บทที่ 360 กรงรักขังสัตว์ป่า
ฟากฟ้ามืดมนทั้งยวง อุดอู้อบอ้าว
กู้อ้าวเวยเหลือบมองแวบหนึ่งก็ปิดบานหน้าต่างจนสนิท ขาเรียวทั้งสองข้างล้วนปวดแปลบอย่างรุนแรง กุ่ยเม่ยกระทั่งลงเขาไปซื้อชุดเอนตัวมาให้นางสวม แต่สาเหตุการเจ็บป่วยในหน้าหนาวยังคงหลงเหลือ จนต้องเลยไปหารถเข็นมาให้นางนั่ง
แต่เดิมยังบ่นกะปอดกะแปดในใจ แต่กู้อ้าวเวยก็เจ็บสาหัส จึงทำเพียงนั่งอยู่บนรถเข็น บนขายังพอคลุมผ้าห่มได้ พอดีให้ชิงจือนั่งจ้อกแจ้กจอแจอยู่บนตักของนางได้
สวีเชินเข้ามาส่งอาหารเจให้ตั้งแต่เช้ามืด “ท่านอาจารย์บอกว่าอีกสักสองชั่วยามก็น่าจะมีฝนตกแล้ว ทุกครั้งตอนที่อารามไป๋หม่าของพวกเรามีฝนตกก็จะรับผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยเลย ท่านอาจารย์ตั้งใจให้ข้ามาบอกเสียหน่อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสียงดังรบกวนพระชายา”
“อารามไป๋หม่าก็รับผู้ลี้ภัยหรือ” ท่านป้าจางแปลกใจ
ผู้ที่มาอารามไป๋หม่าแห่งนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญขุนนางใหญ่ หากรับผู้ลี้ภัย ต้องมีคนไม่พอใจจำนวนมากสิถึงจะถูก
“รับอยู่แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่าอารามไป๋หม่าสามารถอยู่รอดได้ก็เพราะอิงจากหน้าตานี้ทั้งนั้น ผู้ลี้ภัยนี้ ก็คือหน้าตาของใต้เท้าทุกท่าน” สวีเชินกล่าวพลาง ซ้ำยังลูบหูเกาแก้มสักพัก คล้ายกับไม่รู้ถึงความหมายของท่านอาจารย์
ทว่ากู้อ้าวเวยกลับอุ้มชิงจือพลางยิ้มบางๆ
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ก็ช่างเก่งกาจจริงๆ อารามไป๋หม่าแห่งนี้หากว่ามีเพื่อสวดภาวนาเท่านั้นคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน แต่ขอเพียงรับผู้ลี้ภัยเสียหน่อย เช่นนั้นคำประเมินที่โลกมีต่ออารามไป๋หม่าก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และนั่นก็ไม่ใช่หน้าตาของคนใหญ่คนโตเหล่านั้นหรอกหรือ
สวีเชินจากไป กู้อ้าวเวยกลับไม่คิดจะรออยู่ในห้อง ทำเพียงอุ้มชิงจือไปหยุดอยู่ที่เฉลียงยาวซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ นักพรตน้อยหลายคนย้ายโต๊ะตัวเล็กมา จัดวางติ่มซำและชาจำนวนหนึ่งลงไป ซ้ำยังกล่าวว่า “ตอนที่อ๋องจิ้งมาก็บัญชาไว้ ขาของพระชายายังมีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ ไม่อาจละเลยได้”
ชิงจือในอ้อมอกมองขนมอบตาแป๋วๆ กู้อ้าวเวยจึงเอียงศีรษะมาถาม “เขายังสั่งอะไรบ้าง”
“ท่านอ๋องยังนำสมุดบันทึกเล่มเล็กมา ด้านบนล้วนเขียนของโปรดของพระชายาเอาไว้ทั้งหมด” หลวงจีนที่อยู่ข้างๆ รีบเอ่ยคำ
กู้อ้าวเวยนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ทำเพียงกวาดใบหน้าของซ่านจินจื๋อออกไปจากหัวสมอง เห็นว่าหลวงจีนหลายคนนี้ยังเอาใจใส่มากกว่าบ่าวไพร่ในเรือน จึงทำเพียงกล่าวพลางยิ้ม “พวกเจ้าไปรับรางวัลกับทางกุ่ยเม่ยนั่น และเรียกอาจารย์น้อยสวีเชินเข้ามาด้วย คนที่ชิงจือชอบก็คือเขาแล้ว”
หลวงจีนสองคนเดินจากไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ผ่านไปสักพักก็เรียกสวีเชินเข้ามาจริงๆ
สวีเชินค่อนข้างทึ่มไปหน่อยจริงๆ แต่ถูกชะตากับชิงจือ กู้อ้าวเวยก็ทานขนมอบคอยมองดูอยู่ข้างๆ ทั้งมองท้องฟ้าไปพลาง รอเพียงให้ฝนตกลงมา
รอกระทั่งรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ฟากฟ้าถึงได้มีเสียงฟ้าร้องคำราม ในที่สุดฝนก็เริ่มเทลงมา
ผู้มาเยือนต่างทยอยเข้าสู่ห้องปีก ถึงแม้ขาของกู้อ้าวเวยจะปวดมาก แต่ก็ไม่กลับไป สวีเชินอุ้มชิงจือเอาไว้ ทั้งสองคนจ้องมองหยาดฝนบนชายคาอย่างเหม่อลอย กลับรู้สึกว่าน่าสนใจด้วยเช่นกัน
วันนี้ เยว่กับฉางอีฉินก็ควรจะมาแล้ว
และก็จริงๆ ด้วย หลวงจีนหลายคนยุ่งง่วนไปรับอยู่หน้าอาราม กู้อ้าวเวยก็มองเม็ดฝนพลางสะลึมสะลือ ด้านหลังกายกลับมีเสียงฝีเท้าดังลอยมาแผ่วเบา
“คุกเข่าเจ็ดวันเจ็ดคืนจนล้มป่วย ตอนนี้ท่านพี่จื๋อชดเชยให้แล้วมันจะอย่างไร”
ซูพ่านเอ๋อเดินฉับๆ เข้ามา เหลือบมองขนมอบที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือของกู้อ้าวเวย
แพขนตากะพริบเบาๆ กู้อ้าวเวยไม่อยากนึกถึงเรื่องสารพัดก่อนหน้านี้ ทำเพียงกำที่เท้าแขนเอาไว้แน่น “ข้าไม่อาจเปรียบเทียบความสำคัญในใจของซ่านจินจื๋อกับเจ้าได้ ตอนนี้ตระกูลหยุนตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าในอดีตอีกแล้ว”
“ทำไมไม่เอ่ยถึง?” ซูพ่านเอ๋อหัวเราะหยันหนึ่งที “เลือดเนื้อหัวใจ รอยแผลบนร่างกายของเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเพื่อองค์ชายหกในตอนแรก หรือไม่ก็ที่ชิงต้ายตายเพราะรับบาปแทนเจ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาทำทั้งหมดหรอกหรือ”
รับฟังถึงตรงนี้ สายตาของกู้อ้าวเวยก็เพิ่มแววอันตรายขึ้นมา ปั้นหน้าเย็นชาโบกมือให้กับสวีเชิน
สวีเชินเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของนางน่าสะพรึงยิ่งนัก เขาสะดุ้งโหยง ก่อนรีบอุ้มชิงจือเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
กู้อ้าวเวยหมุนรถเข็นมามองทางซูพ่านเอ๋อ “วันนี้เจ้าพูดเยี่ยงนี้ เพื่ออะไรกัน”
“อารามไป๋หม่าอยู่สูงห่างจากฮ่องเต้ ขอเพียงเจ้าอยากหนีไป สำหรับข้ามันเป็นเรื่องที่พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นแหละ” ซูพ่านเอ๋อหย่อนตัวนั่งลงด้านข้าง ก่อนมองฝนตกหนักที่สาดกระเซ็น “วันนี้ฝนตกหนัก คนที่ท่านอ๋องส่งมาอารักขาก็ไม่สะดวกที่จะซ่อนตัว หากว่าอยากหนีไป…”
“รอจนข้าหนีไปแล้ว เจ้าก็จะสามารถได้รับความรักของซ่านจินจื๋อเพียงลำพัง กำจัดกู้จี้เหยาไปอีกก็ไร้ศัตรูแล้ว” กู้อ้าวเวยขัดจังหวะคำพูดของนาง รอยยิ้มมุมหางตากลับขยายแววชั่วร้ายขึ้นมา
ไม่รอให้ซูพ่านเอ๋อปริปากอีกครั้ง กู้อ้าวเวยกลับเคาะผิวโต๊ะ และเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากตอนแรกเจ้าไม่ได้ทำร้ายชิงต้ายจนตาย วันนี้ข้าก็จะทำตามเจตจำนงของเจ้า”
สีหน้าซูพ่านเอ๋อเปลี่ยนไป “เจ้าจะสู้กับข้า?”
“เจ้ายังไม่ถึงคราวสู้กับข้าหรอก” กู้อ้าวเวยกล่าวพลาง หยิบเอาถุงยาเล็กขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือจากช่วงเอวโยนใส่มือของซูพ่านเอ๋อ “ตอนแรกเป็นเจ้าเองที่ลากกู้จี้เหยาเข้ามา ตอนนี้ เจ้าก็ไปสู้กับนางเองเถิด”
ซูพ่านเอ๋อเปิดถุงยาเล็กออก ด้านในมียาถอนพิษหนึ่งเม็ดนอนอยู่ ซูพ่านเอ๋อสายตาเย็นเยียบ “ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ลงรอยกันมาตลอด”
“แต่เจ้าก็ทำร้ายลูกของนางเหมือนกัน” กู้อ้าวเวยเอ่ย สายตาค่อยๆ โปรยตกไปที่ขาของซูพ่านเอ๋อ ภายใต้ชุดกางเกงตังนั้นก็คือรอยแผลเป็นที่ลบไม่ออกหนึ่งทาง
เพียงแค่สายตานี้ ซูพ่านเอ๋อก็หยัดตัวลุกขึ้นมา “ถ้าหากวันนี้ไม่หนี วันหน้าเจ้าก็อย่าคิดหนีเลย”
“ข้ามีแผนเองอยู่แล้ว แต่กลับไม่คิดจะยั่วโมโหเจ้า” กู้อ้าวเวยโบกมือให้นางอย่างเกียจคร้าน ค่อยๆ หลับตาลงสนิท ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วพลางยิ้ม “วันหน้าพวกเราจะไม่ก้าวล้ำเส้นเขตแม่น้ำกัน เจ้าเองก็อย่ายั่วโมโหข้าด้วย”
ซูพ่านเอ๋อแปลกใจ คล้ายกับว่าเคลือบแคลงข้อเท็จจริงในถ้อยคำของกู้อ้าวเวย แต่พอหวนคิด ถ้าหากนางจะทำร้ายกู้อ้าวเวยแบบปุบปับอีกครั้ง กลัวว่าซ่านจินจื๋อจะเพิกเฉยต่อนางโดยสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อก่อนออกไป
รอจนซูพ่านเอ๋อจากไป มุมเลี้ยวเบื้องหน้ากลับมีเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นเดินมา
วันนี้เยว่แต่งกายด้วยชุดปักสวยงามละเอียดอ่อน ทั้งยังคือผู้เป็นวิทยายุทธ์คนหนึ่ง ระยะห่างเล็กน้อยแค่นี้น่าจะได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่อย่างถ่องแท้
“เหตุใดถึงไม่ไป” เยว่ไม่เข้าใจ
“หากข้าออกจากตำหนักอ๋องจิ้ง เจ้ายังจะไว้ชีวิตข้าหรือ?” กู้อ้าวเวยย้อนถามพลางหัวเราะเย็นชา เห็นสีหน้าเยว่กระตุกเล็กน้อย ก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว “วันนั้นตอนที่สลบไปในสนามล่าสัตว์ ได้ยินว่ามีคนยิงธนูมา ซ้ำยังมีถ้อยคำไม่กี่คำอีก แม่นางเยว่วรยุทธ์สูงแกร่ง น่าจะเป็นเจ้าทำกระมัง”
นิ่งเงียบเป็นนาน เยว่จึงจนปัญญา “ท่านฉลาดจริงๆ ด้วย ที่พูดมาไม่ผิดเลยสักส่วน”
“ตอนแรกเรื่องใต้หน้าผาไป๋เฉ่าก็น่าจะมีส่วนของเจ้าอยู่ แล้วนี้ทำเพื่ออะไรกันแน่” ครั้งนี้กลับเป็นกู้อ้าวเวยที่ไม่เข้าใจ
“องค์ชายเห็นท่านเป็นขงเบ้งที่ยังมีชีวิตอยู่เรื่อยมา และทำเรื่องต่างๆ เพื่อท่าน พระชายาคิดว่านี่มันเพราะอะไร” สายตาของเยว่คมกริบ เดินเข้ามาข้างกายของกู้อ้าวเวยเวยทีละก้าว ทำเพียงทิ้งหนึ่งประโยคไว้เบาๆ “หากท่านเป็นภรรยาของซ่านจินจื๋อต่อไป และไม่เอ่ยถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ วันหน้าข้าก็จะไม่ทำร้ายท่าน”
กล่าวจบ เยว่ก็เดินไปจากข้างกายของนางเรียบร้อยแล้ว กู้อ้าวเวยกลับขมวดหัวคิ้วขึ้นมา
ว่ากันว่าหัวใจสตรีร้ายกาจที่สุด แต่กู้อ้าวเวยดูแล้ว ก็แค่กรงรักขังสัตว์ป่าเท่านั้นแหละ