บทที่ 294 คิดร้าย
“เวยเอ๋อ ตอนนี้ท่านอ๋องไปชายแดนแล้ว คุณต้องบริหารตำหนักอ๋องที่ใหญ่โตด้วยตัวเอง คุณกลับไปทำธุระของตัวเองเถอะ เรื่องพวกนี้ ให้พ่อจัดการเองแล้วกัน” กู้เฉิงหน้ามืดมน แต่เมื่อมองดูกู้อ้าวเวย สีหน้าของเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ยาก
แสดงอย่างตั้งอกตั้งใจเหลือเกิน
กู้อ้าวเวยคิดอยู่ในใจ ถ้าผู้ใส่ชุดขาวไม่ได้พูดว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถือเอาโจรเป็นพ่อของตัว เธออาจจะเข้าใจการกระทำของกู้เฉิง คิดว่าเขาแค่ไม่ชอบคุณแม่ของเธอ จึงไปหาผู้หญิงคนอื่น
แต่ตอนนี้ เห็นสภาพการกระทำของกู้ฮูหยินกับกู้เฉิงแล้ว เธอยิ่งสงสัยอยู่ในใจ
“ถ้างั้น เวยเอ๋อกลับตำหนักอ๋องก่อนแล้วค่ะ” กู้อ้าวเวยพยักหน้า และจากไป
ถึงตำหนักอ๋อง กุ่ยเม่ยที่ไม่ได้อยู่ทั้งเมื่อคืนนั้น ตอนนี้กลับมาและยืนอยู่ข้างเธอ สั่งคนรับใช้คนอื่นออกไปหมด จึงพูดว่า “คนที่เขียน เป็นพวกหญิงสาว ประมาณเจ็ดแปดคน ทุกคนใส่ชุดสีดำและผ้าคลุมหน้าสีดำ เขียนด้วยเลือดไก่”
แสดงว่าที่เธอให้กุ่ยเม่ยไปเฝ้าอยู่ที่จวนเฉิงเสี่ยงนี้ ถูกต้องแล้ว
“คุณติดตามพวกเธอทันไหม”
“หญิงสาวคนหนึ่งรู้ตัวว่าผมตามไป เมื่อผมแอบตามไป พวกเธอหายตัวที่ลานบ้านที่ไม่มีใครพัก ผมเข้าไปค้นหาตั้งนาน แต่ก็ไม่เจอทางออกอะไรซ่อนไว้ ตอนแรกคิดว่าจะบอกท่านหลังจากท่านตื่นมา”กุ่ยเม่ยยิ่งพูด เสียงยิ่งเบาลง
กู้อ้าวเวยคิ้วขมวด ผู้ที่คอยปกป้องที่ซ่านจินจื๋อเอาไว้ปกป้องเธอ น่าจะอยู่รอบข้าง เธอจึงไม่พูดอะไรอีก
ในตำหนักอ๋อง ซูพ่านเอ๋อใส่ชุดสีแดง แตกต่างกับปกติที่ชอบใส่ชุดสีอ่อน มองหน้ากู้อ้าวเวยและถามว่า “ทำไมกลับมาเร็วจัง”
“กลับมาจัดการเรื่องราวของตำหนักอ๋องสิ ถ้าคุณจะออกไปเจอผู้ชาย ระวังคนที่ท่านอ๋อสั่งมาปกป้องคุณเห็นไปนะ” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างเย็นชา ทำให้ซูพ่านเอ๋อโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ว่าแต่ กู้อ้าวเวยไม่ได้เจอหมอเมี่ยวหารนานแล้ว
เมี่ยวหารดูเหมือนยิ่งพูดน้อยกว่าตอนแรกอีก รวมทั้งจิ่นซิ่วก็ดูเหมือนกลัวซูพ่านเอ๋อมาก
“ช่วงนี้ มักจะมีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองเทียนเหยียน ให้คนรับใช้ตามคุณไปด้วยแล้วกัน และกลับมาก่อนค่ำนะ” กู้อ้าวเวยพูดจบ กวักมือกับชิงต้าย พากุ่ยเม่ยกับชิงต้ายไปจากห้องโถง
ซูพ่านเอ๋อกัดฟัน แต่ก็เดินออกไปข้างนอกด้วยความกล้าหาญ
เดินไปสักพัก เมี่ยวหารห้ามพวกคนที่ตามมาคอยปกป้องกับคนรับใช้พวกนั้นรออยู่ที่ประตูเมืองก่อนออกเมือง
ซูพ่านเอ๋อเดินมาถึงร้านน้ำชาที่อยู่ข้างถนนนอกเมืองเทียนเหยียน ขึ้นไปชั้นสอง จูเย่นกำลังรินน้ำชาไว้สองแก้ว
“คุณมาแล้วเหรอ” จูเย่นไม่ได้มองเธอต่อ กลับมองไปดูที่แก้วน้ำขา
“ไม่ได้เจอกันนาน ทำไมอยู่ดีๆ คุณหายตัวไป และไม่ติดต่อกับฉันเลย ฉันเป็นห่วงมาก” ซูพ่านเอ๋อพูดด้วยเสียงอ่อนโยน นั่งลงและตั้งใจเข้าใกล้กับจูเย่นมาก พูดต่อว่า “เมื่อก่อนได้ยินว่าคุณกับกู้อ้าวเวยดีกันมาก ฉันยิ่งกังวลมาก”
“กังวลอะไรครับ” จูเย่นถือแก้วน้ำชา และมองหน้าซูพ่านเอ๋อ พูดว่า “ตอนนี้ ร่างกายพ่อของผมได้รับตรวจรักษาอย่างดี ใกล้จะหายดีลแล้ว ผมก็ต้องเขื่อใจเธอสิ”
“งั้นคุณไม่เชื่อฉันแล้วเหรอ” ซูพ่านเอ๋อใช้นิ้วสัมผัสคางของจูเย่น และจูบมุมปากของเขาอย่างเบา พูดว่า “คุณก็รู้ว่าฉันยังชอบคุณอยู่ ฉันให้เมี่ยวหารศึกษายาแก้เพื่อคุณมานานขนาดนี้ ทำไมคุณไม่ยอมเขื่อใจฉันละ”
จูเย่นไม่ขยับสักนิด มีแต่มองดู ซูพ่านเอ๋อนั่งลงบนขาของตัวเอง
“พี่เย่น คุณเคยพูดว่าจะปกป้องฉันตลอดชีวิต ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันสามารถช่วยคุณจัดการเรื่องโหลเซ่อที่เกิดขึ้นตอนนี้ให้ได้นะ สาบานว่าคุณกับน้องสาวของคุณไม่มีความเสียหายแน่นอนค่ะ” ในดวงตาซูพ่านเอ๋อเต็มไปด้วยน้ำตา ถอดเสื้อผ้าออกครึ่งตัว
“ถ้าอ๋องจิ้งรู้จัก จะฆ่าผมตายแน่ๆ” จูเย่นสีหน้าไม่ค่อยดี และผลักเธอออกไป เขาเองลุกขึ้นอย่างไม่ธรรมชาติ ในใจยิ่งตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูกด้วย
แววตาเปลี่ยนไป ซูพ่านเอ๋อใส่เสื้อผ้าและนั่งอยู่นิ่งๆ คิดว่าจะเล่ารือกันต่อ ฉากกั้นแบบจีนที่อยู่ด้านข้างถูกทะลุและล้มลงบนพื้น ซูพ่านเอ๋อตกใจมาก เห็นมีดยาวใบหนึ่งวางอยู่ที่คอของเธอ
“คุณทำอะไร” จูเย่นตบโต๊ะและลุกขึ้น
“คุณพี่ หนูกลัวคุณพี่จะหลงรักผู้หญิงใจร้ายคนนี้อีก เธอแค่อยากให้เราเข้าข้างเธอ และไปต่อต้านกับกู้อ้าวเวยนั่นเอง เท่าที่หนูดูแล้ว ผู้หญิงสองคนนี้ ไม่ใช่คนดีทั้งนั้น”
จูเย่นหน้ามืดมากด้วยความโกรธ “วางมีดลงเดี๋ยวนี้”
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน หนูค่อยวาง” จูเซไม่ยอมเหมือนกัน เงยหน้าขึ้นและมองหน้าเขาอย่างแข็งแกร่ง
ซูพ่านเอ๋อมองดูจูเซด้วยความกลัว สำหรับน้องสาวของจูเย่นคนนี้ที่เป็นคนใจร้อน ตัวเองไม่กล้ามีเรื่องกับเธอจริงๆ มองไปหาจูเย่นอย่างน่าสงสาร นำตาไหลลง “พี่เย่น…”
“เขาคือพี่ชายของฉัน” จูเซยิ่งโมโหมากเมื่อเห็นเธอทำคัวแบบนี้ พูดว่า “แต่ก่อน คุณก็ทำแบบนี้เหมือนกัน จึงทำให้พี่ชายหลงรักคุณ เดี๋ยวนี้ คุณยังจะทำซ้ำอีกเหรอคะ”
“จูเซ”
“คุณพี่” จูเซโมโหจนหน้าแดง และจ้องมองจูเย่น
พี่น้องสองคน ใครก็ไม่ยอมใคร สักพัก จูเย่นหลับตาด้วยความปวดหัว พูดว่า “ซูพ่านเอ๋อ ตอนนี้ พวกเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องราวของพวกคุณแล้วครับ”
“งั้นพวกคุณทำไมไปขโมยโลงศพของหยุนหว่านฮูหยินคะ ไม่ใช่เพื่อคุมกู้อ้าวเวย…”
“เรื่องนั้น พวกเราไม่ใช่คนทำครับ” จูเย่นดึงจูเซกลับมาที่ข้างๆตัวเองเมื่อเธอกำลังงุนงงอยู่ เห็นซูพ่านเอ๋อยังงงอยู่ จึงพูดต่อว่า “ผมไม่ได้มีปัญหากับกู้อ้าวเวย วันหลังจะไม่ช่วยคุณแล้วนะครับ”
“แต่คุณเคยรับปากว่าจะปกป้องฉันตลอดชีวิตไงคะ” ซูพ่านเอ๋อร้องไห้และเดินเข้ามา
ครั้งนี้ ที่ห้ามเธอเข้ามาใหล้เป็นมีดยาวของจูเย่นเอง
“ตอนแรก คุณก็เคยรับปากว่า จะอยู่ข้างๆผมตลอดไป” จูเย่นยิ้มอย่างไร้ทางเลือก แววตาสะท้อนความอันตรายออกมา มองหน้าของซูพ่านเอ๋อที่ร้องไห้แล้วทำให้หน้าลายหมด พูดว่า “แล้วอีกอย่าง คุณกับผมสองคนยังติดหนี้น้ำใจของหลิงเอ๋อร์ด้วย เธอรักไทเฮาและองค์ชายสี่ที่สุด ในอนาคต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่มีทางต่อต้านพวกเขาหรอกครับ”
จูเซโล่งใจ และลากจูเย่นจากไป
พี่น้องสองคนไม่มี่ที่อยู่เป็นประจำในยุทธภพ เพราะเรื่องโหวเซ่อกับความแค้นของตระกูลหยุน ตอนนั้น เพราะจูเย่นต้องแบกรับหน้าที่ ไม่สามารถอยู่กับซูพ่านเอ๋ออย่างมีความสุขได้ มีแต่แอบชอบและปกป้องเธออย่างเดียว ทำอะไรไม่ได้ ทั้งๆที่เห็นซูพ่านเอ๋อเลือกอยู่กับซ่านจินจื๋อ
ก่อนจากไป จูเซมองหน้าซูพ่านเอ๋อ และพูดว่า “คุณเหยียบย่ำความจริงใจของคนอื่นไปแล้ว ในอนาคตอย่าฝันว่าจะได้รับความจริงใจจากใครอีก แม้ว่ากู้อ้าวเวยเป็นผู้หญิงใจร้าย แต่ก็ยังดีกว่าคุณด้วยซ้ำ”
พูดจบ จูเย่นรีบเอามือปีดปากเธอและจับลากเธอจากไป
ลมพัดจากหน้าต่างเข้ามา สัมผัสผิวกายของซูพ่านเอ๋อ เธอกำกำปั้นอย่างแน่น
ทำไมคนอย่างกู้อ้าวเวย มีทุกอย่างตั้งแต่เกิดมา ในขณะนี้ รวมทั้งจูเย่นก็ถูกเธอชิงไปด้วย ทำไมต้องเป็นแบบนี้