บทที่ 359 ติดสินบนหลานเอ๋อร์
จันทร์แรมลมลิ่ว กุ่ยเม่ยเข้ามากลางห้องปีกของกู้จี้เหยาอย่างไร้สุ้มเสียง
ส่วนด้านนอกประตู กู้อ้าวเวยกลับอาศัยวิทยายุทธ์ที่ตัวเองฝึกปรือมา ฉวยโอกาสตอนที่หลานเอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัว ลากนางมายังมุมกำแพงที่ไร้ผู้คน และยังคงไม่ลืมเลือนรับเอาซุปเห็ดหูหนูขาวที่หลานเอ๋อร์กำลังยกอยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างกลับยังคงใช้มีดเล็กจ่อที่คอของหลานเอ๋อร์เอาไว้
หลานเอ๋อร์ผงะ อาศัยแสงจันทร์ริบหรี่จนสามารถมองเห็นใบหน้าของกู้อ้าวเวยในที่สุด ก่อนหน้าเปลี่ยนสี “พระชายา…”
“ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้าเสียหน่อย แค่กลัวว่าเจ้าจะกรีดร้องตกใจจนคนแห่มา” กู้อ้าวเวยค่อยๆ ลดมีดเล็กในมือลง
หลานเอ๋อร์เพิ่งจะปรนลมหายใจโล่งอก ในลำคอกลับมีอะไรบางอย่างหลุดเข้าไป จึงกระแอมไอติดต่อกันหลายที นางดูเลิ่กลั่ก “ท่านให้ข้ากินอะไร”
“พิษร้ายแรง” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยี เปิดซุปเห็ดหูหนูขาวกำลังร้อนได้ที่ในมือพลางซดไปหนึ่งคำ
หลานเอ๋อร์ตกใจสุดแรง ขาสองข้างอ่อนแรงในบัดดล “ไม่ทราบว่าหลานเอ๋อร์ทำอะไรลงไปหรือ…”
“ข้าจะให้ยาถอนพิษกับเจ้าทุกๆ เจ็ดวัน” กู้อ้าวเวยกระเตงซุปเห็ดหูหนูขาวโถนี้เอาไว้ ก่อนเหลือบมองนางเบาๆ แวบหนึ่ง “กู่เซิงเป็นบุตรของบิดา เจ้าต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกู้จี้เหยาโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ และคิดหาวิธีให้นางไปพบกับกู่ฮูหยินและฮัวหลีคนนั้นบ่อยครั้งหน่อยก็พอแล้ว”
“นี่…” หลานเอ๋อร์จับลำคอของตัวเอง ด้านหนึ่งก็รู้สึกตกใจกับข่าวคราวนี้ ส่วนอีกด้านก็หวาดกลัว
กู้อ้าวเวยกลับยัดตั๋วเงินสองร้อยตำลึงใส่มือนางเบาๆ “เจ้าใช้เงินนี้ไปประทังคนในครอบครัว วันหน้าไม่ว่าเจ้าจะอยู่ตำหนักอ๋องจิ้งหรือไม่ ก็สามารถมาหาข้าเพื่อหลบภัยได้เสมอ ยินดีหรือไม่”
หลานเอ๋อร์เฉลียวฉลาดระดับไหน ก็แม้แต่ชิงต้ายยังชมเชยหลานเอ๋อร์ว่าเป็นคนหลักแหลม
หากไม่ใช่เพราะกู้เฉิงตกอับ จนทำให้คนที่หลานเอ๋อร์สามารถพึ่งพาได้เหลือเพียงแค่กู้จี้เหยาคนเดียว นางก็คงไม่แขวนคอตายบนต้นไม้ต้นนี้อย่างกู้จี้เหยาเป็นอันขาด เปรียบเทียบกับกู้จี้เหยาแล้ว กู้อ้าวเวยเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ยิ่งเป็นถึงพระชายาเอก จะอย่างไรก็มีประโยชน์มากกว่า
ดวงตาวาววับกลอกวน หลานเอ๋อร์คารวะกู้อ้าวเวยยกใหญ่ “หลานเอ๋อร์ยินดี เพียงแต่หลานเอ๋อร์ยังมีคำวิงวอนหนึ่งข้อ ขอเพียงพระชายาตกลง วันหน้าหลานเอ๋อร์ยินดีสละชีวิตมอบให้ท่าน”
“เจ้าว่ามาให้ข้าฟังสิ” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้ว
“ความปรารถนาเดียวในชีวิตนี้ของหลานเอ๋อร์ ก็คือสามารถออกเรือนเข้าไปเป็นภรรยากับนักธุรกิจเจ้าหน้าที่ทางการชั้นสูงผู้มั่งคั่งสักคน หากว่าพระชายาสามารถตระหนักถึงความปรารถนาข้อนี้ของหลานเอ๋อร์ได้เป็นอย่างดี วันหน้าหลานเอ๋อร์ย่อมต้องแทนคุณด้วยใจหนึ่งเดียวมิเป็นอื่นแน่นอน” หลานเอ๋อร์กล่าวพลาง ดวงตาก็สว่างวับ
“เจ้าอยากเป็นชายาเอก?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ถือซุปเห็ดหูหนูขาวในมือเดินมายังข้างกายของหลานเอ๋อร์ “เจ้าฉลาดพอๆ กับชิงต้ายเลย แต่กลับรู้จักสังเกตคำพูดท่าทีของผู้คนยิ่งกว่า ต่อให้เข้าจวนเป็นอนุก็สามารถมุมานะจนโดดเด่นได้จึงจะถูก”
“พระชายาเฉลียวฉลาดจริงๆ ด้วย หลานเอ๋อร์ขอเพียงได้เป็นอนุก็เพียงพอแล้ว” หลานเอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา และมองเห็นรอยยิ้มบางบนหน้าของกู้อ้าวเวยพอดี ในใจสั่นไหวเล็กน้อย
ขอเพียงวันหน้าสามารถออกเรือนไปกับครอบครัวที่ดีสักแห่ง ครึ่งชีวิตที่เหลือก็จะไปประสบความสำเร็จแล้ว
กู้อ้าวเวยกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ หลานเอ๋อร์คนนี้มองเรื่องราวได้อย่างปรุโปร่งยิ่งนัก และรู้แก่นสารได้ด้วยตัวเอง
เพียงแต่เอ่ยคำร้องขอออกมาแล้ว นางเองก็ไม่อาจเชื่อมั่นได้ทั้งหมด จึงทำแค่พยักหน้า “ข้ารับปากเจ้า แต่พิษนี้กลัวว่าอีกประเดี๋ยวจะแก้ไม่ได้แล้ว”
ร่างกายหลานเอ๋อร์สั่นระริก รีบเอ่ยคำอย่างรวดเร็ว “ขอเพียงพระชายาไว้ชีวิตข้า ข้าย่อมมีวิธีพิสูจน์ทักษะของข้าอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงจำไว้ กู่เซิงเป็นบุตรชายของกู้เฉิง พี่ใหญ่ของข้ากับกู้จี้เหยา ส่วนฮัวหลีในตอนนี้ก็ไม่ใช่สาวใช้ แต่เป็นบุตรีนอกรีตของกู้เฉิง สมุดรายชื่อคืนพรุ่งนี้ข้าจะให้กุ่ยเม่ยเอาไปให้เจ้า เจ้าคิดหาวิธีทำให้กู้จี้เหยารู้เรื่องนี้” กู้อ้าวเวยกล่าวจบ ก็ยกซุปเห็ดหูหนูขาวเดินจากไปหน้าตาเฉย
ภายใต้แสงจันทร์ หลานเอ๋อร์ค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืน ในที่สุดก็พ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก
ขณะที่หลานเอ๋อร์กลับเข้ามาในห้อง กุ่ยเม่ยก็ได้วางยาถอนพิษก่อนจากไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว กู้จี้เหยานั่งขดตัวสั่นเทิ้มอยู่ในมุมอับ มองเห็นหลานเอ๋อร์เข้ามาจึงถอนหายใจโล่งอก และบอกเรื่องที่ซูพ่านเอ๋อวางพิษใส่ตนให้ฟังหนึ่งเที่ยว หลานเอ๋อร์ก็ตกตะลึงเช่นกัน “เหตุใดซูพ่านเอ๋อถึงได้อาจหาญขนาดนี้ อารามไป๋หม่ามีหูตาตั้งมากมาย…”
“ข้าเองก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่กุ่ยเม่ยบอกว่าซูพ่านเอ๋อมักจะทวนกระแสเรื่อยมา ให้ข้าระวังตัว” กู้จี้เหยาหน้าถอดสี แต่กลับมองเห็นว่าในมือของหลานเอ๋อร์ว่างเปล่า จึงอดสงสัยไม่ได้ “ในอารามแห่งนี้ไม่มีแม้แต่ซุปเห็ดหูหนูขาวเชียวหรือ”
คราวนี้หลานเอ๋อร์ถึงฉุกคิดถึงเรื่องซุปเห็ดหูหนูขาวขึ้นมา ครุ่นคิดสักพัก จึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “มีเจ้าค่ะ เพียงแต่ฟ้ามืดค่ำเกินไป เมื่อครู่ตอนที่ข้าออกจากห้องครัวไม่ทันระวังชนเข้ากับอาจารย์น้อยผู้หนึ่งเข้า จนมันหกกระเซ็น ตอนนี้ห้องครัวกำลังทำอยู่เจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด อย่างไรเสียข้าก็กินไม่ลงแล้ว แต่เหงื่อออกท่วมกายแทน” แพขนตาของกู้จี้เหยาสั่นเบาๆ ขอบตาเย็นวาบทั้งแถบ ทำเพียงค่อยๆ กำขวดยาถอนพิษในมือจนแน่น
……
กู้อ้าวเวยกลับมายังห้องปีกของตัวเองอย่างเบามือเบาเท้า
ท่านป้าจางอุ้มชิงจือหลับสนิทที่ห้องถัดไป กุ่ยเม่ยกลับหิ้วกล่องอาหารเล็กๆ มาวางลงบนโต๊ะ พลางมองนาง “นี่คือของที่ท่านอ๋องให้เฉิงเอ้อส่งมา”
“ข้าวมาส่งของดึกดื่นป่านนี้นี่นะ?” กู้อ้าวเวยยกซุปเห็ดหูหนูที่ซดไปแล้วส่วนน้อยขึ้น ก่อนหย่อนตัวนั่ง “ตัวเฉิงเอ้ออยู่ไหม จะมองดูว่าข้าทำอะไรหรือเปล่านะ”
กุ่ยเม่ยเปิดกล่องอาหารออก ก่อนทอดถอนใจ “เฉิงเอ้อไปตั้งนานแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าท่านอ๋องเพียงแค่อยากพะเน้าพะนอท่านให้สบายใจมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นเขาคงกลัวว่าไม่สามารถได้รับในสิ่งที่ต้องการแล้ว” กู้อ้าวเวยหยิบขนมอบหนึ่งชิ้น เพิ่งจะกัดเข้าหนึ่งคำก็วางมันลง “เมื่อวานข้ายังชอบกินอยู่เลย แต่วันนี้ ก็ไม่ได้ชอบแล้ว”
กุ่ยเม่ยทอดถอนใจหนึ่งเฮือก กู้อ้าวเวยดื่มซุปเห็ดหูหนูขาวไปพลาง และเล่าคำขอร้องที่หลานเอ๋อร์เอ่ยขึ้นหนึ่งรอบ
“ท่านเตรียมหาบ้านสามีให้นางจริงๆ?”
“ต้องหาอยู่แล้วสิ นางทั้งฉลาดและสวย ไปที่จวนของใครก็น่าจะเป็นความเฟื่องฟูให้กับสามีได้” กู้อ้าวเวยเลิกเรียวคิ้ว ก่อนวางชามอันว่างเปล่าลง “ยามปกติตอนที่เจ้าไม่มีอะไรที่อารามไป๋หม่าก็ไปจับตาฮัวหลีเอาไว้ ข้าเดาว่านางมีกะใจวางแผนอะไรอยู่”
“ข้าทราบแล้ว ตอนนี้ดึกมากแล้ว อย่างไรท่านก็รีบพักผ่อนเร็วๆ ดีกว่า” กุ่ยเม่ยลูบหัวไหล่ของนาง “การเดินทางมาอารามไป๋หม่านี้ กลัวว่าจะเป็นการผ่อนคลายครั้งสุดท้ายแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วัน แม่นางเยว่ก็จะมาสวดภาวนาที่อารามไป๋หม่ากับพระชายาองค์ชายสามแล้ว น่าจะอยากหารือเรื่องอุทกภัยกับท่าน”
พอกู้อ้าวเวยหวนคิด ที่กู้อ้าวเวยพูดมาก็ไม่ผิด จึงนอนหลับไปโดยเร็ว
รอจนเช้าตรู่วันถัดมา ระฆังอารามไป๋หม่าดังกู่ กู้อ้าวเวยจึงตะกายขึ้นมาเร็วๆ คล้ายกับรู้สึกว่านักพรตน้อยสวีเชินน่าสนใจ จึงสวมชุดคลุมสีเทาด้วยเช่นกัน และเดินวกไปวนมาตามหลังของสวีเชิน “หลายวันมานี้ ข้าจะฝึกฝนกับท่านอาจารย์น้อยสวีเชิน”
สวีเชินผงะ ก่อนพูดตะกุกตะกัก “ข้าก็เป็นเพียงแค่…”
“ข้าเองก็เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง อายุน้อยยิ่ง ติดตามท่านคงไม่เป็นปัญหา” กล่าวจบ กู้อ้าวเวยก็คว้าเอาด้ามไม้กวาดถลาเข้ามาเสียแล้ว ประชิดลำตัวของสวีเชิน “วันปกติท่านกวาดที่ไหน ข้าขอแบ่งครึ่งหนึ่ง”
สวีเชินกล่าวเพียงอามิตตาพุทธ ก่อนจะบอกกู้อ้าวเวยทีละอย่าง
ส่วนภายใต้หลังคานั้น ฮัวหลี กำลังประคองลำแขนของกู่เซิง ก่อนยิ้มหยันหนึ่งที “บิดายังพูดว่ากู้อ้าวเวยคนนี้เป็นสุนัขจิ้งจอกที่ฉลาดคนหนึ่ง ข้ากลัวคิดว่านางก็แค่คนบ้า คอยติดตามนักพรตตัวเล็กๆ โดยไม่กลัวเสียสถานะ”
กู่ฮูหยินรีบตะครุบปากของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว “ระวังถูกบิดารู้เข้า อย่าลืมจุดประสงค์ที่มาครั้งนี้เชียว”
“ทราบแล้วทราบแล้ว ไม่ใช่ว่าคิดหาวิธีล้อมกรอบกู้อ้าวเวยหรอกหรือ แค่ดูข้าก็พอแล้ว” ฮัวหลีโบกมืออย่างหงุดหงิด ก่อนดึงกู่ฮูหยินเดินจากไป