บทที่407 ปล่อยอย่างไร
ในรถม้ามีเบาะนุ่มวางไว้ กู้อ้าวเวยก็นอนอยู่ระหว่างนั้น ส่วนคนที่รออยู่ข้างๆกลับเป็นท่านชายชุดขาวกับหลิ่วเอ๋อร์ ซ่านเซิ่งหานสั่งให้คนของตัวเองออกรถแล้วเอาป้ายทิงเฟิงโหลออกมาไม่ให้ใครเห็น
“หลังจากสองวันข้าจะตามไป แล้วก็ต้องรบกวนแม่นางหลิ่วเอ๋อร์ให้เอาใจใส่หน่อยนะ” ซ่านเซิ่งหานคำนับหลิ่วเอ๋อร์ ราวกับกู้อ้าวเวยคือคนของเขาก็ไม่ปาน
หลิ่วเอ๋อร์ไม่คิดว่าองค์ชายสามจะสุภาพเช่นนี้จึงพูดอย่างจำใจว่า “แม้เจ้านายข้าจะไม่ได้อยู่ที่เทียนเหยียนแต่ในใจก็ยังห่วงและคิดถึงพระชายาจิ้งหญิงสาวที่เป็นเพื่อนเก่านี้ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่นางหลุดออกมาจากการผูกมัดได้ พวกเราส่งเธอไปที่หลิ่งหนาน”
สองคนพูดคุยกัน ท่านชายชุดขาวคนนั้นกลับยกมือขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกดไปตรงที่ข้อมือของกู้อ้าวเวยก็ต้องขมวดคิ้ว
ซ่านเซิ่งหานมองการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้อยู่ในสายตาแล้วถามว่า “ท่านชาย หรือว่าสังเกตเห็นอะไร….”
“ไม่เห็นอะไร แต่แค่รู้สึกว่าที่ของราชสำนักมันสกปรกเท่านั้น” ท่านชายชุดขาวพูดแล้วมองซ่านเซิ่งหานอย่างเย็นชาเหมือนกับไม่ชอบ
แต่หลิ่วเอ๋อร์ก็จ้องเขาอย่างดุร้าย นี่จึงเป็นการหยุดเรื่องราวการสนทนาแล้วรีบพูดว่า “เวลาผ่านไปอีกสัก1ชั่วโมงฟ้าก็น่าจะสว่างแล้ว ก็จะไม่ควรไปละ”
ซ่านเซิ่งหานทำได้แต่ปล่อยคนไป ในใจเย่วก็มีความรู้สึกลำพองใจ
คนในทิงเฟิงโหลก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือว่าสามารถส่งกู้อ้าวเวยไปที่หลิ่งหนานได้จริงๆ กลัวว่าแค่เธอใช้เทคนิคอะไรเล็กๆน้อยๆก็สามารถทำให้กู้อ้าวเวยกลับมาที่ตำหนักอ๋องจิ้งอีกครั้ง แล้วโดนคนโจมตี
เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย สมุนนายหนึ่งรีบมาข้างๆซ่านเซิ่งหาน “เมื่อครู่นี้ท่านหญิงเหมือนจะส่งคนไปที่ด้านหลังตำหนักอ๋องจิ้ง ตอนนี้เป็นไปได้ว่าจะจับคนกลับมา”
ใจของเย่วดังตุ้บๆ ด้านซ่านเซิ่งหานก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “นางริษยาเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความผิดนางทีเดียวหรอก ส่งคนมาดูแต่ไม่สามารถทำให้ข่าวรั่วไหลได้สักนิด”
เย่วรู้สึกตะลึง แม้ว่าฉางอีฉินจะก่อเรื่องกี่ครั้ง ซ่านเซิ่งหานก็ไม่เคยเฉยเมยเช่นนี้
ผ่านไปสักพักก็ฟังซ่านเซิ่งหานพูดเบาๆว่า “ยังมีเย่วที่ยังอยู่ในตำหนักก็หาคนมาอีกกลุ่มหนึ่งมาดูแลตำหนัก ห้ามให้คนเห็นพิรุธเด็ดขาด”
ทั้งสองคนนี้เคยผ่านมือกู้อ้าวเวยมาก่อน เย่วจึงไม่กล้าโต้แย้งอะไรต้องจากไปอย่างจำใจ
เมื่อเย่วจากไปซ่านเซิ่งหานก็ย้อนกลับไปเทียนเหยียนแต่ก็มีสมุนมารายงานว่า “เมื่อครู่ท่านชายชุดขาวคนนั้นเป็นคนทรยศยุทธจักรสำนักเหลี่ยงหยี มีกังฟูที่แข็งแกร่ง แล้วก็เป็นนายของพัดกระดูกหยกขาวที่แต่ก่อนพระชายาจิ้งค้นหา มีนามว่าผิงชวน เบื้องหลังของนายคือฮูหญิงซ่างยุทธจักรที่มีชื่อเสียง
“ฮูหญิงซ่างกับทิงเฟิงโหลมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ซ่านเซิ่งหานขมวดคิ้ว
ฮูหญิงซ่างคือหญิงสาวที่เกิดออกมาจากฟากฟ้าเมื่อสิบปีก่อน มักปิดใบหน้าด้วยผ้าดำ แต่นางไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ แต่ในยุทธภพเล่นหมากรุกก็ได้กระดานหมากรุกอันวิจิตรแสนแพงมา แล้วเทวดาที่โด่งดังก็ทิ้งเข็มทิศไว้โด่งดังในคราวเดียว ตอนนี้ก็ยังอาลัยอาวรณ์ยุทธจักรแต่ก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร
ส่วนทิงเฟิงโหลเป็นโรงน้ำชา ตรวจดูดีๆ แต่ก็จะพบพ่อค้ารายย่อยที่มีชื่อเสียงบางส่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทิงเฟิงโหลที่เปิดไปทุกหนแห่งมีประมาณสิบกว่าตึกแต่กลับทำธุรกิจมาตรฐาน แวบแรกมองไม่ออกว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร
“ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่ผิงชวนก็ดูเลื่อมใสในแม่นางหลิ่วเอ๋อร์” คนนั้นส่ายหัว
พูดเช่นนี้ ก็นับว่ามีเหตุผล ซ่านเซิ่งหานก็ไม่ค่อยวางใจจึงแอบส่งคนไปสอดแนม
……
ส่วนในตำหนักอ๋องจิ้ง ทุกคนกำลังกลัวตัวสั่นงกๆ
“ฉีกดึง——”
ม้วนภาพที่อยู่ในมือยังไม่ทันเสร็จก็ถูกซ่านจินจื๋อฉีกออกเป็นสองส่วน จิตรกรที่อยู่ตรงหน้าตาแดงก่ำด้วยความทุกข์ เสียงดังตุ้บคุกเข่าลงไปอยู่กับพื้น
“วาดอีกครั้ง”
เสียงซ่านจินจื๋อเบาๆ จดหมายในมือกลับไม่เคยวางลง ไม่มีอารมณ์ใดๆแต่กลับทำให้จิตรกรในลานบ้านหวาดผวา
ตอนที่กู้จี้เหยาถือกับข้างเข้ามาก็กลัวจนตัวสั่นไม่กล้าพูดอะไรมาก
เดิมทีฮัวหลีกับกู้เฉิงหวังว่าในอนาคตจะให้นางเป็นพระชายา ช่วยเหลืออ๋องจิ้งบริหารราชการแผ่นดิน แต่ร่างของกู้อ้าวเวยเพิ่งจะถูกฝัง ซ่านจินจื๋อก็เก็บความเย็นไว้หมด ตอนนี้ก็เหมือนบ่อน้ำนิ่ง อย่างไรก็ตามบ่อน้ำนิ่งก็ต้องไหวเบาๆ ทั้งตำหนักอ๋องจิ้งก็ต้องมีคลื่นใหญ่ขึ้นมา
กู้จี้เหยาเพิ่งจะวางของลง สายตาของซ่านจินจื๋อก็ไปอยู๋ที่ร่างนางแล้วพูดเบาๆว่า “เจ้าคล้ายเวยเอ๋อแต่ไม่เหมือน”
“ไม่เหมือนแน่นอน หลายคนพูดว่าท่านพี่เหมือนท่านแม่”กู้จี้เหยารีบก้มหัวลง
“แต่เจ้าก็เป็นน้องสาวของนาง กลับไปตำหนักดูแลแม่บ่อยๆอย่ารบกวนข้า”น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อจู่ๆก็รุนแรงขึ้น กู้จี้เหยาอยากจะแย้งสักสองสามประโยคแต่เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นสายตาพิฆาตก็รีบออกไป
จนกระทั่งไม่มีใครรบกวน เฉิงซานก็เข้ามาใกล้อย่างเงียบๆโดยไม่กล้าเงยหัวเช่นกัน พูดเสียงทุ้มว่า “แพทย์ฝีมือดีหามาได้หลายคน แล้วเมื่อจับชีพจรของแม่นางซูบอกว่าร่างกายของแม่นางซูไม่ดีแต่ไม่ได้มีปัญหาถึงชีวิต”
“แม้แต่พ่านเอ๋อก็ยังมีชีวิตดีอยู่! แต่ทำไมนางกู้อ้าวเวยทำไม่ได้!”
จดหมายที่อยู่ในมือทุบลงกับพื้น ซ่านจินจื๋อซ่อนความโกรธไว้ในใจพุ่งไปยังหัว ในใจก็ยิ่งโมโห!
เฉิงซานก้มหัวลงแต่ก็กล้ามาก “ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายา ไม่มีวาสนาต่อกัน ตั้งแต่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว”
“บังอาจ!” ซ่านจินจื๋ออายกลายเป็นโมโหจนมีดออกมาจากฝัก
บนหน้าของเฉิงซานก็มีรอยเลือดออกมาแต่กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย “ตอนนั้นที่แม่ทัพเซียวไห่จากไปก็เคยกล่าวถึงผู้ใต้บังคับบัญชา แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ท่านลืมความรักที่มีต่อแม่นางซู แต่ตอนนี้พระชายาจิ้งก็จากไปแล้วท่านอ๋องควรจะทำอย่างไร? สู้ฟังคำพระชายาจิ้งแต่แรก ปล่อยวางแล้วจะดี”
ซ่านจินจื๋อโมโหมากแต่ในสมองก็ยังจำที่กู้อ้าวเวยยิ้มให้เขาเบาๆแล้วพูดคำว่าปล่อยวางสองคำนี้ได้
แต่นอกจากนั้นเขาก็ยังจำดวงตาสองข้างนั้นได้
ตอนที่อยู่บนเขานอกเทียนเหยียนท่ามกลางฝน กู้อ้าวเวยอยู่ที่หลุมลึกแต่มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อยขณะจับมือเขาไว้ กลางฝนโปรยปรายมันควรจะเป็นภาพเบลอแต่ดวงตานั้นกลับถูกสลักไว้ในใจเขา
ตอนนั้นกู้อ้าวเวยจับมือของเขาไว้ข้างนึงแล้วตอนนี้จะปล่อยวางได้ยังไง
นั่งลงอย่างห่อเหี่ยว ซ่านจินจื๋อโบกมือเบา “เอาเหล้ามา”
“ครับ” เฉิงซานเช็ดเลือดบนหน้า เดินออกไปอย่างเงียบๆ
สำหรับที่เฉิงซานพูด ซ่านจินจื๋อคือนายของเขาก็ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่เมื่อออกมานอกบ้าน ก็เห็นเฉิงยีปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านนอกใจลอยเล็กน้อย ก็เข้าไปตวาด “ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ก็แค่ผู้หญิงคนนึงตาย…..”
“แต่บนโลกนี้กลับมีผู้หญิงที่ทำชีวิตของพวกเราให้เป็นชีวิต”เฉิงยีตอบตามความรู้สึกก็เห็นเฉิงซานหน้าหมองจึงหยุดพูด “แม้ว่าข้าจะเคยรับใช้ข้างกายพระชายาไม่กี่วัน ยิ่งเทียบใจที่ภักดีเท่ากุ่ยเม่ยไม่ได้แต่นางก็ไม่เคยตำหนิ”
“เจ้าใจลอยเช่นนี้ ไปพักผ่อนสักครึ่งวันก่อนดีกว่า ไปเฝ้าป้ายสุสานพระชายา เผาพวกกระดาษเงินทองเถอะ” เฉิงซานโบกๆมือ
เฉิงยีพยักหน้ารีบเรียกเฉิงเอ้อไปด้วยกัน
เฉิงซานมองด้านหลังของเฉิงยี ก็ไม่รู้ว่ากู้อ้าวเวยมีอะไรดี ถึงมักจะสามารถผูกใจคนได้