บทที่ 426 ฟ้าเปลี่ยน
“ตอนนั้นซูพ่านเอ๋อสองพี่น้องได้ร่วมมือกัน ลากองค์หญิงหลิงเอ๋อร์เข้ามา เพื่อช่วยตัวเองให้รอดพ้น ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเลือกได้ แต่ถ้าหากว่าฮ่องเต้รู้เรื่องนี้เข้า ไม่ว่ายังไงก็ไม่ทางปล่อยนางไปแน่นอน”
เรื่องของซ่านหลิงเอ๋อร์นั้น เฉิงซานได้ติดตามมาหลายปีแล้ว สุดท้ายก็ได้หลักฐานอย่างแน่ชัด
เพียงแต่เสียดายสำหรับเรื่องน่าเศร้านี้ ที่เขากลับไม่สามารถจะเอาผิดซูพ่านเอ๋อเรื่องการตายของหลิงเอ๋อร์ได้ ทำได้แค่ลูบศีรษะตัวเองพลันพูดขึ้น: “เรื่องนี้ห้ามพูดขึ้นมาอีก เอาหลักฐานที่หามาได้ไปทำลายให้หมด โดยเฉพาะหลักฐานที่อยู่ในมือของกู้เฉิง”
“ข้าน้อยขอถามอีกสักหน่อย แล้วเรื่องพระชายาควรจะจัดการอย่างไร?” เฉิงซานค่อยๆ เงยหน้าแล้วพูดขึ้น
“ทำเหมือนที่ผ่านมา พูดมาแล้วก็รู้สึกละอายใจอยู่ แต่ก็ต้องหาคนมารับมือกับเสด็จแม่ นางไม่เฉลียวฉลาดเท่าเวยเอ๋อ แต่ก็สามารถเอามาใช้งานได้” :ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นเสียงเบา: “ฮัวหลี หาเวลาแล้วก็ค่อยตัดหางปล่อยวัด แล้วก็ค่อยหาสาวใช้คนใหม่ให้นางแทน”
เฉิงซานรู้ทันทีว่า เขาคิดที่จะเก็บกู้จี้เหยาเอาไว้ แล้วก็สลัดตระกูลกู้ทิ้ง
และในเวลาเดียวกัน กู้เฉิงที่ได้รู้ความลับนี้เข้า พอกลับไปถึงจวนก็รู้สึกไม่สบายใจ
ถ้าหากว่านี่เป็นตำรับยาอายุวัฒนะ ซ่านจินจื๋อจะยอมให้ตัวเองง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร แต่ว่าในโลกนี้จะมีใครที่มีความสามารถอย่างหยุนหว่านที่สามารถมองออกได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
แล้วพอคิดไปคิดมา เขาหันไปมองกู่เซิงที่อยู่ข้างหน้า แล้วพอเหมือนเห็นว่าเขารู้อะไรบางอย่างแล้วนึกออก จึงพูดขึ้น: “เจ้าว่า ตำรับยานี่เป็นของจริงหรือของปลอม?”
กู่เซิงชะงักไปทันที แล้วก็พลันดึงสติกลับมาแล้วพูดขึ้น: “อะไรนะ?”
“ถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ เจ้าไม่มีทางทำการใหญ่ได้แน่นอน” กู้เฉิงหันไปชักสีหน้าใส่เขา ด้วยความไม่พอใจ: “ถ้าหากว่าเจ้าเหมือนกับเวยเอ๋อ ข้าก็คงไม่ต้องมาคิดแทนแบบนี้”
“กู้อ้าวเวยไม่ใช่น้องสาวข้า” กู่เซิงพูดขึ้นพลันขมวดคิ้ว: “และอีกอย่างนางก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น จะมาเทียบกับข้าที่เป็นชายได้อย่างไร”
กู้เฉิงหลี่ตามองเขาแล้วพูดขึ้น: “ถึงนางจะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของข้า แต่ว่านางก็เหมือนกับแม่ของนางมาก ไม่ว่านางจะพูดอะไร ทุกคนก็จะคล้อยตามนางทั้งหมด กลัวแต่ว่าเจ้ากับข้าก็ยังทำไม่ได้เหมือนนาง”
แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ กู่เซิงเพียงแค่เห็นหันไปมองหน้าเขานิ่งๆ
มีเพียงต้องฆ่ากู่เฉิงเท่านั้นหรือที่เขาจะสามารถครอบครัวทุกอย่างได้?
การเป็นลูกชายนั้น เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ แต่ก็ยังครุ่นคิดอยู่
“เออใช่ พยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมในเมืองให้หมด ข้าเชื่อว่าหยุนหว่านกับเวยเอ๋อน่าจะยังมีชีวิตอยู่ “กูเฉิงเปลี่ยนเรื่องทันที
“เรื่องนั้นมันน่าจะเป็นแค่ความฝัน….. “
“ข้าไม่มีทางดูผิดแน่นอน! ข้ายังไม่ทันไปขุดหลุมฝังศพของนางเลย แต่นางกลับโผล่มาได้ คงจะอยากตักเตือนข้า เพราะนางไม่เคยเข้าไปอยู่ในฝันข้าเลย….” กู้เฉิงพรึมพรัมกับตัวเองอีกครั้ง
ด้านนอกเริ่มมีเสียงฝนลงเม็ด พวกคนที่อยู่ในเรือนก็ต่างพากันวุ่นวายกับงาน
ตั้งแต่ขึ้นมาบนภูเขา กู้อ้าวเวยก็ไม่ค่อยสบาย ชอบไออยู่บ่อยๆ พอเห็นฝนตกแบบนี้ ซ่านเซิ่งหานเลยเอาน้ำอุ่นมาให้นาง แต่พอเห็นนางกำลังอ่านพวกหนังที่มีคนเอามารายงาน ก็พลันพูดขึ้นอย่างเกรงใจ: “ข้ารบกวนเจ้ามั้ย “
“ที่นี่เป็นที่ของท่าน จะบอกว่ารบกวนได้อย่างไร “กู้อ้าวเวยลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับ
และนี่ก็เป็นเงื่อนไขของนาง ในเมื่อที่นี่เป็นที่ของเขา นางก็ควรที่จะให้เกียรติเขาด้วย
นางยังไม่ทันจะเก็บหนังสือพวกนั้นให้เรียบร้อย แต่ก็ขยับออกไป นี่ก็แสดงถึงการให้เกียรติเขาแล้ว
ทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกัน กู้อ้าวเวยหันไปมองน้ำอุ่นแล้วพลันขมวดคิ้ว
“อาการของเจ้ายังไม่ค่อยดี ถ้าหากว่าไม่ดูแลดีๆ หยุนหว่านฮูหยินน่าจะไม่วางใจอย่างแน่นอน “เขายื่นถ้วยน้ำอุ่นไปตรงหน้านาง
“ก็ได้ “กู้อ้าวเวยพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก็หันไปมองฝนด้านนอก พลางถามขึ้น:” ท่านแม่ได้ให้คนมาส่งข่าว บอกว่าปีนี้ตอนดำเนินพิธีการล่าสัตว์ป่าในฤดูใบไม้ร่วงพวกเมืองต่างๆ จะส่งขุนนางเข้ามา ข้าและนางไม่สามารถออกหน้าได้ ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ควรจะจัดการให้จบภายในช่วงนี้ถึงจะดี “
“มันค่อนข้างจะเร็วมากเลย “
“ที่จริงก็เร็วไปจริงๆ ดังนั้นข้าก็เลยมีวิธีอยู่ทางหนึ่ง ท่านจะลองดูไหม?” กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อน แล้วก็พลันดึงกระดาษมันออกมาจากแขนเสื้อ และในตอนที่นางเปิดออกนั้นก็พลางพูดขึ้น: “เพียงแค่ท่านยอมถอยก้าวหนึ่ง เพื่อให้สร้างค่ายส่วนตัวขึ้นมาก่อน “
“เรื่องนี้ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป” ซ่านเซิ่งหานไม่เพียงขมวดคิ้ว แต่เขายังมองไปดูกระดาษในมือของนางอีกด้วย ข้างบนกระดาษนั้นเป็นภาพเหมือนแผนที่ แต่ว่าส่วนมากแล้วดูไร้สาระ เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร
กู้อ้าวเวยทำเสียงจุ๊แล้วพูดขึ้น: “?ก่อนหน้านี้ที่ฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดของใต้เท้าเมิ่งกับท่านนั้น เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่เขาอยากทำแล้ว เพียงแค่เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทบ่อยๆ เจ้าก็จะได้มันมาครอง และเจ้ายังจำหวางโม่ได้ไหม?”
“เจ้าหมายถึงหวางโม่ คนที่เรียงร้องความเป็นธรรมแต่ก่อนหรือ?”
พอเห็นนางทำมือแบบนั้น แล้วชี้ไปที่กระดาษแผ่นนั้น พลางพูดขึ้น: “ข้าได้ข่าวมาว่า หวางโม่ได้สร้างโรงเรียนขึ้นมา เพื่อเอาไว้ใช้สอนเด็กข้างถนน ถ้าหากว่าเจ้าสามารถพูดกับเขาได้ เพื่อให้เขาช่วยให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา อาจจะสามารถจับพิรุธของกู้เฉิงก็ได้”
ซ่านเซิ่งหานลูบคางตัวเองไปมา ราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้: “หมายความว่า?”
“อ๋องจิ้งนั้นเชี่ยวชาญการทำศึก กู่เซิงกลับไม่มีประโยชน์อะไร ไปบอกให้ หวางโม่ไปหาเรื่องก่อกวนกู่เซิง แล้วจากนั้นเจ้าก็ค่อยทำตามแผนของฝ่าบาท” กู้อ้าวเวยสะบัดแขนเสื้อ แล้วก็มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ โผล่ออกมา จากนั้นนางก็ยัดใส่มือของซ่านเซิ่งหาน ด้วยสายตาเป็นประกาย: “นำเรื่องที่กู้เฉิงยังไม่ตาย กับเรื่องส่วนตัวของอ๋องจิ้งไปรายงานฝ่าบาท แล้วก็บอกให้ฝ่าบาททรงระวังแคว้นเจียงเยี่ยนและแคว้นเอ่อตันเอาไว้ด้วย ฝ่าบาทเป็นคนฉลาด ยังไงพระองค์ก็ต้องให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้ พอถึงตอนนั้นเมิ่งซู่เองก็ไม่ต้องไปต่อกรกับกู่เซิง แถมยังเก็บแรงมาช่วยท่านได้อีกด้วย”
พอเห็นสายตาของกู้อ้าวเวย เขากลับรู้สึกสงสัยจึงถามขึ้น: “เสด็จพ่อ….ทำไมถึงจะเชื่อเจ้า เห็นๆ อยู่ว่าท่านรัก……”
และ ณ เวลานั้น กู้อ้าวเวยก็เอามือวางลงบนไหล่ของเขา แล้วลูบเบาๆ พลางพูดขึ้น: “เขาเป็นพ่อของท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็พยายามทำให้พวกท่านอยู่กันมาได้ เจ้าเองก็ควรที่จะเชื่อใจเขาสักครั้ง พวกเราทุกคนต่างทุ่มเทกันมา หรือว่าท่านคิดว่าเขาจะไม่เห็นบ้างหรือ?ในเมื่อท่านได้เห็นแล้ว พวกเราก็ควรจะเล่าให้ท่านฟังและทำให้ท่านเห็น ”
และเหมือนกับว่าขนที่ไหล่ของเขาหล่นออกมา จนเขาต้องพูดตอบรับทันที
แต่ทุกคนต่างบอกว่าในเชื้อพระวงศ์นั้นไม่มีความเห็นใจกัน และต้องใช้เดิมพันสูงมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?
ฝนด้านนอกนั้นตกแรงมาก ทำให้ซ่านเซิ่งหานนอนไม่หลับทั้งคืน พอถึงวันรุ่งขึ้น เขาก็รีบเข้าไปในวังทันที แล้วก็ทำตามแผนที่กู้อ้าวเวยได้มอบหมายให้เขา โดยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฝ่าบาทฟัง
พอต้วนโฉงได้ฟังก็พลันขมวดคิ้วอย่างหนัก แล้วพลันกำมือ แต่กลับพยายามอดทนเอาไว้แล้วพูดขึ้น: “เรื่องนี้เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
ซ่านเซิ่งหานแทบอยากจะเอาศีรษะมุดดิน : “ไม่มีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ แต่ที่วันนี้มาบอกเสด็จพ่อ ก็เพราะอยากให้ทรงระวังเอาไว้ และอีกอย่างวันนี้ที่ลูกมานั้นก็เพราะเรื่องการสร้างโรงเรียน ”
ซ่านเวิ๋งหานพอได้ยินพูดเรื่องนี้ ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างของต้วนโฉงก็พลันถอยออกไป แล้วก็ส่งคนออกไปสำรวจทันที พอเห็นท้องฟ้าเริ่มคลึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมือนจะเกิดพายุ จึงพูดขึ้น: “ฟ้านี่ก็จริงๆ เลย ดูแล้วก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ