บทที่ 380อ๋องจงผิง
ซ่านจินจื๋อยิ้มเบาๆ “อย่างไรก็ดี ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าด้วย”
ได้ฟังคำขอโทษเต็มๆแบบนี้ กู้อ้าวเวยก็รู้สึกว้าวุ่นใจ อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี
มองดูแล้วซ่านจินจื๋อจะมีความรู้สึกผิดมากกว่าที่นางคิด แต่ตัวนางเองก็ชัดเจนกับความรักภายในใจ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรู้สึกรักที่หลงเหลืออยู่ภายในใจ และอาจเป็นไปได้ว่าเคยอยู่ด้วยกันมานาน นางเพิ่งจะรู้ว่าบนโลกใบนี้มีคนที่เข้าใจตนเองแบบนี้อยู่
แต่กับนางนั้นซ่านจินจื๋อ มักจะขอโทษเสมอ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ นางก็พาลตำหนิและไม่พอใจตนเอง อาจพูดให้ชัดว่าอยากจะปลดปล่อยความโหดร้ายนี้ออกไป และจากไป แต่เมื่อได้อยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อจริง ๆ ความคิดทุกอย่างกลับว่างหายไป
อย่างเช่นตอนนี้ ซ่านจินจื๋อได้วางนิ้วลงที่หางตาของนาง แล้วพูดด้วยเสียทุ้ม “ชิงจือน่ารักมาก”
ร่างกายของกู้อ้าวเวยแข็งทื่อ นางไม่กล้าที่จะหันหลังกลับ
“เมื่อไร จะมีลูกเป็นของเราเอง” น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อเต็มไปด้วยความคาดหวัง
กู้อ้าวเวยอยากจะยอมรับแต่ก็ไม่ชอบใจในเดียวกัน หัวใจนางนั้นเหมือนโดนกระทบเบาๆ
“ข้าของีบสักหน่อย” สติของนางทำให้นางค่อยๆนำมือของซ่านจินจื๋อออกไป ย่อตัวลงที่มุมแล้วหลับตาลง เสียงลมนอกรถม้ายังดังอยู่ข้างหู ไม่หยุดหย่อน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว เพิ่งจะได้ยินเสียงของกงกง จากนั้นซ่านจินจื๋อจึงปลุกให้นางตื่นขึ้น ทั้งสองคนจึงมุ่งเข้าไปยังวังของไทเฮา
พระราชวังของไทเฮาตอนนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นวัดประจำพระราชวังหลวง เสียงของคัมภีร์ดังอื้ออึงอยู่ข้างหู ไทเฮารู้ดีว่าร่างกายของกู้อ้าวเวยไม่ค่อยดีเท่าไร รีบให้นั่งลง แล้วมองไปยังซ่านจินจื๋อ “เจ้านี่ก็จริง ๆเลย ทำไมถึงไม่ดูแลกู้อ้าวเวยให้ดี”
“เป็นเพราะลูกไม่ดีเอง” ซ่านจินจื๋อยังคงกุมมือของกู้อ้าวเวยไว้
กู้อ้าวเวยมาที่นี่อยู่หลายครั้ง ตั้งแต่เรื่องเชือกทวงชีวิตก่อนหน้านี้ จึงทำให้มีช่องว่างระหว่างนางกับไทเฮา แต่ไทเฮายังคงปฏิบัติกับนางดีมาก ทั้งสองคนใกล้ชิดเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
“กุ้ยมามา ไปเชิญหมอหลวงทั้งสองคนมาตรวจอาการพระชายา”
“ไทเฮา ข้าเองก็เป็นหมอ” กู้อ้าวเวยรีบออกปาก แต่กุ้ยมามารีบสั่งกงกงทั้งสองที่อยู่ข้างกายทันที”
ไทเฮามองไปยังนางอย่างไม่ค่อยจะพอใจ สายตาดูเย็นชาเล็กน้อย “แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นเจ้าดูแลตัวเองเลย”
ถูกคำพูดแบบนี้ทำให้พูดไม่ออก กู้อ้าวเวยได้แต่ลูบศีรษะของนางอย่างรู้ผิดชอบ ซ่านจินจื่อเงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พูดต่อไป “ข้ากับเวยเอ๋อกำลังจะมีเรื่องมงคล เสด็จพี่ต่างก็เห็นด้วยแล้ว และคิดว่าแบบนี้เป็นการดี อย่างไรกู้เฉิงก็ต้องรับผิดชอบ ทั้งราชสำนักก็มีคนพูดว่าพระชายานั้นประพฤติตนไม่ดี ยากที่จะรับผิดชอบ วิธีนี้เป็นทางที่ดีที่สุดที่จะปิดปากทุกคน”
“ข้าก็คิดว่าไม่เลวเลย เพียงแต่ในราชวงศ์ของเรายังไม่เคยมีเรื่องมงคลครั้งที่สอง เจ้าคิดว่าจะอธิบายอย่างไร” ไทเฮาขมวดคิ้ว กุ้ยมามาหยิบถ้วยซุปเสวี่ยหาให้กับกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง จึงขยับมือออกมา และกินซุปเสวี่ยหาอย่างเงียบๆ
“คิดไว้แล้ว แค่บอกว่าพระชายาแต่งงานเข้ามาในตำหนักในฐานะของลูกหลานของหยุนเซ่อ ความสบายใจของเรื่องนี้คือการที่หยุนเซ่อถูกพูดจาให้ร้าย ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักหรือจะเป็นหยุนเซ่อ มันเป็นข้อแก้ต่างที่ดี”
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ก็อาจเป็นวันที่ดีแล้วล่ะ” ไทเฮายิ้มหรี่ตา
“ต้นเดือนหน้าเป็นช่วงที่มีฤกษ์งามยามดี แม้จะไม่มีการตีฆ้องลั่นกลอง แต่ธรรมเนียมพื้นฐานก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” ซ่านจินจื๋อพูดจบ ก็หันไปมองกู้อ้าวเวย
นางยังคงถือถ้วยซุปเสวี่ยหาไว้ สีหน้าอิโรย และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สองแม่พูดกันอยู่มากมาย กู้อ้าวเวยกลับกินซุปไปแล้วสองถ้วยอย่างว่าง่าย อีกทั้งหลังจากได้รับคำวินิจฉัยจากหมอหลวง จึงออกใบสั่งยาไว้สองขนานเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยสถานที่นี้มีคนนอกอยู่ นางเก็บตัวยาที่จ่ายให้ตนเองไว้เป็นความลับ แต่หมอหลวงทั้งสองคนก็สามารถดูออก ใบสั่งยานี้มีสรรพคุณเหมือนกันกับตัวยาของนาง แต่ถ้าหากไม่ดื่มเข้าไป ซ่านจินจื๋อก็จะสงสัยได้
สิ่งหนึ่งที่โชคดีคือแพทย์เหล่านี้เฉลียวฉลาด ไม่นำเรื่องที่มีตัวยาในร่างกายนางพูดออกไป แต่มันก็ทำให้นางรู้สึกปวดหัว
ในขณะตกอยู่ในภวังค์มือก็กำลังถือยาอยู่ เสียงของไทเฮาก็ดังเข้ามา ”จริงสิ ได้ยินมาว่าเจ้าส่งชิงจือไปแล้ว ยังไม่ได้พามาให้ข้าได้ชื่นชมเลย”
กู้อ้าวเวยนิ่งไปชั่วครู่ ตอบออกไปอย่างรีบเร่ง ยิ้มอย่างทำอะไรมถูก “ชิงจือเป็นบุตรบุญธรรมของข้า แต่ท้ายที่สุดก็เป็นบุตรของคนในยุทธภพ ข้าเลี้ยงดูเขามานานแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นก็เอ่ยปากอยากพบบุตรของตน ข้าจึงได้ส่งกลับไป”
“ที่พูดมาก็ใช่” ไทเฮาเหงาหงอย มองไปยังซ่านจินจื๋ออย่างบอกอะไรไม่ถูก “เจ้าดูพี่ของเจ้าสิมีองค์ชายน้อยกันเท่าไรแล้ว แล้วดูเจ้า มีภรรยาแสนดีอยู่ในบ้าน ทำไมไม่ขยันสักหน่อย”
“อะแฮ่ม….” กู้อ้าวเวยสำลักน้ำชา
ซ่านจินจื๋อลูบไหล่ของนาง แล้วพูดไป “สุขภาพของเวยเอ๋อไม่ค่อยดี ก่อนหน้านี้…”
“ข้ารู้แล้ว” ไทเฮาเหมือนกับจะนึกถึงซูพ่านเอ๋อขึ้นมา และก็ร้อนใจ “เจ้าไม่กล้าไปยุ่งยากกับเวยเอ๋อก็ดี เรื่องของซูพ่านเอ๋อ ข้าก็ให้คำแนะนำต่อหน้าฮ่องเต้ไว้ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ไปได้ยินมาจากไหน ว่าตอนนั้นซูพ่านเอ๋อเป็นคนจงใจปกปิดเรื่องการระบาด…”
“เสด็จแม่ เรื่องนี้มันไม่จริง” ซ่านจินจื๋อนิ่งชั่วครู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้ารู้ เรื่องมีมีความกดดันมาตั้งนานแล้ว จากนี้ไปเจ้าก็ระวังหน่อย ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ อดทนกับซูพ่านเอ๋อได้สักพักหนึ่ง แต่ไม่อาจอดทนได้ตลอดชีวิต หากนางทำร้ายเจ้าอีก หากจะมองดูความรักความเอาใจใส่ดูแลครอบครัวของฮ่องเต้ ก็อาจจะถึงเวลาต้องกระชากหน้ากากนางเพื่อปกป้องเจ้า ถึงเวลานั้นก็มิอาจจะผิดพลาดได้อีก” เหมือนกับจะคิดถึงซ่านหลิงเอ๋อร์ขึ้นมา ดวงตาของไทเฮาค่อยๆจางลง
“ลูกได้ตักเตือนนางแล้ว” ซ่านจินจื๋อเริ่มมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้น
เมื่อเห็นว่าการสนทนานี้เริ่มมีความรุนแรงขึ้น กู้อ้าวเวยได้ใช้ผ้าเช็ดมุมปากของนาง แล้วลุกขึ้นยืน “ไทเฮา เวยเอ๋อรู้สึกว่าในห้องนี้อุดอู้ไปหน่อย ขอออกไปข้างนอกก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้อ้าวเวย ไทเฮาก็หัวเราะขึ้นมา “ไปเถอะๆ ถึงเวลากินอาหารก่อนแล้วค่อยไป”
กู้อ้าวเวยพยักหน้า กุ้ยมามาจัดหานางกำนัลที่ชาญฉลาดให้ติดตามไป และยังมีคนอีกมากคอยตามหลัง
ราวกับว่าคุ้นเคยอยู่ตลอด กู้อ้าวเวยมาที่นี่เฉพาะช่วงฤดูร้อนเมื่อมาถึงสระ ก็หยุดลงริมน้ำเพื่อให้อาหารปลา แต่กลับรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะตื่นตระหนก ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู “วันนี้ช่างบังเอิญ เจ้าตามเสด็จอามาหรือ”
ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยหันหน้ากลับไป มองเห็นองค์ชายสี่ในชุดสวยงามกำลังเดินมาจากทางเดินมาบนทางที่ปูลาดด้วยหิน แต่ไม่เห็นลี่วานอยู่ข้างกาย
“ดูเหมือนว่าร่างกายของเจ้าจะดีขึ้นแล้วนะ” กู้อ้าวเวยยิ้ม และยื่นอาหารปลาให้เขาครึ่งหนึ่ง “วันนี้มาหาเสด็จแม่ของเจ้ารึ”
“ใช่ข้ามาหานาง และก็จะไปคารวะท่านพ่อด้วย” ซ่านเชียนหยวนมีความสุขุมมากกว่าเมื่อก่อนอยู่ไม่น้อย หลังจากเขาฟื้นมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น ได้ยินมาว่าตามฉีหรัวไปร้านค้าทุกวัน ไม่คิดจะพูดถึงหรือพบหน้าลี่วาน อีกทั้งยังไม่ยุ่งเกี่ยวงานราชการ ก่อนหน้านี้เคยถูกฮ่องเต้ตำหนิมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจ
“เสด็จพ่อจะแต่งตั้งให้ข้าเป็น อ๋องจงผิง ไปยัง เมืองอินโจว” ซ่านเชียนหยวนพูดให้ฟัง
กู้อ้าวเวยนิ่งไปชั่วขณะ แล้วพูดไปเบาๆ “ขอเพียงแต่เจ้าชื่นชอบ จะไปที่ไหนมันก็เป็นดินแดนวิเศษ”
แต่ซ่านเชียนหยวนจ้องมองนางอยู่นาน แล้วพูดขึ้นเบาๆ “น้องหกก็อยู่ที่นั่น