บทที่ 378 ม้วนภาพ
ในยามอาทิตย์ตกดิน ตำหนักขององค์ชายสามใช้เวลาซ่อมแซมอยู่กว่าสามเดือน วันนี้เพิ่งจะเสร็จสิ้น ในที่สุดทุกอย่างก็สดใสสวยงามเหมือนใหม่
ฉางอีฉินมองไปยังอาคารสองชั้นที่เพิ่งสร้างใหม่ เขาจับแขนของซ่านเซิ่งหานแล้วพูดออกไป “องค์ชาย ท่านเก็บอาคารหลังเล็กไว้ เพื่อให้ใครพักหรือ แม้แต่ป้ายชื่อก็ยังไม่เลือกไว้”
ชายคาทุกด้านของอาคารสองชั้นหลังนี้ ชายคาด้านเหนือและใต้ประดับระฆังลมที่คณาจารย์ทางตะวันตกถือไว้ในมือ ดูสวยงาม แต่เหนือประตูยังคงว่างเปล่า ยังไม่มีป้ายชื่อโลหะ มีเพียงเตียงไม้ไผ่บนชั้นแรก มีชั้นวางของขนาดใหญ่สามตัว บนชั้นสองยังไม่มีสิ่งของใด ๆ น่าเสียดายจริง ๆ
ซ่านเซิ่งหานมองไปยังอาคารเล็ก ๆสองชั้นนั้น แล้วยิ้มเบาๆ “แม่ของข้าได้พบกับเสด็จพ่อที่อาคารแห่งนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านแม่ได้มีความสุขสบายอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นก็ได้แต่ทุกข์ยาก”
“องค์ชาย พระสนม…”
“แต่อาคารหลังนี้ไม่ใช่เพื่อเก็บความทรงจำ แต่ทำเพื่อชาวทิเบต” ซ่านเซิ่งหานทำไม้ทำมืออย่างเงียบๆกับฉางอีฉิน และพูดต่อว่า “ต่างจากข้า ที่ทำขึ้นเพราะระลึกถึงท่านแม่
ฉางอีฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ผ่านไปสักพักก็นึกขึ้นได้ “อาคารแห่งนี้ คงไม่ได้เตรียมไว้ให้กู้อ้าวเวยคนนั้นนะ….
ไม่กี่วันก่อนท่านไปพบกับเสด็จอาที่ร้านอาหาร ข้าคิดว่าท่านมีเรื่องอะไรสำคัญ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าท่านจะไปเพื่อสนทนากับกู้อ้าวเวย แต่นั่นเป็นพระชายาของอ๋องจิ้ง เสด็จอาคงจะไม่ยกให้ท่านแน่”
“อาคารหลังนี้มีไว้เพื่อนางแน่นอน แต่เดิมทีไม่กี่วันก่อนข้าตั้งใจจะไปคุยกับนาง แต่กลับติดสงครามกับเสด็จอา แต่ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ต้องมีสักวันหนึ่งที่กู้อ้าวเวยจะต้องมาอยู่ข้างกายของข้า “ ซ่านเซิ่งหานยกมือขึ้น พาฉางอีฉินเข้าไปภายในอาคาร กดกลไกบนผนัง ทางเดินได้เผยออกมาให้เห็น
เดินไปตามทางเดินโดยไม่มีแสงไฟ เมื่อเดินออกมา ก็ถูกเชื่อมต่อไว้ไว้อย่างดีกับห้องหนังสือของซ่านเซิ่งหาน
ฉางอีเฉินพูดโพล่งออกไป “ท่าน…ชอบกู้อ้าวเวยมากขนาดนี้เลยหรือ”
“ชอบจริง ๆ” ซ่านเซิงหานพูดไปอย่างไม่ปิดบังและลากฉางอีฉินเข้าไปด้านหลังของฉากกั้น
และที่บนกำแพงด้านหลังของฉากกั้น มีม้วนภาพภาพหนึ่งแขวนไว้บนผนัง บนภาพวาดนั้น เป็นภาพของกู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนตั่งนั่งเหมือนกำลังอ่านรายชื่ออะไรอย่างละเอียด คนในภาพนั้นแต่งกายด้วยชุดธรรมดา หลบสายตา ขนตางอน วาดได้งดงามที่สุด มือที่วางอยู่นั้น มีนิ้วที่เรียวยาวสวยงาม โน้มตัวหน่อยๆ ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ชัดเจนมาก
ใบหน้าของฉางอีฉินซีดเซียว
“ข้ารู้ว่าเจ้าและเยว่นั้นอิจฉานาง” ซ่านเซิ่งหานมีน้ำเสียงที่เยือกเย็น มือข้างที่จับฉางอีฉินไว้เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ดวงตาที่กำลังจ้องมองเหมือนกับเป็นคำเตือน “แต่ถ้าพวกเจ้าทำร้ายนางอีก อย่ามาหาว่าข้าไม่สนใจเรื่องสามีภรรยา”
ซ่านเซิ่งหานไม่เคยเข้มงวดกับฉางอีฉินมาก่อน ในตอนนี้ฉางอีฉินได้แต่มองขาทั้งสองข้างที่กำลังโรยแรง
“เรื่องที่เยว่ทำทั้งหมด ข้ารู้อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกล่าสัตว์นั่นที่ส่งจดหมาย กลับเป็นความตั้งใจของเจ้า”
ซ่านเซิ่งหานสลัดมือของฉางอีฉิน และมองด้วยสายตาเยือกเย็น
ฉางอีฉินมีนั่งคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุ้บ “ตอนนั้นข้าถูกบดบังใจจึงหลงผิดไป…”
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าปล่อยนางไว้ยังมีประโยชน์ พวกเจ้าคอยตามรังควานซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะอคติส่วนตัว ตอนนี้ข้าคงไม่ต้องไปพูดต่อหน้าเสด็จอาว่าต้องการนาง เพียงแค่ช่วยให้นางได้เข้ามาในตำหนักอ๋องก็ดีมากกว่า และไม่เสียหายเลยเพราะนางเคยสร้างประโยชน์ให้พวกเรามาก่อน” ซ่านเซิ่งหานโบกมือด้วยความโกรธ
หลังจากที่หน้าผาไป๋เฉ่า เขาหยุดที่จะเชื่อในตัวเยว่ จากนั้นทุกอย่างก็ถูกเปิดเผย ถ้าเยว่ไม่เป็นอะไร ก็แค่เพียงสั่งสอนให้ดี ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ฉางอีฉินเป็นภรรยาหลวงของเขา เบื้องหลังย่อมได้รับการสนับสนุนจากร้านชาซ่าน หากใช้กลอุบายอื่นจัดการกับกู้อ้าวเวย ดูจากพฤติการณ์ที่น่าสงสัยของกู้อ้าวเลย เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก”
ฉางอีฉินกัดฟันแน่น “ข้าอยากจะบอก องค์ชายทำแบบนี้ต่อหน้าของสมเด็จอา การจัดการให้กู้อ้าวเวยถึงแก่ชีวิตดูจะเป็นหนทางที่เร็วที่สุด”
“ดังนั้น พวกเจ้าไม่สามารถจะใช้อะไรทั้งหมดไปลงที่กู้อ้าวเวยเพียงคนเดียว” ซ่านเซิ่งหานนั่งลงช้า ๆ หยิบถ้วยที่ด้านข้างขึ้นมา แววตาดูเศร้า “ถ้าไม่มีคนโต้แย้ง เสด็จอาก็คงจะต้องให้กู้อ้าวเวยอยู่ข้างกายเขา แต่ถ้าข้ายังสู้ เสด็จอาก็จะรู้คุณค่าของนาง และอยากปกป้องนางจากความตาย หากทำแบบนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการสั่งสอนเจ้าและเยว่”
ฉางอีฉินหัวเราะเบาๆอยู่ในใจ เงยหน้าขึ้นมามอง โดยไม่อาจจะเชื่อในซ่านเซิ่งหาน
เวลาถัดมา ซ่านเซิ่งหานพูดออกไปอย่างเย็นชา “หากพวกเจ้าจะลงมืออีกครั้ง เมื่อถึงเวลา อย่าไปโทษเสด็จอาว่าลงมือกับพวกเจ้า”
ทันทีที่เขายืดตัวตรง ฉางอีฉินก็คุกเข่านั่งลงไปกับพื้น
มองไปยังซ่านเซิ่งหานด้วยสายตาเย็นชา ฉางอีฉินกลับรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
หากแต่ซ่านเซิ่งหานรู้ทุกอย่าง เขาเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ในอดีตเขาสามารถอดทนได้ถึงสามส่วน แต่หลังจากนั้น เมื่อเขาผ่อนคลายให้ใครก็ตามรอบตัว ก็มักจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเสมอ
ตอนนี้เขาจะไม่แสร้งทำเป็นปลอบใจฉางอีฉินอีกต่อไป เพียงเพราะ ตอนนี้เขากำลังอยู่ในอำนาจ พ่อค้าเล็ก ๆในร้านชาซ่านคงช่วยอะไรเขาไม่ได้ คงได้แต่ขอร้องเขา
แม้ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ แต่เขากลับมีความคิดจะเป็นราชา
“จากนี้ไป ข้าไม่ต้องการเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรอีก เรื่องอาคารหลังเล็กข้าพูดกับเพียงเจ้าและเยว่ หากเรื่องที่เปิดเผยออกไป เยว่ก็ดี ร้านชาซ่านก็ดี ข้าจะไม่มีวันเมตตา” ซ่านเซิ่งหานนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบสมุดข้างกายขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ฉางอีฉินเริ่มเข่าอ่อน แต่สาวใช้ที่อยู่นอกประตูช่วยประคองนางเข้าไป
ซ่านเซิ่งหานมองไปยังภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพง สีหน้าแววตาก็นิ่งขรึม
ในความเป็นจริง เขายังพนันอยู่อีกครั้ง ไม่คิดว่าเสด็จอาจะไม่ยอมวางมือจากกู้อ้าวเวยจริง ๆ
……..
ในห้องนอนของซ่านจินจื๋อ มีคนจำนวนหนึ่งอยู่คอยรับใช้ แม้แต่ซูพ่านเอ๋อก็ไม่ได้มาบ่อย ๆ
และในเวลานี้ ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่หน้าโต๊ะ สายตามองไปยังภาพวาดที่เหมือนกันภาพหนึ่ง หญิงสาวบนภาพวาดหลบซ่อนใบหน้าของนาง ชุดเป็นระลอกคลื่นสีขาวและน้ำเงิน มีแมวสองตัวนอนอยู่ที่รอบ ๆขา อีกทั้งยังมีขนมอบมากมายอยู่บนโต๊ะหินเบื้องหน้านาง
ดวงตาของหญิงสาวนั้นเรียวโค้ง ดูเปล่งประกาย เส้นข้างหูกลับดูไม่ชัดเจน มันดูสวยงามและละเอียดอ่อนมาก
นี่เป็นช่วงเวลาก่อนที่ทั้งสองจะรักกัน ซ่านจินจื๋อขอให้จิตรกรแอบวาดภาพนี้อย่างลับๆ วาดไว้หลายสิบภาพ แต่เขากลับเก็บภาพนี้ไว้ภาพเดียว
เนื่องด้วยภาพนี้ คนที่กู้อ้าวเวยมองอยู่คนเดียว คือเขา
ซ่านจินจื๋อค่อยๆตกอยู่ในภวังค์ ประตูถูกคนผลักออก ซูพ่านเอ๋อในชุดสีม่วงมองเห็นภาพวาดภาพนี้ ก็มองไปยังซ่านจินจื๋อทั้งน้ำตา “ท่านพี่จื๋อ สุดท้ายท่านก็เปลี่ยนใจ”
“ข้าไม่ได้ปิดบังอะไรเจ้า” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นลูบภาพนั้นเบาๆ พูดอย่างค่อยๆ “หากจะมีเรื่องใดที่ทำให้ข้าเสียใจ ก็คงเป็นการที่ได้พบกับนางช้าเกินไป”
“ท่านพี่จื๋อ ท่านกำลังตำหนิข้าเรื่องน้ำท่วมครั้งก่อนใช่ไหม” ซูพ่านเอ๋อทรุดลงที่หน้าโต๊ะของเขา แล้วกัดริมฝีปากแน่น “ไม่เช่นนั้น ทำไมจู่ ๆท่านถึงทำดีกับนางขนาดนั้น”
“เพราะข้าตื่นรู้แล้ว” ซ่านจินจื๋อละสายตาที่หมกมุ่นของเขา แล้วมองไปยังซูพ่านเอ๋อ “เจ้าและกู้จี้เหยาต่างไม่ชอบนาง เพราะพวกเจ้ารักข้า แต่องค์ชายสามและองค์ชายหกล้วนมีใจให้นาง เป็นเพราะนางมีความเก่งมากพอ และข้ากลับทิ้งเจ้าไม่ได้ ต่อไปก็ต้องเคารพเจ้าในฐานะฮองเฮา และข้าก็จะต้องสูญเสียนางไป”
พูดสิ่งเหล่านี้จบ ซูพ่านเอ๋อก็ร้องไห้หลั่งน้ำตาเต็มใบหน้า และได้ยินเสียงของซ่านจินจื๋อดังขึ้นอีกครั้ง “มีเพียงนาง ที่เข้าใจข้า”