บทที่ 384 ความลำบากที่มีเกียรติ
พระราชวังมีอิฐและกระเบื้องที่กองพะเนินรายล้อมดั่งกรงที่ห้อมล้อมกักขังเอาไว้
ต้วนโฉงนับตั้งแต่เล็กมาก็รู้ถึงเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ทว่าท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลทวนท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างบรรดาองค์ชาย เขายังคงหยุดอยู่ตรงนี้ และก็อยู่ในกรงแห่งนี้จัดการให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกอย่างไม่รู้เหน็ดไม่รู้เหนื่อย
ชุดลายมังกรที่สวมใส่ไว้ ถึงแม้เขาจะมายังตำหนักของไทเฮาก็ยังจำเป็นต้องแสดงความเคารพอยู่ดี
“ฝ่าบาท วันนี้เสด็จมา มีธุระอันใดเพคะ?”ไทเฮาโบกมือให้กับเขาอย่างท่าทีใจดี แต่ดวงตาทั้งคู่ของต้วนโฉงกลับยังคงเยียบเย็น ทำท่าทีแสดงความเคารพเดินมาอยู่ข้างกายของไทเฮา
“วันนี้มา ก็ด้วยเรื่องสถาปนาแต่งตั้ง เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ หม่อมฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของเสด็จแม่”
ต้วนโฉงพูดจบลง กงกงที่พอจะจับเลาเรื่องทั้งหมดได้ก็ได้ไล่ให้พวกนางกำนัลออกไปเป็นที่เรียบร้อย
พระหัตถ์ของไทเฮาที่ได้ประคองถ้วยชาอยู่ก็หยุดชะงักลง มองสำรวจลูกชายที่บัดนี้ได้มีพระเกศาเป็นสีขาวอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “โฉงเอ๋อ……ในที่สุดเรื่องนี้ก็ต้องมอบให้เจ้าเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง หญิงหม้ายเยี่ยงแม่ไม่อยากจะออกหน้าด้วยเรื่องนี้อีกแล้ว”
“แต่ในปีนั้น ก็ด้วยน้ำมือของเสด็จแม่ที่ผลักให้หม่อมฉันไปอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้ และเสด็จพ่อก็ได้พรากเอาความรักทั้งชีวิตของหม่อมฉันไป”สายตาของต้วนโฉงกวาดมองตรง ๆ ไปยังไทเฮา
“ทุกอย่างของในปีนั้น ล้วนแล้วแต่ถดถอยไม่ได้มีความก้าวหน้า ถึงแม้จะได้รับความสูญเสียมากมาย แต่ภายใต้ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ก็ล้วนทำให้ทุกอย่างมันสงบลงได้”ไทเฮาไม่ได้มีความรู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
แม่ลูกสบตากันเป็นเวลานาน ต้วนโฉงเพียงแค่ถอนหายใจออกมายาว ๆ หนึ่งที ค่อย ๆ ยกมือขึ้น “เมื่อสองปีก่อนหน้านี้ หม่อมฉันคิดเพียงแค่ว่าถ้าอ๋องจิ้งเลือกพระชายาที่ปราดเปรื่องสักคน ก็จะช่วยผลักดันให้เขาก้าวสู่ตำแหน่งของฮ่องเต้ สืบทอดราชบัลลังก์”
“เวยเอ๋อเป็นหญิงสาวที่ดีพร้อมจริง ๆ”ไทเฮาเองก็พยักพระพักตร์เห็นด้วยอย่างจริงจัง
“แต่ใจของเขากลับไม่ได้อยู่ที่นี่ เรื่องราวที่เขาได้ทำในหลายปีมานี้ หม่อมฉันได้มองเห็นมาโดยตลอด”สายพระเนตรของ ต้วนโฉง ก็มีความแหลมคมขึ้น เขาผุดตัวลุกขึ้นยืน ไขว้มือไว้ด้านหลังเดินตรงมาที่เบื้องหน้าของไทเฮา “เขา……ช่างไม่รู้พระทัยของเสด็จแม่ เดิมทีนี่มันเป็นของที่ควรจะตกมาอยู่ในมือของเขาอย่างง่ายดาย ในตอนนี้ กลับถูกความละโมภของเขาผลักให้มันยิ่งไกลออกไป”
ไทเฮาขมวดคิ้วขึ้น วางถ้วยในมือลงแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ในปีนั้น คนที่ควรจะได้รับสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้จริง ๆ แล้วคือซ่านจินจื๋อ แต่ ต้วนโฉงมาแทนที่ซ่านจินจื๋อเป็นเวลานาน เหตุผลประการแรกก็คือในตอนนั้นที่ฮ่องเต้ได้เสด็จสวรรคต ซ่านจินจื๋อเองก็ยังไม่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างบริบูรณ์ ในตอนที่ยังเล็กนั้นก็ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นรัชทายาท ประการที่สองก็คือฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าไม่ชอบลูกชายคนนี้ จึงตั้งใจที่จะคอยระวัง
ในทางกลับกัน ต้วนโฉงกลับได้รับความรักความพอพระทัยจากฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ทว่าในท้ายที่สุด ก็เป็นต้วนโฉงที่ได้คว่ำบัลลังก์พระบิดาลง คอยทำลายพี่น้องอยู่อย่างลับ ๆ ไปไม่น้อยกว่าจะได้มาอยู่ในตำแหน่งเฉกเช่นทุกวันนี้ เดิมคิดอยากจะหลบหนีไปพร้อมกับคนที่ตัวเองรัก เพียงแค่ว่าช่างน่าเสียดายที่เรื่องราวมันจะไม่เป็นไปตามใจที่คิด
ก่อนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนจะเสด็จสวรรคต ได้รับสั่งว่าคนรักที่อยู่ห่างไกลคนนั้นของพระองค์ได้ทำความเสื่อมเสียให้กับบ้านเมือง ให้ต้องโทษประหาร
เมื่อรอจนเขากลับมา สภาพของคนรักก็ไร้ซึ่งลมหายใจและวิญญาณ และซ่านจินจื๋อเองก็ยังไม่ทันได้กลับมา เขาถึงได้นั่งอยู่บนตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง “ถ้าหากว่าเป็นไปตามนัดหมายเดิม หม่อมฉันควรจะสละตำแหน่งฮ่องเต้นี้ให้กับเขา” ต้วนโฉงทอดพระเนตรไปทางไทเฮาอย่างอับจนหนทาง “แต่จำต้องให้ซูพ่านเอ๋ออยู่ในวันนั้น หม่อมฉันจะไม่มีทางมอบตำแหน่งฮ่องเต้นี้ให้กับเขา หลายปีมานี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจ”
“ถึงแม้จะบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาสตรีไม่ใช่ตัวหายนะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติบ้านเมือง แต่ความใจกว้างของสตรีนี้เองกลับกลายเป็นอาวุธอันแหลมคม”ไทเฮารับคำของต้วนโฉงนี้เอามา ถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าหากว่าเวยเอ๋อสามารถมาแทนที่ซูพ่านเอ๋อ ออกนโยบายให้กับอ๋องจิ้ง ทำงานเพื่อราษฎรแล้วนั้น ก็คงจะดีเป็นอย่างมาก”
ต้วนโฉงหัวเราะออกมาเบา ๆ
ในวันนั้นที่เขาได้พบกับกู้อ้าวเวยเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของกู้อ้าวเวยหรือวิธีการปฏิบัติ นางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของการเป็นฮองเฮาในอนาคต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นผู้มีจิตใจดำรงคุณธรรม ถึงแม้จะเป็นหญิงที่ทำความผิดไม่ควรจะมีโอกาสได้พูด
แต่ทว่า เค้าเองก็มองตาของกู้อ้าวเวยออก
สายตาที่ไม่ได้เต็มใจจะอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานาน ดวงตาคู่นั้นที่มีความหลักแหลม
คนเช่นนี้ จะต้องมีสักวันที่ปีกจะเติบใหญ่ พร้อมจะโบยบินออกไปที่ด้านนอกของกำแพง “เรื่องของโรคภัยในครั้งนี้ หม่อมฉันรู้สึกพึงพอใจองค์ชายสาม ถึงแม้ว่าในเพลาปกติหม่อมฉันจะไม่มีเวลาที่ได้คอยสั่งสอนเขา แต่ด้วยจิตใจที่มีคุณธรรมของเขา ทำกิจการงานอย่างสุดความสามารถ”เมื่อพูดถึงองค์ชายสาม ต้วนโฉงก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากฉีกยิ้มขึ้น “อีกทั้ง เรื่องของเสี่ยวเจนั้น หม่อมฉันเองก็คิดไม่ตกไม่หลายต่อหลายปี น่าเสียดายที่ว่าเทียนเหยียนมีเรื่องราวที่ขุนน้ำขุนนางคิดจะปกปิดมากจนเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเสนาบดีเพียงไม่กี่คนที่จะกล้าพูดแนะนำ แต่เขากลับใช้ความอุตสาหะของตนเอง มีความต้องการที่จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด เมิ่งซู่ข้าราชสำนักคนนี้เองก็พลอยมีใจกล้าหาญตามไปด้วย ไม่ยึดติดกับพวกพวก นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
ได้สดับฟังคำของ ต้วนโฉง แล้ว ไทเฮาเองก็เริ่มมีคล้อยตามไปด้วย
ตรึกตรองไปแล้ว ไทเฮาก็ยกมือขึ้น วางตบลงเบา ๆ บนไหล่ของต้วนโฉง เหมือนกับในตอนที่ยังเป็นเด็กแล้วค่อย ๆ ปลอบโยน เพียงแค่ว่าไหล่นั้นในวันนี้ช่างสูงมากจนเกินไป “พระองค์คิดได้แบบนี้ ก็นับว่าดีแล้ว”
ครั้งนี้กลับเป็นต้วนโฉงที่ไม่เข้าใจ “เสด็จแม่ หรือว่าพระองค์เองก็เห็นด้วยที่หม่อมฉันจะยกราชบัลลังก์ให้กับองค์ชายสาม แต่ไม่ใช่……”
“ราชสมบัตินับร้อยปีของชางหลาน เดิมทีมอบให้กับผู้มีคุณธรรม แต่ไม่มอบให้กับสายโลหิต ไม่เช่นนั้นแล้วสมบัติทั้งหลายคงได้วอดวายไปเสียสิ้น”ไทเฮาค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลง ดวงตามีหยาดน้ำตาคลอเบ้าจ้องมองไปที่ ต้วนโฉง “เพียงแค่ว่ามันช่างน่าเสียดาย ที่แม่ผู้นี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็รู้สึกผิดต่อพระองค์ ……ในปีนั้นถ้าหากหม่อมฉันไม่ได้ทำร้ายฮ่องเต้องค์ก่อน…… ”
“เสด็จแม่” ต้วนโฉงพูดขัดไทเฮาขึ้น ค่อย ๆ ทรุดกายคุกเข่าลง เงยหน้าจ้องมองไทเฮา “หม่อมฉันเกลียดเสด็จพ่อไปชั่วชีวิต พระองค์ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อหม่อมฉันเลยสักน้อย หม่อมฉันรู้สึกวางใจที่มีพระองค์คอยดูแลวังหลังให้สงบเรียบร้อย”
ในเพลานี้รอบดวงตาของไทเฮาหลายเป็นสีแดง ๆ
เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักของไทเฮา นัยน์ตารู้สึกเป็นอิสระ แต่ตอนที่กุ้ยมามาเข้าไปในตอนนั้น ก็ได้มองเห็นสีพระพักตร์ของไทเฮาที่ดูดีขึ้น รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าภายใต้วังหลวงแห่งนี้ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่กำแพงมีหู ประตูมีช่อง ข่าวเรื่องฮ่องเต้มีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาทก็ได้แพร่สะพัดออกไป เข้าหูเหล่าบรรดาสนมของฝ่าบาทและท่านอ๋องต่าง ๆ ไม่ใช่น้อย แม้กระทั่งสายลับที่ซ่านจินจื๋อมีอยู่ในวังก็ล้วนแล้วแต่รู้เรื่องนี้
ในช่วงยามพลบค่ำ กู้อ้าวเวยถึงได้ตื่นขึ้นจากโต๊ะหนังสือ จื่อที่อยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวเข้า ก็รีบไปห้องครัวเล็กจัดเตรียมอาหาร
กู้อ้าวเวยจ้องมองไปที่ความมืดดำสนิทที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง ถึงรู้สึกตกใจที่ตัวเองผล็อยหลับไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว ในตอนนี้ที่ลุกขึ้นมา ก็ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ที่ด้านหลังมีลมเข้ามา เมื่อกู้อ้าวเวยรู้ตัวขึ้นก็หันหน้าไปมอง คนที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก
“เจ้ายังกล้ามา รู้ไว้เสียด้วยความสำนักเยียนหยู่เก๋อมีประโยชน์ต่ออ๋องจิ้ง”กู้อ้าวเวยผ่อนคลายความตึงเครียดลง ทรุดกายนั่งลงอีกครั้งอย่างสุดปัญญา นวดไหล่ที่อ่อนล้า
ซ่านเซิ่งหานที่รีบมาในยามดึกดื่นค่อนคืนหัวเราะเบา ๆ แล้วยืนอยู่ข้างกายกู้อ้าวเวย นำเอาคำพูดที่วันนี้ฮ่องเต้มีรับสั่งกับไทเฮาเอามาพูดอีกรอบ
กู้อ้าวเวยเห็นซ่านเซิ่งหานที่ดูเหมือนว่าจะดีอกดีใจ กลับใช้ด้ามพู่กันเคาะลงบนหลังมือของเขาเบา ๆ “ฮ่องเต้มีความปราดเปรื่อง เกรงว่าจะเป็นข่าวคราวที่จงใจปล่อยออกมา ทำให้เจ้ากลายเป็นเป้าหมายเสียแทน”
“ต่อไปถ้าหากว่าได้เป็นรัชทายาทแล้ว ก็จะต้องตกเป็นเป้า แล้วถ้าตอนนี้จะเป็นแบบนั้นแล้วมันจะเป็นอะไรไป?”ซ่านเซิ่งหานนวดบนหลังมือเบา ๆ ค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลง “ตอนนี้ข้าควรจะทำตัวให้มันดี ๆ หน่อย ถ้าหากว่าเป็นไปได้ละก็ ตำแหน่งรัชทายาทนั้น……”
“ไม่มีทาง”กู้อ้าวเวยถลึงตามองเขา เห็นซ่านเซิ่งหานที่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการรับรองจากเสด็จพ่อ ในช่วงตอนนั้นก็รู้สึกมีความฮึกเหิมลำพอง จำต้องพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทจงใจปล่อยข่าวนี้ ให้ผู้คนรับรู้ เพราะว่าอยากจะดู ว่าเจ้าจะจะมีท่าทีผยองลำพองหรือไม่ ต่อไปจะสามารถดำรงตนเป็นที่เรียบง่ายถ่อมตนได้หรือเปล่า ถ้าหากว่าตอนนี้เจ้าทำตัวให้ดี รีบไขว่คว้าตักตวงประโยชน์ไป จะกลับกลายว่าทุกอย่างจะต้องสูญเปล่า ”
ซ่านเซิ่งหานตะลึงงันไป “ถ้าเช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร”
“ทำตัวตามปกติ คอยระวังแผนการตลบหลัง”กู้อ้าวเวยสะบัดพู่กันในมือ เขียนลงไปบนกระดาษหนึ่งตัวอักษรว่า——กลมกลืน