บทที่ 381 เวรกรรมตามสนอง
กู้อ้าวเวยเบิกตาโตขึ้น อาหารปลาที่อยู่ในมือตกกระจายลงบนพื้นจนเรี่ยราด
นางกำนัลล้วนคิดอยากเข้ามาช่วยเก็บ แต่ กู้อ้าวเวยกลับมีใบหน้าที่เย็นชาลงเดินออกห่างจากพวกนาง มีเพียงสายตาตื่นตะลึงจ้องมองไปยังซ่านเชียนหยวน “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฮ่าวเอ๋อสบายดี ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนศิลปวิทยาการ ได้ยินมาว่าโรงเย็บปักทอผ้าที่อยู่ติดกัน มีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่ต่างพากันตกหลุมรักเขา นี่เป็นเรื่องที่ได้รับทราบมา นี่เป็นเรื่องที่ท่านเมิ่งไปสืบเสาะหาความมาได้ ข้ามีเพียงหน้าที่นำมาแจ้งกับท่าน” ซ่านเชียนหยวนยิ้มมองนางจนตาหยี
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ซ่านเซียนหยวนก็ไม่รู้ว่าไปตกเอามีดเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาได้จากที่ไหน ด้ามจับของมีดดูเรียบ ๆ โบราณ บนมีดเล่มเล็กนั้นมีรอยสีดำ ๆ
“นี่เป็นของที่เขาไหว้วานให้คนมาส่ง กำชับเอาไว้ว่าต้องส่งให้ถึงมือของเจ้า มีดเล่มนี้เป็นมีดโบราณที่เขาหามาได้มาจากสถานที่เล็ ก ๆ ที่เรียกว่า หยุนอี้ อีกทั้งยังบอกอีกว่าแต่ก่อนเขานั้นยังไม่รู้ว่าเหลียนจื่อเกิงเป็นมีดของหมอ ใช้เพียงแค่สิ่งนี้เอามาใช้แทน”
กู้อ้าวเวยรับเอาหยุนอี้ไว้ วางไว้บนมือแล้วเดาะเล่นในมือไปมา ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เขาไม่สามารถปล่อยวางข้าได้เลยนะ”
“พูดอย่างกับว่าเจ้าปล่อยวางเขาได้แล้วอย่างนั้น ชั่วชีวิตนี้ของเขาต่างก็ยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องเจ้า”ซ่านเซียนหยวนกลอกตาอย่างอ้อยอิ่ง กระพริบตาปริบ ๆ จ้องมองนาง “แต่ก็รอให้ข้าไปอินโจวแล้ว ข้าจะพยายามโน้มน้าวให้เขาตกแต่งเมียแล้วก็มีลูกมันไปเสียเลย ได้ยินมาว่าที่โรงเย็บปักทอผ้านั้นมีหญิงสาวที่ดูท่าทางใช้ได้เลยทีเดียว ในตอนแรกก็เป็นแม่นางผู้นั้นที่รับเขาเอาไว้คอยดูแล จะต้องมีสักวันที่เขารับรู้สิ่งนี้ได้”
“งั้นเจ้าล่ะ?”กู้อ้าวเวยเอาหยุนอี้ห้อยไว้ที่เอว จ้องมองไปที่เขา
ซ่านเซียนหยวนบิดจมูกไปมา “ข้าไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไปช่วยฉีหลินฉีหรัวเอาร้านไปเปิดที่อินโจวจะดีเสียกว่า”
“อย่างนั้นลี่วานจะทำยังไงกัน?ถึงแม้ว่านางจะถูกคนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ แต่แท้จริงแล้วก็มีน้ำใสใจจริง……”
“ถ้าหากว่าเป็นน้ำใสใจจริงแล้วไซร้ เช่นนั้นก็จะต้องใส่ใจกับสิ่งรอบ ๆ ตัวของคนที่ตัวเองรักด้วย ตระกูลซ่านของพวกเราล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม่ประสาในความรัก ถ้าหากว่าชอบใครคนนั้น ก็จะไม่มีวันยอมให้คนผู้นั้นต้องมาได้รับบาดเจ็บแม้สักเพียงเล็กน้อย แล้วก็รับไม่ได้ด้วยที่จะต้องมาโดนหักหลัง ” ซ่านเซียนหยวนกล่าวถึงตรงนี้แล้ว ก็ไม่สามารถปกปิดสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดรวดร้าวใจตรงนี้ไปได้
กู้อ้าวเวยนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ได้คิดจนทะลุปรุโปร่งแล้ว หยิบเอาเหลียนจื่อเกิงที่อยู่ตรงเอวขึ้นมา ยัดเข้าไปในมือของซ่านเซียนหยวน “นี่มันเป็นมีดหมอ ข้าใช้ไม่ได้หรอก ต่อไปในภายหน้าถ้าหากเจ้าได้พบกับหมอเทวดาแล้ว ก็เอาของสิ่งนี้ไปให้นางเถอะ”
“แต่นี่มันเป็นของที่ฮ่าวเอ๋อให้กับเจ้านะ”ซ่านเซียนหยวนรู้สึกว่าเปลือกตากระตุกขึ้น “ต่อให้เจ้าจะอยากให้เขาตัดใจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายคนเสียขนาดนี้ก็ได้”
“ทำให้เขาเสียใจ ถึงจะได้ให้คนอื่นเข้าไปปลอบใจห่วงใยเขาได้ยังไงล่ะ”กู้อ้าวเวยหัวเราะคิกคักน้อย ๆ พลางจ้องมองไปที่เขา กำปั้นกระแทกเข้าไปยังบริเวณหัวไหล่ของเขา “อีกทั้ง ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจะต้องมีเป้าหมายสักอย่าง เหลียนจื่อเกิงนี่ก็เป็นเป้าหมาย ต่อไปจะต้องช่วยเหลียนจื่อเกิงของข้าให้ไปเจอกับเจ้านายที่ดี ๆ”
พูดจบ กู้อ้าวเวยก็หยัดกายลุกขึ้นยืน ใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ ลูบไล้ไปที่ หยุนอี้ แล้วก็พานางกำนัลพร้อมทั้งพวกขันทีเดินจากไป ซ่านเซียนหยวนจ้องมองเหลียนจื่อเกิงที่อยู่ในมือ ใช้มือคลำหน้าผากป้อย ยิ้มขึ้น ยกฝ่ามือหนาโบกขึ้น คุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ส่งคนให้ไปหาหมอเทวดาที่อินโจว ดูว่ามีใครบ้างที่เหมาะสมกับเหลียนจื่อเกิงเล่มนี้”
บ่าวรับใช้ทั้งสองคนจ้องมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ก็เห็นเพียงแค่ซ่านเซียนหยวนที่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
กู้อ้าวเวยเดินออกมาจากแถวสระบัวในสวน ก็มองเห็นซ่านจินจื๋อที่กำลังรอคอยอยู่ตรงปากทางเดิน
“เจ้านี่ทำให้บรรดาองค์ชายต่างก็ต้องมาใจสลายเสียจริง ๆ”ซ่านจินจื๋อจับมือของกู้อ้าวเวยไว้อย่างเบามือ จูงให้นางเดินไปยังตำหนักของไทเฮา
“ตระกูลซ่านของพวกพระองค์ ช่างให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคน องค์ชายพวกนั้นหม่อมฉันเองก็ชอบมากจริง ๆ”กู้อ้าวเวยพูดพลางก็กวาดตาไปมองทางซ่านจินจื๋อทีหนึ่ง “พูดไปมันก็ดูแปลก ๆ ตระกูลซ่านของพวกพระองค์ต่างก็ไม่ประสาในความรู้สึกขนาดนี้ ทำไมต้องให้หม่อมฉันมั่นคงเด็ดเดี่ยวในความรู้สึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้เป็นดั่งหญิงที่ใจโลเลคล้อยตามไปสายลมยังจะดีเสียกว่าอีก”
เหมือนกับจะเป็นเรื่องตลกขบขัน ในใจของซ่านจินจื๋อก็ยังมีความรู้สึกไม่พึงพอใจอยู่ดี ถลึงตาจ้องมองนาง “เจ้ากล้า”
“ทำไมหม่อมฉันต้องไม่กล้าด้วย ดู ๆ ไปแล้ววิทยาการฝีมือทางการแพทย์ของหม่อมฉันก็เป็นเลิศ รูปร่างหน้าตาก็งดงาม อายุก็กำลังพอดิบพอดี จะอยู่กับใครก็ล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่า จำเป็นด้วยหรอที่ต้องมาทนกับคำนินทาว่าร้ายคอยยุแยงปลุกปั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากพ่านเอ๋อของพระองค์” ประโยคนี้ของกู้อ้าวเวยนั้นดูทีเล่นทีจริง
“ตอนแรกก็เป็นนางจริง ๆ ……”
“ตอนนี้พระองค์เองก็รู้ แต่กลับไม่เต็มใจที่จะวางมือจากนาง คงจะเป็นรักแท้ละสิ”กู้อ้าวเวยค่อย ๆ ดึงมือตัวเองกลับออกมา “พวกพระองค์ต่างก็ล้วนไม่ประสาเรื่องความรู้สึก ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางทำร้ายจิตใจของคนที่รัก อย่างนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหม่อมฉันไม่ได้ใจของพระองค์ ทำไมพระองค์ถึงต้องลำบากมาฉุดรั้ง ให้หม่อมฉันต้องอยู่”
กู้อ้าวเวยเดินนำขึ้นไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ด้วยเกรงว่าซ่านจินจื๋อจะทำท่าทีบางอย่างที่ดูสนิทสนมกับตนเองอีก
ความอบอุ่นที่อยู่ตามเรียวนิ้วมือก็แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น ซ่านจินจื๋อจ้องมองใบหน้าด้านข้างของกู้อ้าวเวยที่เอียงหน้ามา ในใจก็ยังไม่รับรู้ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อซูพ่านเอ๋ออย่างไรก็จะไม่มีวันแปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น ไม่ว่าซูพ่านเอ๋อจะทำเรื่องอะไรเขาจะไม่มีทางทำร้ายนางได้ แต่ความสัมพันธ์ของนางและกู้อ้าวเวยก็ได้สูญเสียไปแล้วทั้งความเชื่อใจ ความรัก ล้วนเต็มไปด้วยผลประโยชน์และแผนการ
อย่างนั้นเพราะอะไรกันเขาถึงไม่เต็มใจที่จะปล่อยวางไปเสีย?
ซ่านจินจื๋อเองก็ยังหาคำตอบนั้นไม่พบ รู้เพียงแค่ว่าคิดแบบนี้ แล้วก็ต้องทำเช่นนี้ต่อไป
“พระองค์ค่อย ๆ คิดหาคำตอบเอาก็ได้ ก่อนถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะแสดงละครกับพระองค์อย่างดีว่าพวกเราเป็นสองสามีภรรยาที่มีใจกลมเกลียวรักใคร่” กู้อ้าวเวยผละตัวออกจากมือของเขา แล้วก้าวเท้าเดินไปยังเบื้องหน้าต่อไป
ซ่านจินจื๋อคิดไตร่ตรอง สีหน้าเคร่งขรึมและก็เดินติดตามไป
แล้วก็เป็นดังคำพูดของกู้อ้าวเวยที่ได้กล่าวไว้ เมื่ออยู่ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกับไทเฮาแล้วก็แสดงท่าทีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักออกมาให้เห็น และก็ยังแสดงออกมาอย่างสมจริงในตอนที่ฮ่องเต้ได้เสด็จมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นหรือแผนการใด ๆ นางเพียงแค่ปกปิดสถานะของพระชายาจิ้งเอาไว้
รอจวบจนถึงตอนในยามพลบค่ำ ทั้งสองคนถึงได้นั่งอยู่บนรถม้ากลับไปยังตำหนัก
กู้อ้าวเวยหดตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุม จ้องมองไปที่ปลายเท้าของตัวเองอย่างเหม่อลอย
ตลอดทางไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ แต่เมื่อตอนที่ได้กลับมาถึงยังตำหนักแล้ว ซ่านจินจื๋อได้เดินตามหลังนางเข้ามายังวิหารเฟิ่งหมิง จวบจนคนทั้งสองได้ทอดกายลงบนเตียง เสื้อผ้าต่างก็พันกันเอาไว้ แต่ก็ยังไม่มีใครที่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำออกมา
วันที่สองเมื่อได้ตื่นขึ้นมา ซ่านจินจื๋อได้รับประทานอาหารเช้าไปเป็นที่เรียบร้อย แต่พ่อบ้านกำลังตะโกนร้องเรียกนางอยู่ที่ด้านนอก “พระชายา ชายาเก่าขององค์ชายสี่ แม่นางลี่วานได้มายังตำหนักร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย พระชายารองกำลังปลอบโยนอยู่พ่ะย่ะค่ะ……”
ชายาเก่า !
กู้อ้าวเวยรีบผุดตัวลุกออกมาจากเตียง แล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าถลาตัวไปอยู่ที่ด้านข้างของสวน ก็มองเห็นลี่วานที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าของกู้จี้เหยา ที่ด้านข้างของกู้จี้เหยามีฮัวลี๋เพิ่มมาอีกคน ที่บนโต๊ะยังวางสิ่งหนึ่งที่เรียกกันไว้ว่าว่าเป็นใบหย่า
“พระชายา……”แค่เห็นกู้อ้าวเวยเข้า ลี่วานก็ผุดตัวลุกขึ้นยืน
กู้อ้าวเวยกวาดตาไปมองเข้าที่หนังสือหย่าที่วางอยู่บนโต๊ะ โบกมือไปมาอย่างจนปัญญา “ตอนแรกเป็นความผิดของเจ้า เดิมทีเจ้าควรจะรับผิดชอบ”
“หรือว่าเจ้าจะยอมทนเห็นเขาจากไปต่อหน้าต่อไปได้ใช่ไหม?ถ้าหากว่าเขากลายเป็นอ๋องจงผิงได้ ต่อไปจะเจอเจ้าก็คงยากแล้ว”
“เป็นมิตรที่ดีกับเขาแล้ว ข้าจะไม่เรียกร้องพบเจอกับเขา ขอเพียงแค่ให้ชีวิตนี้ของเขาราบรื่นเติบใหญ่ นี่เป็นทางที่เขาเลือก เรื่องที่ทำ ข้าทำได้เพียงแค่สนับสนุน”กู้อ้าวเวยเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของนาง เช็ดน้ำตานางจนแห้งสนิท
ท่าทีของลี่วานที่ได้ถูกขับไล่ออกมากับในปีนั้นที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องจิ้ง ในตอนนั้นช่างมีความน่ารัก แต่ทว่าสภาพในตอนนี้แล้วไซร้ กลับมีสภาพที่แตกต่างราวกับไม่ใช่คน
“ถ้าหากว่าเจ้าไม่เต็มใจจะปล่อยมือ ก็จงติดตามไปด้วยใจที่ยังยึดติด ถ้าหากว่าเจ้าเต็มใจจะปล่อยวางแล้ว ก็เอาเงินของเขาแล้วไปหาคนดี ๆเสีย เดิมทีเจ้าก็เป็นหมากในมือของพวกผู้ใหญ่ มีเพียงแค่รับรู้ถึงความสำคัญของตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเส้นทางที่ยิ่งใหญ่บนสรวงสวรรค์เหมาะกับตนเอง หรือว่าเส้นทางเล็ก ๆ บนกรวดทรายที่เหมาะกับตัวเองกันแน่”
เมื่อพูดจบแล้ว กู้อ้าวเวยก็ทำแค่เพียงยกมือขึ้น ออกคำสั่งให้เอาเงินสองพันตำลึงมอบให้กับนาง แล้วไล่นางออกไป
เสียงร่ำไห้ ๆ ค่อย ๆ ลอยห่างออกไป แต่กู้อ้าวเวยกลับจ้องมองไปที่กู้จี้เหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เรื่องขององค์ชายสี่ เจ้าก็กล้าเข้ามาจัดการ?”