บทที่402 ช่องทาง
“เจ้าก็เป็นแค่ตัวสำรองเพราะอาการป่วยของข้าจึงยังอยู่ได้ อย่ามองตัวเองสูงไปนักเลย”
ก่อนจะจากไปคำพูดของซูพ่านเอ๋อยังวนก้องอยู่ในหัว
กู้อ้าวเวยเดินสาวเท้ายาวไปหาซ่านจินจื๋อที่ห้องหนังสือด้วยใจไม่เคยเยือกเย็นเท่านี้มาก่อน
เมื่อได้คำตอบแล้วกลับทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมด
จากประตูห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงนายทหารดังออกมา “ได้ยินว่าที่หลิ่งหนานเคยมีถุงน้ำดีหงส์……”
“ตราบใดที่มีฝีมือทางการแพทย์ของพระชายา ร่างกายของแม่นางซูจะต้องหายเป็นปกติได้ในสักวัน”
ทั้งหมดเป็นความจริง กู้อ้าวเวยหัวเราะเยาะตนเองแล้วโบกมือให้สาวใช้เปิดประตู
“เมื่อเห็นคนตรงประตู นายทหารทั้งหมดก็เงียบ ซ่านจินจื๋อมองอย่างตำหนิไปที่สาวใช้ดูประตูสองคนนั้น แต่ไม่มีใครคิดว่ากู้อ้าวเวยที่มีจิตใจดีเกือบจะถูกเขาผลักไสออกไป
“เวยเอ๋อ……”
“มิน่าหล่ะท่านถึงเชิญเหล่าทหารมามากขนาดนี้แต่ก็ยังแก้ปัญหาภัยน้ำท่วมไม่ได้” กู้อ้าวเวยยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่แม้แต่ก้าวข้ามธรณีประตูมา “ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่า ที่ท่านทำทั้งหมดก็เพื่อซูพ่านเอ๋อ”
นายทหารทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใบหน้าแสดงถึงความตื่นตระหนกที่ถูกจับได้
ที่แท้ความจริงทั้งหมดก็อยู่ตรงหน้า ในวันที่เธออยู่หลังฉากกั้นในห้องหนังสือฟังเหล่านายทหารพูดถึงเรื่องรัฐบาล ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันปลอมขึ้นมา
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ซ่านจินจื๋อยืนขึ้น แล้ววางสมุดที่อยู่ในมือลง
พวกนี้คือบันทึกประวัติท้องถิ่นซึ่งสามารถช่วยเขาหาร่องรอยของเลือดมังกร(ต้นหญ้า)และถุงน้ำดีหงส์ได้
“ข้ารู้เรื่องที่ท่านทำกับเผ่าของข้าหมดแล้ว ที่ท่านยอมสละทั้งหมดก็เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว ท่านไม่เคยคิดเลยว่าราชวงศ์ท่านเป็นหนี้บรรพบุรุษข้ามากแค่ไหน แล้วก็ไม่เคยคิดถึงกิจของรัฐในปัจจุบัน ตลอดมานี้เป้าหมายของท่านไม่เคยเปลี่ยนไปเพราะคำตักเตือนให้คอยระวังจากข้าเลย” กู้อ้าวเวยถอยกลับมาช้าๆ
เฉิงซานส่งสายตา เหล่านายทหารในห้องลุกลี้ลุกลนออกไปข้างตัวเธอ
ทุกคนในห้องก็ค่อยๆออกไป
ส่วนซ่านจินจื๋อก็เดินมาตรงหน้ากู้อ้าวเวยแล้วก้มมองนัยน์ตาดำของกู้อ้าวเวย “พวกนั้นเป็นเรื่องแต่ก่อน……”
แต่ก่อน…….
กู้อ้าวเวยหรี่ตาไม่ยอมให้น้ำใสๆที่น่าเวทนานั้นร่วงลงมา ปัดมือซ่านจินจื๋อที่ยื่นมาแล้วหายใจเข้าลึกๆ
“ล่างหน้าผาไป๋เฉ่า ข้าเคยช่วยชีวิตท่านไว้ ท่านสัญญากับข้าไว้เรื่องหนึ่ง”
“ตอนนี้ ข้าอยากให้ท่านทำตามสัญญา” กู้อ้าวเวยยกฝักมีดขึ้นมาแล้วกดไปที่อกของซ่านจินจื๋อ “ข้าต้องการให้ท่านและข้าจากกันไป นับตั้งแต่นี้พวกเราสองคนคือคนแปลกหน้าต่อกัน”
“ทำไมเจ้าพูดออกมาเช่นนี้” สายตาของซ่านจินจื๋อเย็นชา “เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว”
“งั้นข้าก็มีสองขาสามารถเดินออกไปเองได้” กู้อ้าวเวยดึงสายตากลับมา แต่เมื่อเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวแขนสองข้างก็ถูกคนรวบไว้ “ปล่อยข้า!”
“มานี่ เอาพระชายากลับที่พักไปซะ ถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน พระชายาจะไม่ได้รับอนุญาติให้ออกจากตำหนักอ๋องแม้แต่ก้าวเดียว” เมื่อซ่านจินจื๋อพูดจบก็เดินหน้านิ่งมาข้างกู้อ้าวเวย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ทั้งหมดนี้จะผ่านไป”
กู้อ้าวเวยจ้องซ่านจินจื๋ออย่างเอาเป็นเอาตาย “เรื่องที่ท่านทำมันมากพอแล้วยังหวังให้ข้ายกโทษอีกหรือ”
“ข้าดีพอสำหรับเจ้าแล้ว”ซ่านจินจื๋อดึงหน้าแต่ในใจกลับสับสนวุ่นวาย
เรื่องที่เขากลัวที่สุดมาแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ปล่อยกู้อ้าวเวยไป อันดับแรกเพื่อความคิดในใจตนเอง ประการที่สอง ตอนนี้ตระกูลหยุนหลังจากนี้ไม่มีคนมีความสามารถ ตอนนี้มีเพียงแต่กู้อ้าวเวยที่สามารถวินิจฉัยโรคของซูพ่านเอ๋อได้
กู้อ้าวเวยคิดจะขัดขืนแต่คนด้านหลังสองคนนั้นรัดเธอแน่นแต่การกระทำนั้นก็ไม่ได้หยาบคาย
ถูกจับกลับเข้ามาในวิหารเฟิ่งหมิง ข้างกายเหลือไว้เพียงคนใช้ชายหญิง กู้อ้าวเวยโมโหขนาดแม้แต่นิ้วมือยังไม่อยากจะยกขึ้น จึงนั่งอยู่ที่ขอบเตียง มองสาวใช้ที่รีบร้อนเดินเข้ามา “องค์ชายสี่มาเพคะ”
“ไม่พบ” กู้อ้าวเวยโกรธเล็กน้อย
แต่องค์ชายสี่ที่อยากจะเข้ามาก็ไม่มีใครกล้าขัด เดินกรีดกรายเข้ามาถึงในห้องก็เห็นกู้อ้าวเวยนั่งอยู่ขอบเตียงอย่างสีหน้าไร้อารมณ์จึงเพียงแค่บอกให้สาวใช้ข้างกายให้ออกไป แล้วพูดขึ้นเองว่า “เกิดอะไรขึ้น เสด็จอาบอกข้าว่าเจ้าอารมณ์ไม่ดี ให้ข้ามาที่นี่”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าซ่านเชียนหยวน กู้อ้าวเวยก็โมโหไม่ลง
สูดหายใจเข้าลึกๆ อันที่จริงเธอไม่ยอมที่จะให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอแค่ปิดหน้าผากเพราะปวดหัว “เรื่องที่เขาทำทั้งหมด ข้าไม่มีทางอภัยได้ เจ้าไปเถอะข้าแค่อยากอยู่เงียบๆคนเดียว”
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้อ้าวเวยแสดงความอ่อนแอต่อหน้าซ่านเชียนหยวน น้ำเสียงสั่นเครือของเธอทำให้ซ่านเชียนหยวนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีจึงทำได้แค่พูดเกาหัว “เรื่องของลี่วานข้างแก้ไขแล้ว นางกลับบ้านนางไปแล้ว….”
“ข้า…..ไม่มีกระจิตกระใจไปคิดเรื่องอื่นแล้ว…..”
เสียงของกู้อ้าวเวยลอยตามลมไปตกในที่หูซ่านเชียนหยวน เธอก้มหัวแล้วมือที่จับขมับอยู่ก็ค่อยๆตกลงข้างๆราวกับร่างที่สูญเสียวิญญาณ
ซ่านเชียนหยวนมองก็ได้แต่ขมวดคิ้วเบาๆสุดท้ายก็ไม่ได้ชวนให้พูดอะไร
เดิมทีเขาก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
การจากไปของซ่านเชียนหยวนไปถึงหูซ่านจินจื๋ออย่างรวดเร็ว
แต่ซ่านจินจื๋อเชื่อเสมอว่าเวลาสามารถลบล้างทุกสิ่งได้
แต่ในตอนกลางคืนก็มีสาวใช้สองสามคนวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนบอกว่า พระชายาอาเจียนเป็นเลือดเป็นลม เขาถึงเพิ่งจะตำหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หลังจากที่แพทย์สองสามคนตรวจอาการของกู้อ้าวเวยแล้วกำปั้นของเขาก็กระแทกกับประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น
แพทย์สองสามคนนั้นกลัวจนขาอ่อนแรงพูดอย่างลนลานว่า “ร่างกายของพระชายาอ่อนแอจนป่วย เป็นการยากที่จะหายเป็นปกติในเวลาแปปเดียว อีกทั้งก่อนหน้านี้พระชายาก็อยู่ใกล้กับคนที่เป็นโรคระบาด ตนเองก็กินยาเพื่อป้องกันไปไม่น้อย ตอนนี้ร่างกายเกิดสับสนจึงอาเจียนออกมาเป็นเลือด เกรงว่าจะเป็นเช่นนี้”
“งั้นก็ดูแลดีๆ! พวกเจ้าจะอยู่กับท่านอ๋องจนกว่าอาการพระชายาจะดีขึ้น!”
ซ่านจินจื๋อคำราม ออกคำสั่งรับแพทย์ดีมารักษาโรคของพระชายา
ตอนที่จะจากไป เขาเพียงแค่มองหญิงสาวสีหน้าซีดเซียวที่เอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ สีของลูกตายิ่งดำลึกมากกว่าเดิม เขากำหมัดแน่นก่อนจากไป
“เจ้าพูดซิ ว่าเรื่องนี่ข้าทำผิดใช่ไหม?” ซ่านจินจื๋อก้าวออกไปอย่างเร็วแต่ก็อดถามเฉิงซานที่อยู่ข้างๆไม่ได้
“ท่านอ๋องไม่ได้ทำอะไรผิด”เฉิงซานตามหลังซ่านจินจื๋ออยู่ข้างหลังอย่างเคารพ “ตระกูลหยุนไม่มีใครได้รับความเสียหายแล้วลูกพระชายาก็ไม่ได้เสียชีวิต ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั่นก็ปลอดภัย”
สายลมยามค่ำคืนปลุกความคิดของเขา แต่ในใจของซ่านจินจื๋อสงบลงเพราะคำพูดของเฉิงซาน “เรื่องราวต่างๆยังมีวิธีรับมืออยู่ วันหลังข้าจะชดเชยให้นางอย่างดี