วมือ เธอตกใจมาก ใครเหรอที่สามารถใส่ยาพิษกับเธอได้
กำลังคิดอยู่ว่าจะหายาแก้ได้ไง คนที่ยืนอยู่ข้างนอกหายตัวไปทันที กุ่ยเม่ยไม่ได้ตามเขาไป มองดูหน้าต่างที่ถูกทำร้ายแล้ว สีหน้ามืดมน จึงอุ้มกู้อ้าวเวยที่ตัวร่างกายอ่อนแอไม่มีแรง
“ตรงนี้นอนไม่ได้แล้ว” กุ่ยเม่ยพูดเบาๆ หยิบเอาร่มกางไว้ที่ไหล่ และอุ้มกู้อ้าวเวยไปที่พักของคุณยาย
คุณยายกับโจวซื่อหลับสบาย การต่อสู้เมื่อกี้ไม่มีผลกระทบต่อพวกเธอสักนิด
กุ่ยเม่ยเอายาออกมาและป้อนให้เธอกิน กู้อ้าวเวยจึงมีแรงลุกขึ้นมา มองกุ่ยเม่ยและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“คนมาเมื่อกี้ อยากลักพาตัวคุณไป การเคลื่อนไหวดูเป็นของยุทธภพ น่าจะเป็นคนของสำนักเหลี่ยนอี๋” กุ่ยเม่ยพูดด้วยเสียงต่ำ
ตอนแรกคิดว่าจะฟังเขาพูดต่ออีก แต่เห็นกุ่ยเม่ยเตือนเธอด้วยสายตา มีการกระทำบอกว่าให้เธออย่าออกเสียง และอุ้มเธอออกไปโดยไม่มีคำอธิบายอะไรเลย ในกลางคืนนี้ ทั้งฝนตกและลมพัดอย่างแรง เขาอุ้มเธอมาจนถึงวัดร้างแห่งหนึ่งที่อยู่หากไกลจากที่บ้านประมาณสิบกิโลเมตร
วัดร้างนี้ ไม่มีใครอยู่ กุ่ยเม่ยวางกู้อ้าวเวยลง และทำแผลที่ไหล่ให้ตัวเองอย่างคล่องตัว
ที่กุ่ยเม่ยพาเธอมาที่นี่ มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องเธอได้ทันเมื่อเกิดอันตรายขึ้นมา และอีกอย่าง ไม่อยากมีผลกระทบต่อชาวหมู่บ้านฉางผิง
“สำนักเหลี่ยนอี๋คืออะไร” กู้อ้าวเวยมองไปทางกองไฟที่พึ่งจุดไฟขึ้น อย่างน้อยอบอุ่นขึ้นเยอะ
“สำนักเหลี่ยนอี๋กับโหวเซ่อคล้ายๆกัน แต่จุดที่แตกต่างกัน คือ พวกเขาไม่มีปัญหากับการเมือง ไม่ฆ่าขุนนาง ไม่ฆ่าคนในราชวงค์ และที่สำคัญคือ ไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าเท่านั้น ยังช่วยพวกขุนนางแอบขนของเพื่อหนีภาษีและช่วยจัดการผู้ที่หาเรื่องด้วย” กุ่ยเม่ยพูดอย่างเบาๆ และพร้อมทำไฟไหม้แรงขึ้น เพราะเสื้อผ้าทั้งสองคนเปียกหมดแล้ว
กู้อ้าวเวยยิ่งรู้สึกแปลกใจ ถามว่า “ฉันก็เป็นคนในราชวงศ์เหมือนกัน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับยุทธภพด้วยซ้ำ”
กุ่ยเม่ยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แค่ตอบว่า “เขาไม่อยากจะฆ่าท่านนะ แค่อยากแอบลักพาตัวท่านไป กังฟูไม่ถือว่าเก่งมาก แต่เขามีการเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ”
“แน่นอนดิ คุณรู้ไหมว่า คุณโดนอะไรมาจึงมีบาดแผลแบบนี้” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างเย็นชาและถามเขา
“น่าจะเป็นอาวุธลับมั้ง” กุ่ยเม่ยเกาหัวตัวเอง เขาไม่ได้สนใจจริงๆ เมื่อรู้จักก็เห็นมีบาดเจ็บแล้ว
กู้อ้าวเวยช่วยเขาเอาใบมีดใบเล็กที่มีเลือดติดในบาดเจ็บออกมา เป็นใบมีดใบเล็กที่มีเส้นไหมรัดต่อกันไว้ กุ่ยเม่ยไม่กลัวเจ็บหรอก แต่กู้อ้าวเวยทำอย่างระมัดระวัง และเอาใบมีดออกมาได้อย่างเรียบร้อย
กุ่ยเม่ยแปลกใจ ใบมีดแบบนี้โยนออกมาได้ไง
“เขาต้องใช้เส้นไหมรัดอาวุธลับไว้ สำหรับคนที่เก่งด้านกังฟูอย่างคุณ ต้องหนีพ้นได้ แต่หนีไม่ไกลเท่าไหร่ ถ้ามีตัวนี้ ย่อมทำร้ายคุณได้แน่นอน เส้นไหมนี้คมมาก จึงสามารถบาดผิวหนังของคุณได้” กู้อ้าวเวยหน้ามืดมนลง และโยนใบมีดเข้าไปที่กองไฟ พูดต่อว่า “ยังใส่ยาพิษด้วย”
กุ่ยเม่ยกลืนน้ำลาย สงสัยว่าใครจะมีความคิดโหดร้ายขนาดนี้
โชคดีที่กู้อ้าวเวยไม่ได้เอาของพวกนี้ออกเมื่อนอนหลับ เธอป้อนอาหารให้เขากิน และพูดว่า “ยาพิษนี้ไม่ร้ายแรงเลย แปลกจริงๆ”
“ว่าไงครับ” กุ่ยเม่ยถอดเสื้อและนั่งอยู่ข้างๆกองไฟ
“พวกเขาสามารถวางยาพิษกับฉันอย่างเงียบๆ ไม่ให้เรารู้ตัวแม้แต่นิดเดียว แต่ยาพิษที่วางกับคุณเป็นยาชาเฉยๆ ถ้าคุณไม่ได้อยู่กับซ่านจินจื๋อมาก่อน และยังใส่ผ้าคลุมหน้าสีดำคลุมหน้าไว้เสมอ ฉันยิ่งสงสัยว่า พวกเขาจะมาฆ่าคุณด้วยซ้ำ” กู้อ้าวเวยรู้สึกหนาว และยื่นมือไปที่ใกล้ๆกองไฟ
ตกลง คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้ว
ไม่รู้ว่า คนที่ใส่ชุดขาวนั้นมาจากไหน และยิ่งไม่รู้ว่า วัตถุประสงค์ของเขาคืออะไร
กุ่ยเม่ยรู้สึกอึดอัดมาก กู้อ้าวเวยตบมือและพูดว่า “ไม่ได้ค่ะ เราต้องรีบกลับไป”
“คนที่ใส่ชุดขาวนั้นอาจจะยังไม่จากไปก็เป็นไปได้” กุ่ยเม่ยส่ายหัว
“ถ้าไม่ซ่อมแซมหน้าต่างให้ดี เดี๋ยวแม่ของคุณกับคุณยายเห็นแล้วต้องเป็นห่วงแน่นอน” กู้อ้าวเวยจับเขาและรีบเดินกลับไป แม้ว่ากุ่ยเม่ยพูดอะไร กู้อ้าวเวยก็ไม่ฟังสักคำ พูดแต่ว่า คุณยายกับฮูหยินสำคัญที่สุดในตอนนี้
กุ่ยเม่ยไม่รู้จะทำยังไง จึงมีแต่ตามเธอไป สองคนตากฝนและซ่อมหน้าต่างให้เรียบร้อย อย่างน้อยดูดีขึ้นเยอะ
อยู่หมู่บ้านฉางผิงตั้งสองวัน
คืนสุดท้าย คุณยายชีวิตดับสิ้นไปในวัยชรา ข้างๆยังมีขนมที่กินเหลือวางไว้
หลังจากสี่ชั่วโมง ฟ้าพึ่งสว่างขึ้น กุ่ยเม่ยเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียงไม่ไปไหนเลย โจวซื่อพูดคำเดียว และเสียไปแล้ว
กุ่ยเม่ยฝังศพที่ภูเขาที่อยู่ข้างๆหมู่บ้าน กู้อ้าวเวยแกะสลักให้แก่โจวซื่อกับคุณยาย
ตั้งแต่แรกจนจึงปัจจุบันนี้ กุ่ยเม่ยไม่ได้ร้องไห้เลย
คำนับจบแล้ว กุ่ยเม่ยเดินไปข้างๆกู้อ้าวเวยอย่างช้า พูดว่า “พระชายาครับ ผมจะไปเมืองเยว่ซานพร้อมท่านครับ”
กู้อ้าวเวยเห็นกุ่ยเม่ยใส่ชุดสีดำเหมือนเดิม ไม่ได้ไว้ทุกข์ด้วย
“คุณอิสระแล้ว ไม่ต้องตามฉันไปหรอก” กู้อ้าวเวยมองหน้าเขาและพูดว่า “จะเปลี่ยนชื่อก็ได้ หรือจะไปเที่ยวก็ได้ คุณไม่ต้องตามฉันอีกแล้ว”
พูดจบ กู้อ้าวเวยเดินตามถนนภูเขาไปยังใต้ภูเขาอย่างช้าๆ ที่มุมเสื้อผ้ามีโคลนเต็มไปหมด ไม่ได้ยินเสียงที่คนเดินตามมาข้างหลัง เธอจึงโล่งใจขึ้น
คนเรา ต้องอยู่เพื่อตัวเองในชาตินี้
แต่นาทีต่อไป เธอรู้สึกตัวเองถูกอุ้มขึ้น พอนึกออกก็อยู่ในอ้อมแขนของกุ่ยเม่ยแล้ว หัวติดกับหน้าออกของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะของกุ่ยเม่ยจากบนหัว เขาพูดว่า “คุณต้องรับผิดชอบนะ ไหนรับปากไว้ว่าจะดูแลอาจารย์ของคุณไม่ใช่เหรอ”
กู้อ้าวเวยตาโตขึ้นด้วยความตกใจ มองเขาและพูดว่า “คุณแกล้งฉัน”
“ใช่ครับ” กุ่ยเม่ยไม่เถียง
ตอนแรกคิดว่าจะพูดเล่นกับเขาอีก แต่สังเกตเห็นว่าในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ญาติของเขาจากเขาไปหมดแล้ว
ก็เลยไม่ได้พูดเล่นกับเขาต่อ กู้อ้าวเวยมองดูหมู่บ้านฉางผิงที่อยู่ใต้ภูเขา หัวเราะและพูดว่า “คุณยายยังได้อยู่เกินอีกวันนะ”
“ครับ” กุ่ยเม่ยพยักหน้า และเดินช้าลง อุ่มคนที่อยู่ในอ้อมกอดและเดินไปยังใต้ภูเขา
สองคนเงียบไม่พูดอะไร ขณะนี้ ได้ยินแต่เสียงลมพัดผ่านใบไม้และเสียงหยดน้ำ
กู้อ้าวเวยยังมองไปทางหมู่บ้านอยู่เหมือนเดิม ทำตัวไม่รู้ว่า มีน้ำตาหยดลงบนไหล่ของเธอ จนถึงทางเข้าหมู่บ้าน เธอเหมือนนึกออกอะไรสักอย่าง และพูดว่า “เดี๋ยวกลับไปแล้ว ฉันจะปล่อยให้ชิงต้ายไปเปิดครอบครัวใหม่”
“ครับ ผมจะดูแลคุณแทนเธอในอนาคต” กุ่ยเม่ยพยักหน้า
“งั้นครึ่งหลังชีวิตนี้ ต้องรบกวนคุณแล้วนะ” กู้อ้าวเวยหัวเราะและพูดว่า “นี่คุณก็ไม่โง่นะ”