บทที่ 398 หมู่บ้านหมอ
“ข้าไม่ได้เจตนา”
ซ่านจินจื๋อรีบทะยานมาด้านหน้าดึงนางเอาไว้แน่น “ก็แค่เพราะว่าเมื่อก่อนเจ้ากับองค์ชายสาม……”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร ไม่โทษเจ้าหรอก แค่หวังว่าเจ้าจะมีจิตใจเมตตาสักหน่อย เส้นทางตำแหน่งมกุฎราชกุมารของเจ้าอาจจะน่าเดินยิ่งกว่านี้” กู้อ้าวเวยที่ถูกดึงแขนเอาไว้ข้างหนึ่งหันไปมองเขาอย่างจำใจ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายว่าจะตำหนิแต่อย่างใด
ในใจลึกๆ ของซ่านจินจื๋อด่าว่าตนเองที่ถูกคำพูดของกู้เฉิงทำให้โกรธจนขึ้นหัว
“ข้าก็แค่……”
“ข้าเข้าใจเจ้ามากกว่าใครทั้งสิ้น” กู้อ้าวเวยจับข้อมือของซ่านจินจื๋ออย่างเบามือ มุมปากพกรอยยิ้มที่ราบเรียบไว้ “นี่เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว อย่าคิดว่าข้ากำลังโมโห แค่เตือนอย่างจริงใจ”
ไม่มีคำพูดใดในชั่วขณะหนึ่ง
กู้อ้าวเวยพกแค่สัมภาระเล็กๆ เอาคนติดรถที่เป็นวรยุทธ์สองคนติดไปด้วย แล้วก็จากไป
นางไม่ยอมให้ซ่านจินจื๋อส่งองครักษ์ใดๆ ตามติดนาง หากเป็นเช่นนี้แล้วจะทำให้นางยิ่งเป็นที่สังเกตมากขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่านจินจื๋อเคารพข้อตกลง ไม่ได้ส่งคนไปสะกดรอยตามนาง แต่วันข้างหน้า เขาอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ออกจากเมืองเทียนเหยียนไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างนอกหน้าต่างรถสวยงามมากเสียจริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีใครเคยจ้องมองตนเองอยู่ในที่ลับๆ ก็ออกจากแผนการชั่วร้ายเหล่านั้นมาชั่วคราว เหลือไว้เพียงเรื่องราวที่จะมาคิดถึงเรื่องในอนาคตของตนเองต่อ
การเดินทางในระยะเวลาสองวันไม่ได้นับว่าไกล คนติดรถสองคนจองสวนน้อยๆ ที่มีห้องสองห้องไว้ให้นาง ข้างนอกสวนนั้นใช้รั้วตาข่ายล้อมเอาไว้ ในสวนยังมีนั่งร้านองุ่นและรังนกน้อยๆ ด้วย แต่นกที่อยู่ด้านในถูกขายไปแล้ว ในห้องถูกทำความสะอาดอย่างหมดจด ก็นับได้ว่าพอใจยิ่งนัก สามีภรรยาที่มีอายุหน่อยที่อาศัยอยู่ข้างๆ ก็เอาขนมเปี๊ยะส่งมาให้ในตอนเย็น ดูเป็นมิตรกับนาง “แม่นางดูเหมือนว่าจะมาจากตระกูลที่มีชาติตระกูล ที่นี่ของพวกเขาดูจะแร้นแค้นไปหน่อย ได้เป็นเพื่อนบ้านกันสองสามวัน ก็ต้องทำให้ดีที่สุด หากไม่รังเกียจก็ลองชิมดูสักหน่อยเถอะ”
“ขอบคุณมาก ข้าก็ไม่ได้เกิดในตระกูลร่ำรวยอะไรนักหรอก เพียงแค่ได้เงินจากการตรวจไข้ พอคิดถึงจุดนี้ก็เลยอยากจะเรียนรู้อะไรเล็กน้อยจากที่นี่สักหน่อย” กู้อ้าวเวยคิดคำพูดที่เป็นหนทางเอาตัวรอดเอาไว้นานแล้ว
สามีภรรยาคู่นั้นพูดถึงเรื่องราวของหมู่บ้านนี้อย่างกระตือรือร้น ก็กลับไปแล้ว
ตลอดคืน เด็กน้อยสองสามคนที่อยู่ข้างบ้านก็โวยวายเสียงดัง ยากมากที่กู้อ้าวเวยจะนอนหลับได้สนิท จวบจนวันที่สองแสงแดดจ้าแล้วจึงจะตื่น คนติดรถสองคนเอาอาหารการกินจากโรงเตี๊ยมมาให้นางตั้งนานแล้ว ส่งเสร็จก็จากไป
กู้อ้าวเวยทานอาหารเที่ยงเสร็จ ไปเดินเล่นบริเวณโดยรอบ ก็พบว่าในหมู่บ้านนี้มีแค่ร้านตัดเสื้อและร้านเครื่องสำอางสองสามร้าน แม้แต่ร้านตีเหล็กก็มีแค่สองร้าน ร้านหนึ่งสามารถทำอาวุธง่ายๆ ที่ใช้ในการล่าสัตว์ได้ ยังมีอีกร้านหนึ่งทำของใช้ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเดินไปไหน ก็จะเห็นแต่บัณฑิตเต็มไปหมด
หาจนเจอศาลาที่เย็นสบายแห่งหนึ่ง ในศาลานี้มีหญิงชายไม่น้อยที่กำลังแข่งกันต่อโคลงกลอนอยู่นานแล้ว
นางฟังไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย จึงออกตัวถามหญิงสาวที่อยู่ข้างกายว่า “แม่นางรู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหนมีขายตำราทางการแพทย์”
แม่นางผู้นั้นแม้ว่าหน้าต่างจะธรรมดา แต่ทุกท่วงท่านั้นมีความเฉพาะตัว น้ำเสียงใสๆ “ที่นี่ไม่ขายหนังสือแต่ไหนแต่ไรมาอยู่แล้ว หากอยากอ่าน ก็แค่พกกระดาษกับพู่กันไปร้านยาที่ถนนซี ทั้งหมดก็ให้เจ้าดู แค่ต้องระวังอย่าทำเสียหาย”
“ขอบคุณแม่นางมาก” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างจริงใจเป็นธรรมชาติ คนที่นี่ไม่เลวจริงๆ
ถนนซีทางด้านนี้ดูเหมือนว่าจะมีแต่ร้านหมอ และคนที่มาจากที่อื่นส่วนใหญ่จะพักอยู่ที่นี่ระยะยาว คนไม่น้อยที่มารักษาโรคแปลกๆ ของตนเองที่นี่ ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่มาเรียนรู้ที่นี่เพื่อนำเอาความรู้ความสามารถกลับไป
แต่ร้านที่ขายพวกเครื่องเขียนเครื่องดนตรีนั้นกลับมีเพียงแค่ร้านเดียว เถ้าแก่ได้ยินว่านางจะไปเรียนรู้เรื่องยา จึงหัวเราะขึ้นมาทันที “พูดไปก็บังเอิญนัก หลายวันนี้ท่านหมอไม่น้อยที่ถนนซีต่างพากันรับศิษย์ แม่นางก็ลองไปดูหน่อยละกัน”
“ลูกศิษย์ไม่จำเป็นแล้ว ข้ามาที่นี่ก็เพียงเพื่อดูหนังสือ ไม่ได้เพื่อวิชาชีพ” กู้อ้าวเวยทำอะไรไม่ถูก หากจะคำนวณขึ้นมาจริงๆ ระยะเวลาที่นางเรียนนั้นมีหลายสิบปี มาถึงที่นี่จะต้องรู้ถึงสรรพคุณของยา ว่าที่แท้แล้วที่นางเรียนมาตอนนั้นมีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง
พูดจบ นางก็หยิบของแล้วก็จากไป
เถ้าแก่กลับรีบเรียกนางเอาไว้ “แม่นางช้าก่อน หากแม่นางมีฝีมือทางการแพทย์ที่ดี ข้ามีสถานที่ที่หนึ่งจะแนะนำให้ได้
กู้อ้าวเวยหยุดฝีเท้า ดึงผ้าปิดหน้าขึ้น มองไปที่เถ้าแก่
“ที่มุมถนนถนนซีนี้ มีฮูหยินคนหนึ่งกำลังเดินมา ร่างกายเจ็บป่วย บนร่างยังมีพิษติดตัวมาด้วย จ่ายเงินไปมากมายเพื่อหาคนรักษา แต่น่าเสียดายที่หมอของหมู่บ้านเรานี้พบเจอพิษมาน้อย จึงยากแก่การรักษา หากแม่นางมีวิธี ก็สามารถไปลองดูได้ ยังได้ค่าเสียเวลาอีกด้วย” เถ้าแก่ยังบอกนางว่ามีตำราทางการแพทย์หลายเล่มในร้านหมอนั้นด้วย จะว่าไปก็ดูกระตือรือร้นมาก
กู้อ้าวเวยเดิมทีคิดว่าจะไปหาเรื่อง แต่หลังจากคัดตำราได้ไปสองเล่ม ก็รู้สึกกระสับกระส่าย
รีบบอกลาหมอของที่นี่ กู้อ้าวเวยถือหนังสือที่คัดลอกอยู่สองเล่ม หิ้วโคมไฟค่อยๆ เดินมาถึงทางตันของถนนถนนซีนี้
ตรงทางตันนั้นมีโรงเตี๊ยมสองชั้นอยู่ตรงนั้นด้วย แต่อยู่เพียงหนึ่งคืนก็ต้องมีสองตำลึงแล้ว แม้ว่าในที่ของผู้เป็นหมอแห่งนี้ สถานที่ที่ต้องเสียเงินนั้นจะไม่นับว่าแพงเกินไป แต่ตามความคิดของชาวบ้านนั้นก็แพงไปหน่อย แม้แต่สถานที่เล็กๆ ของนางที่นั่น คำนวณขึ้นมาแล้วอยู่หนึ่งเดือนก็ใช้เพียงสิบตำลึงเท่านั้น
ก็ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นฮูหยินจากตระกูลไหน
เคาะประตู เถ้าแก่เนี๊ยถามนางว่ามาพักหรือมาทานอาหาร กู้อ้าวเวยถึงจะคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่ได้กินอะไรเลย รีบให้เถ้าแก่เนี๊ยทำอาหารให้หนึ่งโต๊ะ พลางถามว่า “เถ้าแก่เนี๊ย ได้ยินมาว่าที่นี่มีฮูหยินคนหนึ่งที่ถูกพิษ……”
“ใช่แล้ว ตอนนี้ยังมีหมอสองคนช่วยตรวจอาการอยู่ด้านบนน่ะ หากท่านอยากลองดู รออีกประเดี๋ยวตอนที่ข้าขึ้นไปส่งน้ำซุปก็จะลองถามให้ดู” เถ้าแก่เนี๊ยพยักหน้า รับเรื่องนี้แล้วก็เดินไป
กู้อ้าวเวยถอนหายใจอีกครั้งกับความเรียบง่ายของวัฒนธรรมพื้นบ้านของที่นี่ หลังจากกินอิ่ม เถ้าแก่เนี๊ยกลับไม่มา แต่กลับเป็นผู้หญิงที่คลุมผ้าบางเบาปิดหน้าเดินลงมา ข้างกายมีเด็กน้อยอายุราวๆ สิบห้าถึงสิบหกขวบติดตามมาด้วย บนหัวถักเปียสองข้าง ช่างน่ารักมาก
“ฮูหยิน ทำไมท่านถึงลงมาด้วยตัวเองล่ะ” เถ้าแก่เนี๊ยเช็ดมือ รีบขึ้นไปต้อนรับ
เด็กน้อยรีบดึงฮูหยินคนนั้นหลบไป ไม่ให้เถ้าแก่เนี๊ยถูกตัว
เถ้าแก่เนี๊ยทำตัวไม่ถูก แต่ยังยิ้มให้คนไปจัดโต๊ะอาหาร เด็กน้อยผู้นั้นจึงมีสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แต่ฮูหยินผู้นั้นกลับตีเด็กน้อยเบาๆ เหมือนกับว่าตำหนิ
ภายหลัง หมอที่ถือกล่องยาสองคนก็ลงมา ทักทายกับเถ้าแก่เนี๊ย แล้วค่อยๆ จากไป ก่อนจากไปนั้น เด็กน้อยผู้นั้นยังไปยัดเงินจำนวนเล็กน้อยใส่มือของแต่ละคน ก็กลับมาตักอาหารให้ฮูหยิน
กินข้าวแต่กลับไม่ถอดผ้าคลุมหน้าออก ช่างน่าแปลกเสียจริง
กู้อ้าวเวยพลางคิดไป พลางเอาอาหารง่ายๆ สองอย่างเข้าปากกินอย่างเรียบ แต่รู้สึกว่าจะขาดอะไรไป เอ่ยถามเถ้าแก่เนี๊ยว่า “เถ้าแก่เนี๊ย น่าจะยังมีน้ำซุปอะไรอีกนะ เอามาหนึ่งถ้วย”
“แม่นางช่างมีลาภปากเสียจริง วันนี้ยังมีน้ำซุปกระดูกหมู พร้อมกับรากบัวชั้นดี” เถ้าแก่เนี๊ยตบคนรับใช้เสี่ยวเอ้อข้างกาย คนรับใช้เสี่ยวเอ้อนั้นก็เอาซุปกระดูกหมูรากบัววางลง
กู้อ้าวเวยกินไปก็ถามขึ้นว่า “ฮูหยินคนนั้นถูกพิษอะไรหรือ มีหมอที่ตรวจเจอแล้วหรือยัง”
“คำพูดนี้พูดออกไป เถ้าแก่เนี๊ยยังไม่ทันจะตอบ เด็กน้อยคนนั้นกลับออกปากพูดว่า “หากตรวจเจอแล้ว ยังจำเป็นจะต้องจ่ายเงินเชิญคนมาทำอะไรมิทราบ”