บทที่ 290 แสร้งปล่อยเพื่อจับ
“ตอนแรกเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” กู้อ้าวเวยหันไปสอบถาม
“กู้เฉิงเสี้ยงตอนนั้นเพื่อที่จะขีดเส้นชัดเจนกับองค์ชายรอง จึงได้มอบผ้าขาวหนึ่งผืนสุราพิษหนึ่งจอกแก่หยุนหว่านฮูหยิน”(ยื่นข้อเสนอให้ฆ่าตัวตายเอง) ซ่านจินจื๋อโอบเอวบางของกู้อ้าวเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไม่เคยเชื่อถือพ่อของเจ้า เขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใครๆ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
แต่กู้อ้าวเวยยังสงสัยไม่คลายว่ามีขึ้นสนิมเล่มนั้นสื่อถึงอะไรบ้าง
แต่นางก็ไม่อาจเชื่อถือคำพูดซ่านจินจื๋ออย่างง่ายดาย เรื่องราวของหยุนหว่านคนพูดไปต่างๆนาๆ มีผียายเฒ่าตำหนักเจิ้นหุนแห่งเขาหยินซาน แล้วยังมีคนเชื่อมความสัมพันธ์เส้นสายอันดี เพียงสิ่งเดียวที่นางเชื่อถือกลับมีเพียงชิงต้ายที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาของตนเอง
เห็นกู้อ้าวเวยเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ซ่านจินจื๋อโอบเอวของนางไว้เบาๆ “เจ้าไม่มีความอาลัยต่อหยุนหว่านฮูหยินบ้างเลยหรือ?”
ข้ากระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตานางเป็นอย่างไร ท่านใคร่จะทำสิ่งใดก็ไปทำเสียเถิด ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวข้า ข้าไม่อยากฟัง” กู้อ้าวเวยได้สติคืนมาในทันที สลัดหลุดจากอ้อมกอดของเขา หดตัวกลับเข้าไปในมุมรถม้าอีกครั้งเพื่องีบหลับพักผ่อน
สายตาของซ่านจินจื๋อกวาดมองบนร่างของกู้อ้าวเวยอย่างถี่ถ้วน แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
ซูพ่านเอ๋อร์เคยตักเตือนเขากู้อ้าวเวยเป็นผู้ที่ไม่สามารถลืมความเคียดแค้น แต่จากที่อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานขนาดนี้ ซ่านจินจื๋อคิดว่าเรื่องของพ่อแม่นางนั้นเพียงพอที่จะกระตุ้นยั่วยุนาง นางดูเหมือนลึกๆมีความกระเทือนใจแต่กลับไม่แสดงออกให้เห็น
บางทีเป็นเขาที่ระวังเกินไปแล้ว
พลันดึงร่างคนกลับเข้าอ้อมกอดอีกครั้ง “หากข้าไม่บอกเจ้า เจ้าคงเคืองข้าเพราะเรื่องโลงศพของฮูหยินหยุนหว่านถูกปล้นชิง”
“ท่านพูดความลับภายในครอบครัวข้า ข้าจะยิ่งเคืองท่าน” กู้อ้าวเวยสะบัดตัวแต่กลับดิ้นไม่หลุด จึงเปลี่ยนเป็นอยู่นิ่งๆ “ท่านอ๋องข้าคิดว่าพวกเราสมควรอยู่ให้ห่างกันไว้ ข้าแค่อยากจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องการถูกท่านหยั่งเชิงครั้งแล้วครั้งเล่า และก็ไม่อยากแทรกกลางระหว่างท่านกับซูพ่านเอ๋อร์ด้วย”
ขณะที่กล่าว กู้อ้าวเวยค่อยๆปิดตาลง ผ่อนคลายเอนกายในอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อ “เป้าหมายของท่านได้บรรลุแล้ว ข้าไม่อาจยุ่งเรื่องของจวนเฉิงเสี้ยงได้อีกต่อไปและไม่ต้องการสืบหาเรื่องของท่านแม่ด้วย ข้าก็แค่อยากอยู่โลกภายนอกอย่างอิสระ เป็นหมอจรช่วยผู้คน”
“เจ้ามักจะรู้อยู่เสมอว่าเมื่อใดที่ข้าทดสอบเจ้า” ซ่านจินจื๋อกระชับร่างนางแน่นขึ้น “นี่เป็นครั้งสุดท้าย”
แต่ข้าไม่มีความอดทนอีกต่อไป”กู้อ้าวเวยถอนหายใจยาวนาน “ข้าเพียงตัวคนเดียว ข้าไม่ต้องการระมัดระวังทุกย่างก้าวในทุกๆวัน ในอนาคตข้าจะกลับไปอยู่ที่โรงยา มีกุ่ยเม่ยกับชิงต้ายอยู่เป็นเพื่อน บั้นปลายชีวิตของข้าก็เพียงพอแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องการห่างเหินก็ได้ทั้งนั้น ถือเสียว่าข้าเป็นสถานที่หาความสำราญ….”
ถ้อยวาจาที่เหลือล้วนถูกบุรุษยับยั้งไว้ด้วยความแข็งกร้าว
ดวงตาของกู้อ้าวเวยเบิกกว้างเล็กน้อย ในตาดุจผืนน้ำนิ่งรับจุมพิตของซ่านจินจื๋อ
รอจนทั้งคู่ผละตัวออกจากกัน ซ่านจินจื๋อจึงประคองไหล่นางไว้อย่างแผ่วเบา กล่าวกับเฉิงซานว่า “นำโลงศพของหยุนหว่านฮูหยินกลับ นำไปฝังคืนที่ภูเขาหยินซาน”
“แต่แผนการของท่าน….”
เฉิงซานไม่ได้กล่าวต่อ เพียงได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆลอดจากในรถม้า เขาก็ทราบถึงคำตอบของซ่านจินจื่อ เพียงถ่ายทอดคำสั่งต่อ
ซ่านจินจื๋อนำร่างคนที่ร้องสะอื้นเข้าอ้อมกอด ตบแผ่นหลังของนางอย่างนุ่มนวล “ไม่มีครั้งสุดท้าย หยุนหว่านฮูหยินจะกลับไปยังที่ๆนางควรกลับ”
ป้ายนิ้วของกู้อ้าวเวยที่ป้ายธูปสมุนไพรยึดเสื้อบริเวณหัวไหล่ของเขาไว้จนแน่น คล้ายกับลูกแมวที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา น้ำตาเหล่านั้นทิ้งร่องรอยเปียกชุ่มสีเข้มไว้บนเสื้อของซ่านจินจื๋อ
นางไม่เคยร้องไห้เสียน้ำตาเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นางถึงได้หยุดเสียงสะอื้นเล็กๆนั่นลง นำใบแก้มของตนมุดเข้าหาแผ่นอกกว้างของซ่านจินจื๋อ กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “ข้าใคร่อยากไปเทียนซาน ข้าอยากไปกราบไหว้ท่านปู่”
“ข้าจะส่งคนไปกับเจ้า” น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อเจือความอับจนใจไว้สายหนึ่ง
“ข้ายังอยากไปเก็บสมุนไพร”
“ย่อมได้”
“ข้าไม่อยากฟังท่านพูดเรื่องของจวนเฉิงเสี้ยงแล้ว ท่านอยากทำอย่างไรก็ทำเลย”
“อืม”
……
ซ่านจินจื๋อคล้ายเต็มใจตอบตกลงความเรียกของกู้อ้าวเวยข้อแล้วข้อเล่าไม่ขาดสาย และเฉิงซานไม่เคยพบเห็นท่านอ๋องตั้งอกตั้งใจกับสตรีคนไหนๆเช่นนี้มาก่อน กระทั่งซูพ่านเอ๋อร์ก็ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้
เขายิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอารมณ์ขุ่นมัวและนิสัยที่ไม่แน่ไม่นอนของท่านอ๋องกับพระชายามาบรรจบกันได้อย่างไร
แต่เรื่องราวยังห่างไกลจากคำว่าสงบราบรื่น แม้องครักษ์ลับของซ่านจินจื๋อได้รวมตัวกัน แต่กลับยังไม่สามารถคว้าได้แม้แต่เส้นขนของคนชุดขาว กลับกลายเป็นว่าจับคนได้สองกลุ่มที่ทำเพื่อเงิน พวกมันนำโลงศพที่เหมือนกันแยกไปสองทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“คุมตัวกลับเทียนเหยียนสอบปากคำ” ซ่านจินจื๋อใบหน้าทะมึน
กู้อ้าวเวยชำเลืองมอง ในดวงตาคือความผิดหวังสุดระงับ ขอบตายังแดงระเรื่อกลับไม่ต่างจากซูพ่านเอ๋อร์ที่แง่งอน เมื่อคืนท่าทีกลับสู่ความสงบนิ่งเพียงแค่กลับไปนั่งรถม้าอีกครั้งพลันกล่าวเสียงค่อย “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้”
“ส่งคนไปค้นหาต่อ” ซ่านจินจื๋อกล่าวจบก็กลับขึ้นรถม้า
กู้อ้าวเวยห่อตนเองอย่างมิดชิด เอนกายอยู่ในรถม้าบนพรมขนสัตว์อันอ่อนนุ่ม “ข้าตากลมหนาว ก่อนหน้านี้ได้แก้พิษให้หู้ปู้เซ่อหลางกลับกลายเป็นว่าตัวเองติดมาด้วย เกรงว่าต้องพักผ่อนสิบกว่าวันหรือไม่ก็สักครึ่งเดือน ข้าถือโอกาสนี้กลับเทียนซาน”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ กู้อ้าวเวยจึงสำทับอีกประโยค “ท่านรับปากข้าไว้แล้ว”
“เฉิงซาน” ซ่านจินจื๋อในที่สุดก็เอ่ยปาก ในน้ำเสียงยังเจือด้วยรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปจัดการในทันที” เฉิงซานผงกศีรษะ มอบหมายให้คนอื่นมาบังคับรถม้า
กู้อ้าวเวยลูบกายตนเองขณะอยู่ในผ้าห่ม ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ด้านข้างเพียงจ้องมองนางอย่างเงียบๆ
ถูกซ่านจินจื๋อส่งกลับเข้าห้องอีกครั้ง คล้ายกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เพียงแค่ซ่านจินจื๋อคลุกอยู่กับนางที่วิหารเฟิ่งหมิงเป็นเวลาสองวันติดต่อกันด้วยเหตุผลโรคเรื้อรังรุมเร้า
ถูกซ่านจินจื๋ออุ้มโยนลงกับพื้น กู้อ้าวเวยโยนมีดสั้นในมือแล้วกลิ้งม้วนตัวบนที่นอน
“ข้าอีกสักครู่จะไปเยี่ยมหยินเชี่ยว โรงเตี๊ยมของนางระยะนี้กิจการดูแล้วไม่เลวทีเดียว สมควรไปเจรจาเรื่องงานแต่งของนางกับฉีหลินอย่างเป็นทางการ”กู้อ้าวเวยนอนตะแคงแล้วบ่นพึมพำกับตนเอง
ซ่านจินจื๋อนั่งบนม้านั่งหินด้วยลมหายใจสงบนิ่ง จิบน้ำชาร้อนพลางกล่าวต่อ “ได้”
“กลับมาตอนค่ำท่านยังอยู่หรือไม่?”กู้อ้าวเวยเอ่ยถามเสียงแผ่ว นอนเท้าคางจ้องมองเขา
ซ่านจินจื๋อเดินขึ้นไปเบื้องหน้าฉุดนางขึ้นจากพื้นเย็นยะเยือก “อยู่”
“ข้าจู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนสามีภรรยาอะไรแบบนั้น” กู้อ้าวเวยขนลุกชูชันทั่วร่าง ก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะหน้าเปลี่ยนสี นางได้ถอยออกจากข้างกายเขาอย่างปราดเปรียว “แต่ว่า ท่านก็ปฏิบัติกับข้าเหมือนเมื่อก่อนเถอะ ยิ่งกว่าการขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของท่าน ข้าชอบกระทำในสิ่งที่ข้าอยากจะทำมากกว่า”
กล่าวจบ นางได้เดินนวยนาดออกไปจากวิหารเฟิ่งหมิง ทิ้งลิ่วจนไม่เห็นเงาร่าง
กู้อ้าวเวยเปรียบเสมือนสายลมที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของซ่านจินจื๋อ มาก็ไว ไปก็ไว
เช้าวันถัดมา กู้อ้าวเวยผละตัวจากอ้อมกอดซ่านจินจื๋อตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างก่อนที่นางจะลุกออกมาได้ประทับจุมพิตลงที่ใบแก้มเขา “รอข้ากลับมา จำไว้ว่าต้องพาข้าไปเก็บสมุนไพรด้วย