บทที่ 352 โหวกเหวก
“ข้ายังคงเป็นพระชายาจิ้ง ตำหนักอ๋องอันกว้างขวางแห่งนี้ล้วนเป็นของข้า ก็แค่เรือนของหมอยาในยุทธภพขี้ปะติ๋วคนหนึ่ง ข้าถึงกับเข้าไปไม่ได้เชียวหรือ” ในเวลานี้กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะเย็นชา และตบกุ่ยเม่ยเบาๆ
กุ่ยเม่ยวางนางนั่งลงบนราวเฉลียงข้างเสาหลักด้านข้างอย่างรู้งาน
กู้อ้าวเวยเหยียดแผ่นหลังตรงเอนพิงบนเสาหลักนี้ครึ่งหนึ่ง มองไปทางซ่านจินจื๋อด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนกระตุกมุมปากอย่างได้ใจ “เข้ามาในตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้แล้ว กลับมาถากถางอุปนิสัยจู้จี้ของข้าแบบนี้ กลัวว่าท่านอ๋องคงลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้ผู้อื่นพูดถึงข้าอย่างไรบ้างกระมัง”
ซ่านจินจื๋อปั้นหน้านิ่ง กลับยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กู้อ้าวเวยพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่ายังคงพิพักพิพ่วนกับเขาอยู่
วินาทีต่อมา กู้อ้าวเวยจึงยกมือขึ้นเบาๆ “เรือนนี้ช่างดีนัก ตัวยาสมุนไพรล้วนพิถีพิถัน แต่ทักษะการแพทย์ของเมี่ยวหารกับท่านหมอหลายคนในจี้ซื่อถางยังไม่ทิ้งห่างนัก ไม่สู้เอามาให้ข้าใช้ประโยชน์ดีกว่า”
“เจ้า!” ในใจซูพ่านเอ๋อหุนหัน เมี่ยวหารลอบขยิบตาให้ซูพ่านเอ๋อเบาจากทางด้านหลัง คราวนี้จึงทำให้ซูพ่านเอ๋อหยุดฝีเท้าลง
ซ่านจินจื๋อกลับมองเห็นสายตาที่เมี่ยวหารมองซูพ่านเอ๋ออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในใจยิ่งเพิ่มความสงสัยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเมี่ยวหารกับซูพ่านเอ๋อเข้าไปอีก
“แม่นางซูมีปูมหลังมาจากถิ่นอนารยะ อย่างไรก็ไม่รู้จักกฎเกณฑ์สินะ” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปากยิ้มบางๆ พลางยื่นใบสั่งยาในมือของตนส่งให้ในมือของกุ่ยเม่ย และกล่าวต่อ “เจ้าควรเรียกข้าอย่างให้เกียรติว่าพระชายาจิ้ง ตอนนี้เสียมารยาทแล้ว ควรจะให้รางวัลเจ้าเป็นไม้กระดานหน่อยหรือไม่”
สีหน้าของซูพ่านเอ๋อซีดเผือด ทำเพียงเบ้ปากมองไปทางซ่านจินจื๋อ กระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ ในดวงตารื้นน้ำตาขึ้นมา “ท่านพี่จื๋อ…ท่านดูนางสิ…”
คราวนี้ซ่านจินจื๋อถึงได้กระแอมไอเบาๆ สายตาโปรยตกมามองที่ร่างของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยยิ้มเบาๆ เมื่อสายตาสองคู่สบประสาน ซ่านจินจื๋อจึงขมวดหัวคิ้วขึ้นมา สุดท้ายก็โอบซูพ่านเอ๋อไปไว้ด้านหลังกายด้วยจิตใต้สำนึก “เจ้า ทำเกินไปแล้ว”
ในใจกู้อ้าวเวยเจ็บแปลบ แต่กลับรู้สึกว่ายังพอทนได้ กุ่ยเม่ยคว้าตัวยาสมุนไพรอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกมา เห็นซ่านจินจื๋อมองกู้อ้าวเวยด้วยสายตาเย็นชาเช่นนี้ เขาก็มีสายตาเย็นเยียบด้วยเช่นกัน
ค่อยๆ กระตุกแขนเสื้อของกุ่ยเม่ย มืออีกข้างของกู้อ้าวเวยประคองเสาหลักเอาไว้พลางลุกขึ้นยืน “ข้าทำเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ถึงขนาดอวดดีหยิ่งทะนงถือดีว่าเป็นที่โปรดปรานในตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้ ไม่สู้ ท่านอ๋องสังหารข้าในดาบเดียวเสีย แทงทะลุมาที่ขั้วหัวใจด้วยดาบเดียว พอตายไป ก็จะไม่ทำเกินไปแล้ว”
กุ่ยเม่ยรีบร้อนไปพยุงกู้อ้าวเวยเอาไว้ ทว่าซ่านจินจื๋อกลับร่างกายหดเกร็ง ตาขาวก็พลอยขึ้นเป็นเส้นเลือดปูดโปนไปด้วย
“นี่เจ้าจงใจทำให้ข้าโกรธหรือ?” ซ่านจินจื๋อก้าวเข้ามาเบื้องหน้าหนึ่งก้าว เดินมายังข้างกายของกู้อ้าวเวย กระชากนางเข้ามาด้วยความโกรธ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าคมมีดที่เสียบอยู่ช่วงเอวของกู้อ้าวเวยถูกชักออกจากฝังตั้งนานแล้ว และพาดลงบนลำคออย่างมั่นคง
สีหน้าของซ่านจินจื๋อนิ่งขรึม ทำเพียงรีบคลายมือลง
“มือลื่นเสียแล้ว” กู้อ้าวเวยกลับยิ้ม ถือโอกาสตะครุบหัวไหล่ของกุ่ยเม่ยเพื่อยืนให้มั่น มีดเล็กในมือร่วงลงบนพื้นจนเกิดเสียงก้องใสแจ๋ว นางก็ถือโอกาสปีนขึ้นบนหลังของกุ่ยเม่ย ก่อนแย้มยิ้มเบาๆ ให้กับซ่านจินจื๋อ “พักนี้สติอารมณ์ข้ารวนไปหน่อย กลัวว่าตอนแรกคุกเข่านานไปจนเกิดมารผจญ ท่านอ๋องอย่าถือสา”
กล่าวจบ กุ่ยเม่ยก็แบกนางพลางหิ้วตัวยาสมุนไพรรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสียงโหวกเหวกขนาดนี้ อารมณ์ของซ่านจินจื๋อก็ยิ่งขาดดุล แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นกลับเป็นความกังวลใจเกี่ยวกับร่างกายของกู้อ้าวเวย
ตอนนี้บีบนางจนต้องชักมีดออกมา กลัวว่าคงจะขุ่นข้องหมองใจจริงๆ เสียแล้ว
หลังกลับมาจากการทะเลาะโหวกเหวก กู้อ้าวเวยทิ้งตัวลงข้างแท่นเตียงพลางบ่นพึมพำว่าเจ็บขา กุ่ยเม่ยเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงไปเรียกสาวใช้จากด้านนอกเข้ามาเปลี่ยนยาให้กู้อ้าวเวยอีกครั้ง ส่วนตนก็พันขาให้นางด้วยตัวเอง คราวนี้จึงเอ่ยอย่างจนปัญญา “ท่านไปส่งเสียงดังโหวกเหวกแบบนี้ เพื่ออะไรอีก”
“ก็ต้องทำให้พวกเขาไม่มีความสุขอยู่แล้วสิ” กู้อ้าวเวยเจ็บเสียจนหายใจหอบ ทว่ากลับยังคงเอ่ยต่อไป “อีกอย่างซูพ่านเอ๋อโกรธขนาดนั้น อันที่จริงแค่ไม่อยากให้ข้าไปค้นพบว่าในเรือนของเมี่ยวหารมีพิษที่นางต้องมาก่อนหน้านี้ แต่หากมองในมุมของซ่านจินจื๋อ นั่นเป็นการพูดแทนเมี่ยวหารเชียวนะ เจ้าคิดว่าในใจซ่านจินจื๋อจะไม่แยแสหรือ?”
คราวนี้กุ่ยเม่ยจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง สองครั้งก่อนหน้านี้ซูพ่านเอ๋อล้วนให้เมี่ยวหารทำพิษ โดยโยนบาปมาให้กู้อ้าวเวย ส่วนเมี่ยวหารไม่เคยไปจับจ่ายตัวยาสมุนไพรจากด้านนอกเลย ด้านในจะต้องยังซุกซ่อนสิ่งของต่างๆ เอาไว้ไม่น้อยทีเดียว พวกเขาทำเรื่องเลวทราม ไม่แปลกใจที่ซูพ่านเอ๋อจะกลัวพิรุธสำแดง
“อีกอย่าง ข้าก็ชักมีดออกมาแล้วด้วย เขาเองไม่ได้โทษข้า กลัวว่าก่อนหน้านี้คงรู้สึกละอายแก่ใจต่อข้าอยู่บ้างกระมัง” ดวงตาของกู้อ้าวเวยค่อยๆ ทอแสงเล็กน้อย ก่อนมองทางเขา “พรุ่งนี้เข้าไปพาเหล่าแม่นางจากทิงเฟิงโหลเข้ามา บอกว่าข้าต้องการให้พวกนางมาช่วยปลดเปลื้องความอึดอัดใจ และให้หลิ่วเอ๋อซื้อฟ้าทลายโจรมาให้ข้าด้วยหนึ่งห่อ”
“ท่านอ๋องจะให้ท่านพาเข้ามาหรือ” กุ่ยเม่ยรู้สึกเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้ “เมื่อก่อนเขาไม่ยอมให้ท่านทำเลยสักนิด”
“แล้วตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหนเลย หากเขาไม่ยอมให้คนเข้ามา เจ้าก็บอกไปว่าข้าอัดอั้นตันใจจนจะชักตายแล้ว ไม่ฟังบทขับร้องก็ต้องหาบทละครเสียบ้าง ข้าจำต้องทำให้ตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้ปลุกปั่นอลหม่านสิถึงจะถูก” กู้อ้าวเวยกวักปลายนิ้วให้เขา เห็นว่าชิงจือตื่นขึ้นมา จึงอุ้มเขามาโคลงเคลงเบาๆ “ถึงตอนนั้นยังต้องให้เหล่าแม่นางจากทิงเฟิงโหลได้ชื่นชมสมาชิกตัวน้อยคนนี้ของข้าอยู่นี่นา”
ทำเอากุ่ยเม่ยไม่เข้าใจ แต่ก็คงไปทำตามอยู่ดี
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย ตอนนี้กู้อ้าวเวยเอ่ยคำร้องขออะไรก็ตาม ขอเพียงไม่ใช่เรื่องของตระกูลหยุน ซ่านจินจื๋อก็ล้วนไม่แยแสทั้งหมดเลยจริงๆ ทำเพียงแต่พัวพันกับซูพานเอ๋อกู้จี้เหยาสองคนนี้อย่างเต็มเหนี่ยวเท่านั้น
แม่นางหลายคนในทิงเฟิงโหลนั่งรถม้าเข้ามาอย่างสนุกครึกครื้น กอดพิณหิ้วกล่องอาหารกรูเข้าไปด้านใน กุ่ยเม่ยเป็นคนอนุญาตให้พวกนางเข้ามาแบบครื้นเครง แม่นางหลายคนเดินไปพลางร้องไปพลางอย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ส่งเสียงโหวกเหวกเสียจนตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้ไม่เป็นอันสงบสุข
เข้าสู่วิหารเฟิ่งหมิง แม่นางกลุ่มหนึ่งกอดปายเสาพุทราไม่คลายมือ หลิ่วเอ๋อกับจื่อเหมิงจึงประชิดเข้ามาชื่นชมชิงจือ ทั้งบัญชาให้คนอีกกลุ่มไปนำติ่มซำที่ตนโปรดปรานเข้ามา มอบให้ยังเบื้องหน้าของกู้อ้าวเวยด้วย
“พระชายาเรียกพวกเราเข้ามาวันนี้ กลัวว่ายังมีเรื่องอื่นอีกกระมัง” หลิ่วเอ๋อให้จื่อเหมิงผู้ซึ่งมีความรักของแม่ล้นหลามไปอุ้มชิงจือเสียดื้อๆ ส่วนตนกลับตามกู้อ้าวเวยเข้ามาที่ด้านใน เหลือบมองรถเข็นที่อยู่ด้านล่างของนางแวบหนึ่ง
“มีเรื่องอื่นอยากให้พวกเจ้าช่วยเหลือจริงๆ นั่นแหละ” กู้อ้าวเวยพยักหน้าเบาๆ ดึงตั๋วเงินหลายใบจากตู้ด้านข้างมา หยิบกล่องไม้หนึ่งอันออกมาด้วย และยื่นมันใส่ในมือของนางพร้อมกัน “ของเหล่านี้เป็นค่าตอบแทนหลังจากที่ธุระสำเร็จแล้ว”
“ธุระอันใด” หลิ่วเอ๋อเปิดกล่องไม้นั่นออก เห็นเพียงแต่ด้านในมีขวดยาวางเรียงเต็มไปหมด
“ภายในหนึ่งปี กุ่ยเม่ยจะพาชิงจือไปต่างแคว้นแดนไกล ส่วนเรื่องที่ข้าจะไหว้วานให้เจ้าไปทำ ก็คือปกป้องรักษาพวกเขาทั้งสองที่ทิงเฟิงโหล พำนักอยู่ในเมืองเทียนเหยียนแต่ไม่อาจบอกให้ผู้ใดรับรู้ได้” สายตาของกู้อ้าวเวยล่องลอย พลางเคาะที่เท้าแขนข้างมือเบาๆ “ส่วนยาในขวดยาเหล่านี้ ล้วนประเมินราคาไม่ได้ หากข้างกายของพวกเจ้ามีคนในยุทธภพอยู่ ย่อมใช้มันได้ตลอด”
หลิ่วเอ๋อเลิกเรียวคิ้ว “พระชายานี่ท่านกำลังสั่งการเรื่องในอนาคต?”
“ประมาณนั้นแหละ” กู้อ้าวเวยเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนหันไปมองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง “พวกเจ้ามาสักหลายเที่ยว จะเป็นการดีหากนำพาช่วงอับโชคให้ประเดประดังสู่ตำหนักอ๋องจิ้งแห่งนี้”
“ได้ เรื่องนี้ข้าตกปากรับคำแล้ว เพียงแต่พระชายามีอุบายขนาดนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่” หลิ่วเอ๋อไม่เข้าใจ
กู้อ้าวเวยทำเพียงยิ้มบาง “แบ่งสรรเรื่องราวออกเป็นส่วนๆ พวกเจ้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไรแล้วเชียวหรือ ในเมื่อพวกเจ้าเป็นถึงพวกทิงเฟิงโหล ก็คล้อยเสียงสายลมไปรับฟังว่าข้าคิดจะทำอะไรบ้างดีกว่ากระมัง”