บทที่ 385 ยาหยกที่มีค่ามหาศาล
“ความสงบกลมกลืนล้วนเป็นสิ่งสำคัญ อย่าไปคำนึงถึงอุปสรรค ตั้งใจทำเรื่องที่เจ้าพูดขึ้นมาทั้งหมดนั้นให้ได้รับการยอมรับ เรื่องการควบคุมลำน้ำคูคลองยังต้องการให้เจ้าและมู่เหลียวมาปรึกษาหารือกันอย่างละเอียด แต่ข้ามันเป็นพวกรู้ทฤษฎี จะให้แก้ปัญหาก็คงจะไม่ได้ มักจะจนปัญญาที่จะต้องดูแลทุกอย่างได้ทั้งหมด”
พูดจบลง กู้อ้าวเวยก็ได้วางพู่กันในมือ แล้วก็กวาดตามองคำว่ากลมกลืนของตัวเองที่อยู่บนกระดาษใบประกาศ รู้สึกพึงพอใจ
การเขียนพู่กันนับว่ามีการพัฒนาไปมาก
ซ่านเซิ่งหานรวบรวมความคิดแล้วก็ตรึกตรอง รู้สึกเหมือนกับว่าที่กู้อ้าวเวยพูดมานั้นมันช่างมีเหตุมีผล
“พูดมาแบบนี้ คงจะดีที่สุดถ้าข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ต้องแสร้งทำ ทุกอย่างขอเพียงแค่ใช้ความจริงใจ ไปทำตามความคิดที่จะทำตามวีถีของฮ่องเต้พวกนั้นที่เจ้าคิดมาได้ เช่นนั้นแล้วราชบัลลังก์ ก็ต้องเป็นของเจ้า”กู้อ้าวเวยตบลงที่อกเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ได้สะท้อนประกายเล็ก ๆ ออกมา
มือของกู้อ้าวเวยที่ตบลงตรงหน้าอกตรงหน้า เหมือนกับมีคลื่นกระเพื่อมออกมาเป็นระลอก ทำให้ซ่านเซิ่งหานรู้สึกตกตะลึง
พูดจบเรื่องพวกนี้แล้ว ซ่านเซิ่งหานถึงได้พูดต่อไปว่า “เจ้าไม่ต่อว่าข้าที่ในเมื่อก่อนข้าขอเจ้าต่อซ่านจินจื๋อ”
“ต่อว่าสิ”กู้อ้าวเวยกัดลงเบา ๆ ตรงด้ามจับของพู่กัน ต่อมาเหมือนกับคิดถึงคำกำชับของกุ่ยเม่ย แล้วก็วางลง พูดต่อไปว่า “และตอนนี้ข้าก็มีความคิดที่แยบยล จะทำธุระให้กับเจ้านั้นไหมข้าจะต้องขอใช้เวลาคิดตรึกตรองก่อน อยู่กับซ่านจินจื๋อ ข้าจะพยายามช่วยจนสุดความสามารถ ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว การช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ถึงจะมีความยุติธรรม”
“เจ้าไม่อยู่ตรงข้ามกับข้า?”สีหน้าของซ่านเซิ่งหานมีความรู้สึกเจ็บปวด ดูน่าสงสาร
“แน่นอนล่ะ ไม่อยู่ตรงกันข้าม สถานการณ์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอด ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้ซ่านจินจื๋อทำเรื่องอะไรที่มันสุดโต่งจนเกินไป”กู้อ้าวเวยส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนหนทาง
เรื่องราวของโรคภัยในครั้งก่อน นางเองก็ค่อนไปทางฝั่งซ่านเซิ่งหาน แต่เพราะว่าตัวเองคิดอยากสนับสนุนซ่านเซิ่งหาน ทำให้เรื่องราวของซ่านจินจื๋อต้องล่าช้าออกไป ไม่รู้ว่าทำร้ายชีวิตไปกี่มากน้อย ต่อไปจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นอีก
ซ่านเซิ่งหานในบัดนี้ก็หมดคำพูดแล้วเช่นกัน ในบางมุม ก็นับว่ากู้อ้าวเวยเอาคืนตัวเองจริง ๆ
ลมเย็นโบกโชย กู้อ้าวเวยก็ได้มองเห็นโคมของจื่อจากที่ไกล ๆ แล้วก็ยกมือให้กับซ่านเซิ่งหาน “จื่อกลับมาแล้ว ถ้าหากว่าเจ้ายังมีเรื่องก็เข้าไปอยู่ตรงหลังฉากบังลมก่อน ถ้าไม่มีเรื่องแล้วรีบกลับไปก่อนเถอะ”
ซ่านเซิ่งหานพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้คิดจะอยู่ต่อ เพียงแค่นำเอากล่องไม้วางไว้ที่ข้างมือของกู้อ้าวเวย แค่ชั่วพริบตาก็ไม่มีร่องรอยใด ๆ ทิ้งไว้ให้เห็น
จื่อวิ่งเหยาะ ๆ เอาอาหารกับข้าวที่กำลังร้อน ๆ ส่งเข้ามา แล้วก็จ้องมองไปที่กู้อ้าวเวยอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี “มิน่าล่ะกุ่ยเม่ยในครั้นก่อนถึงได้ชอบกำชับท่าน แม้กระทั่งตัวข้าเองก็ทนดูต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“นี่ข้าทำอะไรไปอีกหรือยังไง?”กู้อ้าวเวยชี้ไปที่ตนเอง
“ปกติท่านจะบอกพวกเราว่าให้ค่อย ๆ กิน ตัวเองกลับกินซี้ซั้ว อีกทั้ง ท่านมักจะให้พวกเราดูแลตัวเองดี ๆ รับประทานอาหารสามเวลา แต่ทีกับตัวเองไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย”จื่อยกเอาอาหารสามอย่างและน้ำซุปอีกอย่างวางขึ้นด้วยความรู้สึกจนในปัญญา
กู้อ้าวเวยเอามือลูบที่ปลายจมูกอย่างรู้สึกเก้อ ๆ แล้วก็รีบกินลงไป
กินไปถึงครึ่งหนึ่ง จื่อนำเอากล่องที่ซ่านเซิ่งหานวางไว้นั้นออกมา จ้องมองนางกระพริบตาปริบ ๆ “นี่มันเป็นของของร้านหลิงหลาน ท่านซื้อมาแต่เมื่อใด?”
“ร้านหลิงหลาน? ก็คือสถานที่ในตอนนั้นที่ขายของสารพัดสารเพหรอ?”กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น “กล่องนี้มันก็เป็นของเดินทางติดตัวของข้า และก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าแต่ก่อนใครเป็นคนมอบให้ข้า”
จื่อถอนหายใจ “ท่านนี่ช่างไม่ใส่ใจอะไรเลย ครั้งที่แล้วยู่จูเห็นท่านเอาหยกและเสื้อผ้าผ้าไหมจำนวนไม่น้อยวางไว้ในห้อง ท่านพูดบ่นอยู่กับข้าสองวันว่าท่านไม่รู้ว่าอันไหนดีหรือไม่ดี ช่างสงสารของพวกนั้นเสียจริง ๆ นะ”
“ถ้าอย่างนั้นให้นางหยิบเอาอันที่ถูกใจไปเสียก็ได้ แต่ไม่ต้องหยิบมากจนเกินไป พอถึงตอนนั้นข้าจะเอาไปขายเป็นเงิน ถ้าไม่เช่นนั้นนี่ข้าก็นับว่าเป็นคนยากไร้จริง ๆ ”กู้อ้าวเวยกินข้าวต่อ
จื่อเปิดกล่องนั้นอย่างเบามือ แล้วก็ตกตะลึง
ที่ด้านในมีหินหยกใหญ่ขนาดนิ้วหัวแม่มือวางอยู่ในกล่อง ดูไปแล้วก็ปกติไม่ได้มีอะไรผิดแปลก แต่จื่อและพี่สาวของทิงเฟิงโหลวพบเห็นสิ่งของมาก็ไม่ใช่น้อย เพียงแค่ได้กลิ่นหอมจาง ๆ แล้วก็รีบยกมือขึ้นแนบออกเซถอยหลังลงไปสองก้าว มือที่ถือกล่องเอาไว้สั่นระรัว “นี่มันเป็นยาหยก!ใหญ่ขนาดนี้!”
“อะไรนะ!”กู้อ้าวเวยเองก็ผุดตัวลุกขึ้น วางตะเกียบและชามในมือลงแล้วก็หยิบเอากล่องไม้นั้นมา แล้วก็มือสั่นระรัวเช่นกัน “ขายไปนี่ข้าก็มีเงินแล้วนะ”
จื่อกลอกตามองนางทีหนึ่ง “ยาหยกที่ใหญ่ขนาดนี้ จะพูดยังไงมันก็ต้องได้ทองกลับมาเป็นจำนวนมหาศาล แต่ก่อนนั้นต้องใช้ทองถึงหนึ่งหมื่นเหลี่ยง ถึงจะซื้ออันที่มันใหญ่ขนาดเท่าเล็บได้นะเจ้าคะ”
กู้อ้าวเวยสูดอากาศเย็นเข้าไป คิดตรึกตรองไปมา แล้วก็เอากล่องไม้นั้นปิดลง ส่งให้กับจื่อ “เจ้าช่วยข้าหาที่วางให้ดี ๆ หน่อย ยังไงก็ห้ามให้มันถูกกระแทกจนได้รับความเสียหาย”
“เจ้าค่ะ”จื่อรีบพยักหน้า กอดเอากล่องไม้นั้นไว้อย่างระแวดระวังเดินไปเดินมาในห้อง
กู้อ้าวเวยตบลงที่อกเบา ๆ แต่ทว่าเพียงครู่หนึ่งก็รู้สึกไม่มีกระจิตกระใจจะรับประทานอาหารต่อ ในใจกลับคิดถึงซ่านเซิ่งหาน ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ส่งของที่มีราคามหาศาลเช่นนี้มาให้ แต่เมื่อลองคิดกลับกัน นางช่วยซ่านเซิ่งหานมากมายขนาดนี้ ในท้ายที่สุดก็นับว่าควรจะรับเอาไว้ แล้วก็เก็บลงอย่างรู้สึกว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น
หลับสนิทตลอดทั้งคืน วันที่สองเรื่องราวขององค์ชายสามก็แพร่สะพัดออกไปจนทั่ว
กู้อ้าวเวยเห็นพ่อบ้านตำหนักอ๋องจิ้งมาแต่เช้าตรู่ เอาอาหารเช้าและยาน้ำต้มมาให้ แถมยังบอกกับนางอีกว่าอย่าให้เหนื่อยล้าจนเกินไป
“วันนี้เจ้าตามข้าก็แล้วกัน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าอ๋องจิ้งจะทรงสั่งผู้คนมาอีกสักเท่าไหร่ให้ตามพระองค์ พระชายาองค์ใหม่” ฉีหรัวรับเอากล่องอาหาร เอียงหน้ามองไปที่นาง ถูกเรียกว่าพระชายาใหม่ กู้อ้าวเวยก็ไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นเลยแม้แต่น้อย คิดเพียงแค่ว่าข่าววันนี้ว่านางได้จะได้ตบแต่งให้ทายาทของคนตระกูลหยูนอีกครั้ง ก็ดังสูสีพอ ๆ กับเรื่องสถาปนาองค์รัชทายาท
ก็ในเมื่อผู้คนต่างก็ชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทา
กู้อ้าวเวยจำใจต้องติดตามฉีหรัวมาถึงยังร้าน สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้พลิกบัญชีที่มีใบสั่งเกี่ยวข้องกับนางอย่างเบื่อหน่าย แล้วก็ดีดลูกคิดขึ้นบ่อย ๆ ช่างน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างที่สุด หาวหวอด ๆ อย่างเฉื่อยแฉะ จื่อพุ่งตัวยกเอาซุปโสมเข้ามาวางที่ข้างมือของนาง “เข้าไปข้างในไม่ดีกว่าหรือ คุณหนูรองพูดว่ารออีกสักครู่ฉีหยู่จะมา บอกว่าวันนี้ไปพบท่านพ่อมา”
แค่ได้ยินชื่อฉีหยู่เข้า กู้อ้าวเวยถึงได้รู้สึกตัวขึ้น เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม ร้านตัดเสื้อผ้านั้นก็กลายเป็นร้านเครื่องสำอาง อีกทั้งยังตั้งชื่อให้ว่าร้านฟางหัว เทียบกับร้านของฉีหรัวแล้วยังดูหรูหรามากกว่า เรื่องราคาไม่จำเป็นต้องพูดถึง
“ข้าดูอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน จะว่าไปฉีหยู่ก็เกลียดชังข้าจับใจ”กู้อ้าวเวยตักซุปโสมขึ้น มองไปทางจื่อ “ยู่จูล่ะ”
“บอกว่าถ้ามีคนใหญ่ ๆ โต ๆ ก็ต้องเรียกให้นางไปด้วย ไปเป็นที่เรียบร้อย”จื่อจับเข้าที่หน้าผาก
กู้อ้าวเวยเพียงแค่โบกไม้โบกมือ ไม่ว่ายู่จูจะทำอะไร ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางเต็มใจ หรือไม่ก็จำเป็นต้องทำ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาพูดเล่นเรื่อยเปื่อย ในทางกลับกันจื่อเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่สบายใจ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมกู้อ้าวเวยถึงไม่ช่วยยู่จู แต่เดินไปที่ด้านหลังกับหยินเชี่ยวสองคนคิดบัญชีกันง่าย ๆ
และฉีหรัวเองก็ได้ส่งให้คุณหนูผู้ร่ำรวยคนหนึ่งกลับไป เอนพิงกายอยู่ตรงโต๊ะ มองไปที่ด้างข้างประตู เพียงไม่ทันไร สตรีที่สวมใส่ไว้ด้วยชุดที่สวยงามก็เดินเข้ามา ฉีหยู่มีท่าทีที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่เมื่อได้เข้ามา สิ่งแรกที่ฉีหยู่เห็นกลับเป็นกู้อ้าวเวย กู้อ้าวเวยเพียงแค่เลิกผ้าคลุมหน้าออกแล้วยิ้ม “ไม่เจอกันตั้งนาน”
สีหน้าของฉีหยู่แปรเปลี่ยนไปในทันที เอ่ยขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นว่า “เจ้าปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งชายาอ๋องจิ้ง มิน่าล่ะวันนี้ถึงได้มาถึงสำนักเยียนหยู่เก๋อ”