บทที่404 ฆ่าไปให้หมด
กู้อ้าวเวยกลับไปยังวิหารเฟิ่งหมิงอย่างเชื่องช้า มองต้นไม้แห้งต้นใหญ่ในสวนที่ใบร่วงจนแทบไม่เหลือ ใจลอยไปชั่วขณะ
อยู่ตำหนักอ๋องมาก็สองปีกว่าแล้ว แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขตอนอยู่ที่นี่ มันเป็นเพียงสองสามวันที่เรียนกังฟูกับกุ่ยเม่ยหรือการนอนร่วมเตียงเดียวกับซ่านจินจื๋อ
แต่ช่องว่างระหว่างสองคนก็ถูกทำลายโดยพวกเขาจนเกือบหมด
ซ่านจินจื๋อใช้ประโยชน์ทุกที่แต่ก็วางแผนชดเชยสำหรับเรื่องที่ทำผิดไป ส่วนนางก็ร่วมมือกับองค์ชายสามแม้ว่าจะไม่ได้เป็นหนี้มากเท่าไหร่กับซ่านจินจื๋อ แต่ก็เป็นศัตรู
“ถึงแม้จะอยู่ต่อ แต่ในอนาคตก็ไม่สามารถลืมอดีตได้”กู้อ้าวถอนหายใจกับต้นไม้แห้ง ระหว่างทางเดินกลับห้องเขาเดินอย่างไม่อยากจะก้าว คิดเพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะจากไปอย่างไร
เธอส่งคนรอบๆตัวเธอไปหมดแล้ว ตอนนี้ที่ตำหนักอ๋องเหลือเพียงเธอคนเดียว แล้วจะทำยังไงดี
คนรักไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้ ตำหนักอ๋องก็เหลือแต่เพียงศัตรูให้เธอเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ซูพ่านเอ๋อก็กำลังเช็ดขี้ผึ้งเมี่ยวหารไปบนรอยแผลไหม้ทั่วๆ เมื่อได้ยินข่าวว่าเวลาของกู้อ้าวเวยมีไม่มากแล้วซ่านจินจื๋อก็กำลังจะหาหมอฝีมือดีมาให้ ในใจเธอก็ทั้งเกลียดทั้งดีใจ เมื่อมองแผลไฟไหม้ที่ขาก็หมดความอดทนก็ทุบขวดขี้ผึ้งลงบนหัวสาวใช้เพื่อระบายความแค้น “มองอะไร! ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
สาวใช้ร้องไห้และคำนับออกไปเหลือเพียงสองคนที่อยู่ในห้อง
“ใครจะไปรู้ว่ากู้อ้าวเวยจะใช้แผนทำร้ายตัวเองรึเปล่า” ซูพ่านเอ๋อหัวเราะเยาะ คิดถึงเมื่อก่อนที่นางจะอยู่ข้างๆพี่จื๋อไม่ใช่ว่าใช้วิธีนี้หรอ ทีนี้จะเชื่อได้ยังไงว่ากู้อ้าวเวยจะตายจริงๆ
เมี่ยวหารก็สงสัย “แต่ตอนนี้นางก็ไม่ให้ใครเข้าใกล้”
“งั้นก็ไม่สามารถเห็นได้ว่านางผูกใจพี่จื๋อเช่นไร ตอนนี้เป็นช่วงเวลาความขัดแย้งของผู้สืบทอดบัลลังค์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้อยู่ข้างกายพี่จื๋ออย่างชอบธรรมสักที?”เมื่อซูพ่านเอ๋อพูดถึงตรงนี้ก็ใช้นิ้วเท้าเปล่าของตนเองเลิกชายเสื้อของเมี่ยวหารขึ้นเบาๆ
เมี่ยวหารถอนหายใจมองเธอ “แม้เจ้าไม่ทำอย่างงี้ข้าก็ช่วย”
“ก็พวกเรารู้จักกันมาตั้งนาน ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะนอกใจ ถ้าเจ้าไม่ยอมก็ไม่เป็นไร”ซูพ่านเอ๋อดึงเท้ากลับมาเอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วมองเมี่ยวหารด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
ที่เธอมีตอนนี้มีเพียงร่างกายเปล่าๆแต่เมี่ยวหารก็รักเธอทั้งใจ ถ้าไม่ให้ ถ้าเมี่ยวหารนอกใจจริงๆ งั้นจิตใจเล็กๆที่สกปรกของเธอก็จะไม่มีแล้ว
ขอเพียงแค่ใจของเธออยู่กับพี่จื๋อก็พอแล้ว
รอจนเมี่ยวหารจากไปอย่างสดชื่นก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว สาวใช้ก็คำนับเขาแล้วรีบส่งอาหารเย็นให้แต่กลับได้ยินเมี่ยวหารพูดว่า “แม่นางพ่านเอ๋อไม่ชอบทานปลาขมๆพวกนี้ ไปเอาของรสบางๆมาเถอะ”
“เพคะ หมอเมี่ยวหาร” สาวใช้มองเขาอย่างแปลกใจแต่ก็กลับไปเปลี่ยนให้แล้วพึมพัมกับตัวเองว่า “หมอเมี่ยวหารนี่รักเดียวใจเดียวกับแม่นางซูจริงๆ……”
เมื่อได้ยินอย่างงั้นเมี่ยวหารก็ไอสองสามครั้ง เพื่อปัดๆปิดบังแต่ในใจก็กลัว
ก่อนที่จะย้ายลานบ้าน ซ่านจินจื๋อสังเกตเห็นอยู่แล้ว ตอนนี้ก็กลับทำซ้ำรอยเดิม ตอนนี้ก็ทำเสร็จแล้ว แทนที่จะทุกข์ใจกลับเดินไปที่วิหารเฟิ่งหมิงอย่างไว หวังว่าซูพ่านเอ๋อจะได้รับสิ่งที่ต้องการ
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้รับการต้อนรับ ใครจะรู้ว่าว่ากู้อ้าวเวยจะปล่อยเธอเข้าไป เมื่อเปิดประตูใหญ่ทั้งสองคนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างประตู ข้างมือมีหนังสือสองม้วน หม้อน้ำชาหนึ่งหม้อแล้วก็ชุดกระโปรงเหลืออ่อนที่เข้ากันกับกู้อ้าวเวยก็สามารถเห็นสไตล์ที่ไม่ธรรมดา
แต่จากสายตาเมี่ยวหาร สีหน้าของกู้อ้าวเวยซีดเซียว ร่างผอมบางระหว่างหัวคิ้วก็เริ่มดำเหมือนคนจะตาย
“ในเมื่อจะตายแล้ว จะอ่านหนังสือไปทำไม ไม่ออกไปเดินเล่น”ด้วยความเป็นหมอ เมี่ยวหารก็อดถามไม่ได้
“เจ้ามีความรู้ด้านการแพทย์ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมแต่ก็ไม่แย่แล้วทำไมเจ้าถึงช่วยในทางที่ผิด ยืนกรานว่าความรักมายาทำร้ายคน. เจ้าทำอะไรเจ้าก็มีเหตุผลและเป้าหมายของเจ้า ข้าอ่านหนังสือพวกนี้ก็แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของข้า” กู้อ้าวเวยเอาข้อมือตนเองวางไว้ตรงหน้าเขาอย่างเกียจคร้านแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นความหมายว่า——เจ้าไม่ได้มาเพราะสิ่งนี้ใช่ไหม?
เมี่ยวหารจับชีพจรของกู้อ้าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อแต่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
“ชีพจรนี่เหมือน….”
“ที่ข้าปล่อยให้เจ้าเข้ามาวันนี้ก็เพื่อให้เจ้าพูดสิ่งดีๆสักนิดให้แก่พ่านเอ๋อ” กู้อ้าวเวยกล่าวแล้วก็สูดจมูกเบาๆ หัวเราะพูดว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่ากลิ่นแป้งบนตัวเจ้ามันเป็นกลิ่นไม้จันทร์ ถ้าให้ซ่านจินจื๋อรู้ เกรงว่าเจ้าจะถูกแยกส่วน”
เมี่ยวหารตกใจ ยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาดมแต่กลับไม่รู้
แต่ในเมื่อกู้อ้าวเวยดูออก เขาก็ไม่กล้าเฉยชา “เจ้าอยากให้บอกข่าวอะไรกับพ่านเอ๋อ?”
“ไม่ใช่ว่านางอยากให้ข้าจากไปอยู่ตลอดหรอกรึ?” กู้อ้าวเวยดึงข้อมือตัวเองกลับมา แล้วก็ถูๆตรงที่เมี่ยวหารแตะโดนอย่างรังเกียจ ก็เห็นเมี่ยวหารอายมากและกังวล ผ่านไปสักพักถึงพูดต่อว่า “เมื่อถึงเวลาข้าต้องการให้นางเอาศพข้าย้ายออกตำหนักไปฝังไว้ยังสวนดอกไม้ตระกูลฉี”
“เจ้าจะตายจริงๆ…..ยังอยากตายในที่ตระกูลฉีอีก?” เมี่ยวหารประหลาดใจ
“ที่ผืนนั้นเป็นที่ที่ข้าซื้อเองอยู่ที่นอกเมืองเทียนเหยียน ชีวิตของข้าถูกจำกัดในทุกๆอย่างตายไปก็ไม่อยากเข้าไปอยู่สุสานอะไรแค่อยากตายในที่ดีๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้กู้อ้าวเวยก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอาหนังสือในมือส่งต่อให้
และในหนังสือเล่มนั้นก็เขียนที่อยู่ของสวนนั่นแล้วก็ยังมีโลงศพที่เธอต้องการ
แค่มองแวบเดียว เมี่ยวหารก็ยิ่งไม่เข้าใจกู้อ้าวเวย “ตอนนี้เจ้ายอมเชื่อพ่านเอ๋อ….”
“คนที่กำลังจะตายเชื่อในคนที่เป็นญาติพี่น้อง ของข้าสู้เชื่อศัตรูที่เอาชนะไม่เคยได้ดีกว่า”กู้อ้าวเวยหัวเราะอุ้มหนังสือที่เหลือปีนกลับขึ้นเตียงใหม่ แล้วไล่เมี่ยวหารไป
เมี่ยวหารก็เอาเรื่องนั้นบอกซูพ่านเอ๋ออย่างหูไว้หู
ซูพ่านเอ๋อกลับมองที่อยู่บนหนังสือเล่มนั้นอย่างอึ้งๆ ในใจตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ากู้อ้าวเวยคิดอะไร
“นางจะตายจริงหรือ?”
“แน่นอน ชีพจรของนางดูเหมือนจะไม่รอดถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แม้ว่าจะเป็นตำรายาตระกูลหยุนก็เกรงว่าจะต้านลิขิตสวรรค์ไม่ได้” เมี่ยวหารส่ายหัวอย่างจริงจัง “แม้ว่าทักษะการแพทย์ข้างไม่ดีเท่านางแต่พิษในร่างกายของนางสะสมกันเยอะ อาจจะไม่มีทางรักษาแล้วและก็เพราะว่าก่อนหน้าหิมะตกหนักคุกเข่าเจ็ดวันเจ็ดคืนนั้นมันก็ถ่วงเวลาการลุกลามของพิษ แต่ตอนนี้เกรงว่าจะไม่มีทางแล้ว”
ซูพ่านเอ๋อหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นอย่างที่นางต้องการ แต่ข้าต้องการให้นางกินยาพิษของเจ้าก่อนฤดูหนาว หลอกนางว่าคือยาหยุดการทำงานของอวัยวะชั่วคราวสัญญากับนางว่าจะผ่านฤดูหนาวไปได้”
เมี่ยวหารขมวดคิ้ว “แต่นางคือคนใกล้ตาย ทำไมเจ้าไม่เมตตาหน่อย…..”
“ฆ่าไปให้หมดคือสิ่งที่ข้าอยากทำ” ซูพ่านเอ๋อยิ้มกอดคอเมี่ยวหารไว้ แล้วก็ดูจิตวิญญาณของเมี่ยวหารบินออกไปทำได้แค่เพียงตกลง