บทที่ 342 เปิดฟ้าพลิกแผ่นดิน
เจ็ดวันให้หลัง รุ่งอรุณ
ประตูของภายใต้เมืองเปิดออก ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัง ขุนนางนับไม่ถ้วนรีบ
กู้อ้าวเวยกำลังถือเกี๊ยวอยู่ ถามหมอที่จี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) อยากรู้ว่านายท่านจะกลับมาเร็ววันนี้เมื่อไหร่
แต่เมื่อเขากินเกี๊ยวชิ้นน้อยๆ ในมือเสร็จ ซ่านจินจื๋อขี่ม้าสีดำมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของนาง ยื่นมือออกมาแล้วขมวดคิ้ว “ตระกูลหยุนเกิดเรื่องแล้ว ตามข้ากลับตำหนักไปซะ”
กู้อ้าวเวยอึ้งไปชั่วครู่ แต่ก็จับมือของเขาแล้วพลิกตัวขึ้นม้าไป
นานมากแล้วที่ไม่ใกล้ชิดกับซ่านจินจื๋อเช่นนี้ ในใจของกู้อ้าวเวยปรากฏความรู้สึกประหลาดขึ้นมาชนิดหนึ่ง ในที่สุดก็ถูกกลิ่นอับชื้นในคุกอันมืดมิดกดความรู้สึกนั้นลงมา คิดไม่ถึงว่าจะน่าพะอืดพะอมเล็กน้อย
ซ่านจินจื๋อก็นานมากแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับกู้อ้าวเวยเช่นนี้ ในใจปรากฏความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนขึ้นมา ทำให้เขาชะลอความเร็วลงโดยอัตโนมัติ พูดด้วยโทนเสียงต่ำว่า “เฉิงซานพาชิงจือกลับมาแล้ว”
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” กู้อ้าวเวยแอ่นร่างยืดขึ้นมา
“ตระกูลหยุนทรยศขายชาติ เมื่อเช้าพี่ใหญ่มีบัญชาให้จับพวกตระกูลหยุนเข้าคุกรอสอบปากคำ ข้าให้ชิงจือที่ไม่ดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลหยุนส่งคนไปรับ การเคลื่อนไหวของเฉิงซานเร็วมาก อีกสองสามวันก็คงถึงแล้ว” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างเร็วมาก และน่าเชื่อถือมากด้วยเช่นกัน
กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ตระกูลหยุนอยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนทรยศขายชาติไปได้เช่นไรกัน
เมื่อก่อนช่วงวันเวลาที่กลับถึงตระกูลหยุนเหล่านั้น นางรู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างในนั้นเป็นพวกชอบอิสรเสรี ท่านปู่ก็หวังว่าหลังจากรุ่นนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องถูกควบคุมและคุกคามจากพวกราชวงศ์ จะสามารถค่อยๆ เป็นอิสระ
ทำไมถึงมีเหตุผลที่ทรยศขายชาติได้กัน
ยิ่งคิดก็คิดไม่ออก ในใจของกู้อ้าวเวยก็ยิ่งกระวนกระวาย อยากจะรีบกลับไปตำหนักอ๋องโดยเร็วพลัน
ซ่านจินจื๋อพานางมาถึงห้องหนังสือ นำเรื่องราวที่ตระกูลหยุนทรยศขายชาติบอกนาง
เห็นว่ามีคนพบว่าตระกูลหยุนไปมาหาสู่กับแคว้นเจียงเยี่ยนอย่างลับๆ ล่อๆ ดังนั้นพวกขุนนางในพื้นที่จึงคอยจับตาดูเป็นพิเศษ แล้วพบว่าตระกูลหยุนเรียกหาคนในยุทธภพ หลายวันที่แล้วยิ่งพบว่าคนของแคว้นเจียงเยี่ยนไปมาหาสู่ตระกูลหยุนที่หลังเขา อีกทั้งยังกลับออกไปอย่างไม่เป็นอะไรเลย ก็เลยรู้สึกแปลกๆ โดยปกติแล้วตระกูลหยุนจะตรวจตราเข้มงวด หากคนที่ไม่รู้จักเข้าไปจริงๆ ออกมาไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บ
แต่ผู้นี้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ดังนั้นจึงส่งคนคอยจับตาดู ในที่สุดก็ยิงถูกนกพิราบสื่อสารของตระกูลหยุนได้ตัวหนึ่ง พบว่าที่ขาของนกมีป้องไผ่เล็กๆ ติดอยู่ พอเปิดดูพบว่าทั้งสองฝ่ายกำลังส่งข่าวให้กัน จับตาดูสองสามวัน จับได้จดหมายเจ็ดฉบับ บัดนี้หลักฐานครบถ้วน ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเช่นไรเมื่อคนของตระกูลหยุนถูกพากลับมาแล้ว
แค่ตระกูลหยุนก็มีปัญหาเช่นกัน ตระกูลหยุนมักจะปิดประตูไม่ออกมา ไม่พอแขก เป็นเช่นนี้ราวสามเดือนกว่าแล้ว
คนที่ฮ่องเต้ส่งไปเกรงว่าจะเข้าไปไม่ได้ ถึงเวลาอาจจำเป็นต้องถามวิธีการเข้าถ้ำจากกู้อ้าวเวย มิเช่นนั้นก็จะต้องจับนางเข้าไปในคุกด้วย
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว ซ่านจินจื๋อกลับเปิดปากพูด “ข้าได้บอกกับเสด็จพี่แล้ว เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยไปที่หลิ่งหนานตระกูลหยุน แต่ถูกคนของโหวเซ่อจับตัวไป ไม่ยอมปริปากพูดเรื่องนี้ ดังนั้นจึงปิดเรื่องที่ไปหลิ่งหนาน
“อีกทั้ง ตอนนั้นเจ้าใช้ชื่อเอ่อร์ชิงเมื่อตอนอยู่ที่หลิ่งหนาน ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเคยไปที่นั่นแล้วหรือยังแน่”
ฟังถึงจุดนี้ ในใจของกู้อ้าวเวยก็รู้สึกบอกไม่ถูก แต่พอหวนคิดไป ตอนนั้นที่ตนเองถูกโหวเซ่อจับไปนั้น ก็มีองค์ชายสี่เป็นพยานได้ ยังมีลูกน้องของทุ้งโจวไม่น้อยที่เป็นพยานได้ ราวกับว่าจะสมเหตุสมผล
“ตระกูลหยุนไม่ทรยศขายชาติแน่นอน” กู้อ้าวเวยมองไปทางซ่านจินจื๋ออย่างทันทีทันใด
“ข้าไม่มีวิธีการใดเลย เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรเลย” ซ่านจินจื๋อกลับขมวดคิ้วไม่คายกับเรื่องนี้ “อีกทั้งข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากัน หากข้าเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วย เสด็จพี่ก็คงหมดความเชื่อถือในตัวเจ้า”
กู้อ้าวเวยไม่รู้จะทำเช่นไร และก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ถึงจะเป็นผลดี
“อีกทั้ง เสด็จพี่ก็มีวิธีที่จะทำให้พวกเขาออกมาแน่ ข้าปกป้องชิงจือไว้ได้ ก็นับว่าใช้ความน่าเชื่อถือของข้าที่มีต่อเสด็จพี่ไปหมดแล้ว” ซ่านจินจื๋อพูดถึงตรงนี้ ก็มองไปทางกู้อ้าวเวยชั่วครู่ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนที่ตระกูลหยุนจะปิดถ้ำ ก่อนหน้านั้นชิงจือถูกป่ายเหลากุ่ยส่งไปให้พวกคนล่าสัตว์เลี้ยงดู”
กู้อ้าวเวยกลับสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไปจนไอออกมา
กุ่ยเม่ยรีบเอายาเม็ดยัดเข้าใส่ปากของนาง อีกทั้งยังเทน้ำให้นางกลืนลงไป ตบหลังนางเบาๆ
ซ่านจินจื๋อก็ขมวดคิ้วขึ้น “ร่างกายของเจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่เป็นไรมาก” กู้อ้าวเวยไออยู่ชั่วครู่แล้วจึงกลับมาเป็นปกติ เงยหน้าขึ้นมามองซ่านจินจื๋อ “เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่
“จะลับลมคมในอย่างไร ก็ต้องรอจนคนของตระกูลหยุนปรากฏตัวก่อนจึงพูดได้” ซ่านจินจื๋อมองนางอยู่ “ท่านปู่ของเจ้าเสียไปตั้งนานแล้ว ตระกูลหยุน ณ ตอนนี้เจ้าก็ไม่ค่อยชัดเจนแจ่มแจ้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งห้ามเอาชีวิตของเจ้ากับชิงจือไปเสี่ยงเพื่อพวกเขาเด็ดขาด”
คำพูดของซ่านจินจื๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ข้างในของตระกูลหยุนอาจจะเกิดปัญหาอะไรบางอย่างขึ้นจริงๆ ก็เป็นได้
ตอนนี้นอกจากรอแล้วก็ดุเหมือนว่าจะไม่มีวิธีอื่นเลย ข้างกายมีเพียงกุ่ยเม่ยคนเดียว กองกำลังอื่นก็กระจัดกระจายกันไป ที่พึ่งที่เดียวที่มีก็คงจะเป็นฉีหรัว แต่หากตอนนี้จู่ๆ ไปหาฉีหรัว ซ่านจินจื๋อจะต้องสงสัยตนเป็นแน่
ถึงนางจะระวังมากหน่อย แต่ก็ไม่สามารถให้กุ่ยเม่ยเอาชีวิตไปทิ้งด้วย อีกทั้งซ่านจินจื๋อยังมีชิงจืออยู่ในกำมืออีก
“หลายวันนี้ เจ้าก็ออกจากบ้านให้น้อยหน่อย ก็รออยู่ที่ตำหนักอ๋องนี่แหละ” ซ่านจินจื๋อเห็นนางขมวดคิ้วครุ่นคิดบางอย่าง จึงออกปากกำชับสั่งการ
กู้อ้าวเวยได้แต่รับรู้และพยักหน้า พอได้สติกลับมาก็มองซ่านจินจื๋ออย่างประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงดีกับข้าเช่นนี้”
“เพราะว่าข้าชอบเจ้า ดีกับเจ้า ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” อารมณ์ที่ซ่านจินจื๋อพูดประโยคนี้เหมือนกับท่าทางกำชับสั่งการคนในวันธรรมดาทั่วๆ ไป เป็นธรรมชาติเช่นนัก
สำลักไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยกลับคิดไม่ออกถึงคำพูดใดๆ ที่จะแย้งกลับ ได้แต่พยักหน้าอย่างเสียมิได้ “ขอบคุณมาก”
จะว่าไป นางก็เดินไปทางวิหารเฟิ่งหมิงกับกุ่ยเม่ยด้วยกัน
ซ่านจินจื๋อมองดูเงาด้านหลังของนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ นานา มากมาย
หากกู้อ้าวเวยรู้ความจริงของการทรยศขายชาติของตระกูลหยุนจะทำเช่นไร แต่เขาก็ชอบได้ฟังที่กู้อ้าวเวยพูดขอบคุณตน อีกทั้งยังจริงใจเช่นนั้นด้วย
ผ่านไปชั่วครู่ ซูพ่านเอ๋อค่อยเดินมาจากด้านนอก เห็นแววตาของซ่านจินจื๋อ แม้ว่าในใจจะไม่ค่อยสบายใจนัก แต่กลับดูมีความสุข “ข้าคิดว่าท่านพี่จื๋อชอบนางจริงๆ ซะอีก ที่แท้ท่านชอบที่สุดก็ยังคงเป็นข้า”
พูดอยู่ ซ่านจินจื๋อก็ค่อยๆ ลากผ้าคาดเอวของซูพ่านเอ๋อไว้แน่น “แน่นอน ร่างกายของเจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากยังนำวิธีการนั้นมาไม่ได้ เกรงว่าจะไม่ได้การแล้วล่ะ”
“อืม” ซูพ่านเอ๋อเอนอิงไปในอ้อมอกของซ่านจินจื๋ออย่างเนื้อตัวอ่อนยวบ ค่อยๆ สัมผัสใบหน้าของนาง “แค่คว่ำตระกูลหยุนลง ข้าก็จะได้รับใบสั่งยาที่แท้จริง กู้อ้าวเวยก็จะไม่น่าเชื่อถือแม้แต่นิด”
“แต่ท่านอย่าบอกความจริง นางจะทำร้ายคนได้” ในดวงตาของซ่านจินจื๋อราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่สาดมา
“ได้” ซูพ่านเอ๋อหัวเราะคิกคักแล้วเอาตัวเองมอบให้แก่ซ่านจินจื๋ออย่างยินยอมพร้อมใจ
สองสามวันให้หลัง เฉิงซานให้คนขี่ม้าเร็วกลับมา ยังพาเด็กผู้ชายขวบเศษกลับมาด้วยหนึ่งคน กู้อ้าวเวยรออยู่ที่หน้าประตูตำหนักสองชั่วยามแล้ว พอรับเด็กผู้ชายได้ก็พาไปที่วิหารเฟิ่งหมิงอย่างยินดี
ซ่านจินจื๋อที่ยืนอยู่บนระเบียงยาวมองดูประตูของวิหารเฟิ่งหมิงที่ถูกกุ่ยเม่ยปิดลง ก้มหน้าถอนหายใจ
หวังว่ากู้อ้าวเวยอย่าพบว่าเรื่องนี้ทุกสิ่งอย่างเกิดมาจากเขาดีที่สุด
เขายังไม่อยากสูญเสียกู้อ้าวเวยไป