บทที่ 412 แสร้งตีหน้าเศร้า
หยุนหว่านร่ำรี้ร่ำไรไม่ยอมเผยหน้า ทิงเฟิงโหลกลับส่งข้อความมาเรียบร้อยแล้ว ความว่าเชิญท่านอาจารย์ติ่มซำที่ยอดเยี่ยม และต้องการเชิญสหายไปล่องแพบนทะเลสาบในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้
ความลับแฝงของสหายสองคำนี้ กู้อ้าวเวยรู้ดีแก่ใจแน่แล้ว จึงตกลงในเรื่องดังกล่าว
วันที่สองมาบนเรือสำราญ แต่กลับไม่มีนางรำบรรเลงพิณ มีเพียงจื่อและยู่จูหย่อนตัวนั่งลงด้านข้างเท่านั้น หลิ่วเอ๋อรินชาให้นางอยู่หน้าโต๊ะ ยิ่งวางติ่มซำอันประณีตลงเต็มโต๊ะ ผิงชวนถือเหล้าเล็กๆ หนึ่งจอกเอาไว้เอง ยืนพิงอยู่ข้างราวลูกกรง และมองเข้ามาหลายแวบเป็นครั้งคราว
“เมื่อก่อนข้ากับผิงชวนคุ้มกันท่านมุ่งไปหลิ่งหนานตลอดทาง กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำสั่งให้ขับไล่แขก ปัจจุบันท่านกลับสู่เทียนเหยียน ก็ไม่ได้มาพบพวกเราเลย” หลิ่วเอ๋อก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งเช่นกัน ยังคงเอ่ยเสียงเบาตามเดิม
“เดิมควรจะนัดหมายมาเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่…” กู้อ้าวเวยอ้ำอึ้งที่จะพูด ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยคำออกมา ทำเพียงก้มศีรษะงุดจมสู่ความคิด “หากไม่ใช่เพราะเรื่องราวบางประการ ข้าเองก็ไม่อยากกลับมายังเมืองเทียนเหยียนแห่งนี้เหมือนกัน”
“มีอันใดหรือ” หลิ่วเอ๋อเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในใจกลับมีผู้ต้องสงสัยที่เคลือบแคลงอยู่แล้ว
หรือว่าองค์ชายสามผู้นี้ทำอะไรบางอย่างกับกู้อ้าวเวย บีบบังคับนางให้จำต้องหวนกลับมาอีกครั้งกันนะ
กู้อ้าวเวยเห็นหลิ่วเอ๋อมุ่นคิ้วไตร่ตรอง ในใจกลับเบิกบาน ดูท่าพวกนางจะเป็นห่วงตนจริงๆ
ดูเผิน ๆ นางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จะอย่างไรก็ไม่พูดสาเหตุมาเสียที หลิ่วเอ๋อฉลาดย่อมไม่ถามมากความอยู่แล้ว ไม่กี่คนจึงทำเพียงพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันเท่านั้น ผ่านไปสักพัก กู้อ้าวเวยจึงมองฟากฟ้าแวบหนึ่ง ก่อนมุ่นคิ้วน้อยๆ “ข้าควรกลับไปแล้ว”
“นี่เพิ่งออกมาไม่ถึงสองชั่วยามเลย ทำไมถึงว่าควรกลับไปแล้ว” หลิ่วเอ๋อกล่าวจบ ก็ยกมือให้กับจื่อน้อยๆ บุคคลหลังจึงดึงม่านทั้งหมดลง ย่อมไม่อาจทำให้คนอื่นๆ มองเห็นกู้อ้าวเวยได้เป็นธรรมดา
กู้อ้าวเวยโบกมือ “ไม่ได้กลัวว่าจะถูกคนค้นพบเข้าเสียหน่อย เพียงแต่ว่าทางฝั่งองค์ชายสามนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ นางจึงไร้ข้อความถัดไป ดวงตาของจื่อผู้รีบร้อนเรื่อแดงหมดแล้ว เป็นขนาดนี้ ควรจะอธิบายให้เจ้านายหยุนหว่านทราบอย่างไรดีถึงจะถูกสิ
“หากท่านไม่ยินดีรออยู่ที่เทียนเหยียน ตอนนี้ข้าสามารถพาท่านกลับหลิ่งหนานได้เลยนะ” ผิงชวนหยัดตัวลุกขึ้นมา กระแทกถ้วยเหล้าลงบนผิวโต๊ะเสียงดังปึง ทำเอากู้อ้าวเวยเหลือบมาอย่างจนปัญญา “องค์ชายสามไม่ใช่พวกจะตบตาได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”
นิ่งเงียบเป็นนาน กู้อ้าวเวยถึงได้เอ่ยคำเสียงแผ่ว “มาในคราวนี้ อันที่จริงก็เพราะข้ามีข้อมูลบางอย่างถูกกำในเงื้อมมือของเขา และเขาก็รับปาก หากข้าสามารถนำเชือกทวงชีวิตมาให้เขาได้ ก็จะปล่อยข้าไป เพียงแต่เชือกทวงชีวิตนี้…”
“ไม่ได้” หลิ่วเอ๋อเอ่ยคำ
“พรุ่งนี้ข้าจะเอามาให้ท่าน” ผิงชวนกลับพูดอย่างนี้
กล่าวจบ ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววอริ
สายตาของกู้อ้าวเวยมองผาดระหว่างทั้งสองคน ทำเพียงตบบ่าของทั้งสองพลางหัวเราะเบาๆ “ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเชือกทวงชีวิตนี้มีความสำคัญใหญ่หลวงนัก ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อข้าคนเดียวหรอก สำหรับองค์ชายสามราชวงศ์ระดับนี้ ข้ารู้ดีว่าควรจะต่อกรด้วยอย่างไรตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว”
ผ่านไปสักพัก ไม่กี่คนยังคงทำได้เพียงปล่อยให้กู้อ้าวเวยลงเรือกลับตำหนักองค์ชายสามอยู่ดี
ผ่านประตูเข้ามา กุ่ยเม่ยจึงโรยตัวมาข้างกายของนาง “หลิ่วเอ๋อกับผิงชวนผู้นี้มีความเห็นแตกคอกัน ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจจะไม่ได้มีเจ้านายแค่คนเดียว”
“และคงทำได้เพียงพนันว่าท่านแม่ใยดีชะตาชีวิตของข้าหรือไม่เท่านั้นแล้ว” กู้อ้าวเวยพ่นลมหายใจเบาๆ หนึ่งเฮือก “อีกอย่างตอนนี้ได้รู้ว่าท่านแม่กับท่านปู่ยังไม่ตาย และตระกูลหยุนตกที่นั่งลำบาก เป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกเขานั่งมองเฉยๆ ไม่สนใจในมุมมืด ต่อให้ไม่ใช่ทิงเฟิงโหล ก็ต้องมีกองกำลังอื่นๆ ที่คอยคุ้มกันในมุมมืดอยู่เป็นแน่”
“ท่านเห็นทางออกอะไรบ้างแล้ว?”
“เพียงแต่นึกถึงเรื่องบางอย่างเท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยฟุบอยู่บนบ่าของกุ่ยเม่ย กล่าวคำเสียงแผ่ว “เจ้าว่า ปีนั้นกู้เฉิงสู่ขอท่านแม่กลับเรือน เขาทำเพื่อสูตรลับและตำแหน่งของตระกูลหยุน หรือว่าทำเพื่อความเป็นอมตะกันแน่”
กุ่ยเม่ยนิ่งอึ้ง หวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อกู้เฉิงยินดีเป็นจักจั่นลอกคราบ ทำเรื่องผิดตั้งมากมาขนาดนั้นแต่กลับปกปิดสถานะหลังจากที่เชือกทวงชีวิตปรากฏ นึกถึงจุดดังกล่าว กุ่ยเม่ยจึงรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ความหมายของท่านคือ ความจริงแล้วกู้เฉิงไม่คิดซื่อสัตย์กับใครทั้งนั้น ตอนนั้นจักจั่นลอกคราบยังพัวพันกับองค์ชายกี่พระองค์ ในความเป็นจริงก็ล้วนทำเพื่อความเป็นอมตะหรือ?”
“ดังนั้นข้าจึงยิ่งสงสัย ข้าเป็นลูกของกู้เฉิงหรือไม่กันแน่” กู้อ้าวเวยถอนหายใจหนึ่งเฮือก ปีนขึ้นบนหลังของกุ่ยเม่ยเอาดื้อ ก่อนเอ่ยต่อไป “หากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นบิดาบังเกิดเกล้าของข้าก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นฮ่องเต้แคว้นเอ่อตานผู้นั้น พูดไปพูดมา ทิงเฟิงโหลแห่งนี้หากไม่ใช่สายสืบของฮ่องเต้แคว้นเอ่อตาน ก็เป็นสายลืบของท่านแม่ข้า ขอเพียงใครก็ได้พบ มันก็คงดีสินะ”
กุ่ยเม่ยกลับรู้สึกว่าเหตุผลข้อนี้น่าเชื่อถือยิ่งนัก อีกอย่างลางสังหรณ์ของกู้อ้าวเวยแม่นยำมากเสมอ
รอถึงวันถัดมา ผิงชวนจึงถือช่วงเวลาที่ฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง ลอบรุดมายังประตูหลัง นำเชือกทวงชีวิตชิ้นนั้นมอบใส่มือของกู้อ้าวเวย และยิ่งกำชับเสียงต่ำ “รอจนเรื่องราวสิ้นสุดลง ข้าจะส่งท่านกลับหลิ่งหนาน ไม่หวนกลับคืนมาอีก”
“ขอบคุณ อย่างไรก็ขอบคุณเจ้านายของเจ้าแทนข้าด้วย” กู้อ้าวเวยนำเชือกทวงชีวิตย้อนกลับไป
หลิ่วเอ๋อกุลีกุจอตามมา บานประตูของตำหนักองค์ชายสามกลับปิดสนิทลงแล้ว นางก้าวเข้ามาอย่างหัวเสีย ลากผิงชวนเข้ามาในตรอกด้านข้าง และเอ่ยตำหนิโกรธขึ้งเสียงเบา “เจ้าหัวรั้นแบบนี้ ไม่กลัวเจ้านายลงทัณฑ์เจ้าหรือไร เจ้าน่าจะรู้ว่าเชือกทวงชีวิตนั้นหากถูกกู้เฉิงรู้เข้า…”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยินดีทนดูเจ้านายไม่ยอมตอบรับกับลูกสาวตลอด กู้อ้าวเวยเกิดมาชาญฉลาดเยี่ยงนี้ เดิมก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครคอยปกป้องอยู่แล้ว หากเจ้านายละอายต่อลูกสาวจริงๆ ก็ควรรามือปล่อยให้นางผจญสักตั้ง ไม่ใช่เอาแต่ให้พวกเราคิดทุกวิถีทางปกป้องนางสุดความสามารถเสียหน่อย” ผิงชวนก็มองหลิ่วเอ๋อด้วยเช่นกัน ไม่หวาดกลัวสักนิด
เวลานี้หลิ่วเอ๋อไร้คำพูด ทำเพียงสะบัดมือจากไป “ข้าจะไปบอกเจ้านายเดี๋ยวนี้แหละ”
ผิงชวนตามไปอย่างช่วยไม่ได้ จำต้องกลับไปรายงานความเรียบร้อยของภารกิจ ย่อมต้องถูกหยุนหว่านลงทัณฑ์สักครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ว่าหลายวันให้หลัง ตำหนักองค์ชายสามเพิ่มมาตรการความแข็งแกร่งอย่างเฉียบพลัน ทำเอาหยุนหว่านที่ร้อนรนหัวหมุน แม้แต่ผิงชวนหลิ่วเอ๋อก็สืบข่าวไม่ได้แม้แต่ครึ่งเสี้ยว
เรื่องดังกล่าวแพร่สู่ตำหนักอ๋องจิ้งด้วยเช่นกัน
ซ่านจินจื๋อรู้จากปากของเฉิงซานว่าตำหนักองค์ชายสามเพิ่มมาตรการความแข็งแกร่งขึ้น แต่กลับยังสงสัย “เร็วๆ นี้องค์ชายสามไม่ได้กังวลใจกับราชกิจแห่งแว่นแคว้น ปัจจุบันไฉนถึงได้เพิ่มมาตรการความแข็งแกร่งกะทันหันได้”
“คล้ายกับทำเพื่อยอดฝีมือนอกแคว้นท่านหนึ่ง” เฉิงซานรับสมุดบันทึกเล่มเล็กจากมือของลูกน้องมา พลิกอ่านโดยละเอียด “หลายวันก่อนหน้านี้ องค์ชายสามเคยอ้างเหตุผลว่าเยี่ยมเยียนราษฎรไปรับคุณชายสองท่านมา เป็นฝ่ายบู๊หนึ่งคนบุ๋นหนึ่งคน คล้ายว่าเป็นคนแห่งแคว้นอันไกลโพ้น ไม่มีใครเคยพบเคยได้ยินมาก่อน”
“ไปสืบเกี่ยวกับเรื่องนี้” ซ่านจินจื๋อขยับมือ จดเรื่องดังกล่าวลงไปยิก ๆ
ซูพ่านเอ๋อที่อยู่ข้างกายพิงบนบ่าของซ่านจินจื๋อ ตอนนี้ไม่มีสิ่งขวางกั้นจากกู้อ้าวเวยแล้ว แต่ในตำหนักท้ายที่สุดก็ยังมีกู้จี้เหยาอีกหนึ่ง ส่วนหลานเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายกู้จี้เหยาก็ดันออกเรือนเข้าจวนผู้ร่ำรวย ข้างกายก็มีฮัวลี๋เพิ่มมาอีกคน และยิ่งคอยผุดแนวคิดดึงดูดซ่านจินจื๋อไปทุกวัน ตอนนี้ก็เลียนแบบท่าทีของกู้อ้าวเวยซุกซนเป็นครั้งคราวและจริงจังบางโอกาส ยิ่งทำให้ซ่านจินจื๋อชื่นชอบเข้าไปใหญ่
และวันนี้ในเมื่อได้ยินเรื่องราวขององค์ชายสาม นางจึงรีบปริปากอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อองค์ชายสามระแวดระวังอย่างหนักขนาดนี้ กลัวว่าจะสืบข่าวไม่ได้ ไม่สู้รอดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ต้องมีสักวัน ยอดฝีมือผู้นั้นต้องออกไปชั่วคราวบ้าง คงปรากฏตัวให้เห็นอยู่ดี”
“ที่พ่านเอ๋อพูดมีเหตุผล แต่ส่งคนไปสืบค้นสักเที่ยวก่อนก็ไม่มีอะไรเกินควร” ซ่านจินจื๋อโอบนางสู่กลางอก ทำเพียงวางด้ามพู่กันใส่ในมือของนาง “ให้พี่จื๋อดูสักหน่อย ภาพวาดตานชิงของพ่านเอ๋อมีพัฒนาการหรือไม่”
ซูพ่านเอ๋อยิ้มหวานละมุน ไม่มีกู้อ้าวเวยแล้ว วันเวลาเช่นนี้มันกลับดีจริงๆ