บทที่ 432
ด้านนอกของตำหนักอ๋องจิ้ง ฉีหลินและหยินเชี่ยวได้เตรียมรถม้าพร้อมแล้ว
ก่อนที่กู้อ้าวเวยจะขึ้นไปบนรถม้านางยังคงส่งสายตาไปมองตำหนักอ๋องจิ้งอีกครั้ง ความรุ่งเรืองในวันนั้นตอนนี้ได้หายไปทั้งสิ้น แต่อ๋องจิ้งยังคงเข้มแข็งมั่นคงมาก ดูเหมือนว่าซ่านจินจื๋อจะถอนตัวออกจากศาล แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางกลับต้องปกป้อง โดยเฉพาะข่าวคราวพลพรรคของเขาที่มีอยู่เกือบจะทั่วแคว้นชางหลาน
“คุณหนู!” เสียงประหลาดใจของหยินเชี่ยวดังขึ้น
กู้อ้าวเวยรีบยกม่านขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นฉีหลินกำลังเอามือข้างหนึ่งปากปากหยินเชี่ยวไว้ ทั้งยังส่งสายตามองมายังนาง พูดขึ้นด้านหลังพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ข้าพบได้ง่ายดาย พวกเจ้าคงจะจำข้าได้”
“ถ้าไม่ใช่กุ่ยเม่ยบอกเอาไว้ ก็คงจะนึกไม่ออก” ฉีหลินเห็นหยินเชี่ยวดิ้นอยู่ในอ้อนแขน จึงรีบปล่อยนางออก ถูกสายตาผู้หญิงจ้องมอง แต่ก็ได้แต่ถูกจมูก “นี่ไม่ใช่สิ่งดีต้องระวังที่สุดหรือ อย่าเรียกว่าคุณหนู”
หยินเชี่ยวสงบลง ในขณะที่เข้ามาแสดงความภักดี ก็ยังไม่ลืมที่จะพูดถึงเรื่องที่ตนเองได้ไปคารวะที่หลุมฝังศพของชิงต้าย กู้อ้าวเวยได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กบนรถม้า ในใจยิ่งรู้สึกมีความสุข เพียงทิ้งเรื่องเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง”
“อ้อใช่สิ คุณหนู ตอนนี้พวกเราต้องการกลับไปอินโจว เจ้าพาข้าไปเที่ยวด้วยได้ไหม” หยินเชี่ยวกอดแขนของกู้อ้าวเวยไม่ยอมปล่อย “เจ้าคงจะยังไม่รู้ ฉีหลินกับพี่สาวต้องทำงานทุกวัน ในวันปกติมีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนที่อยู่ในตำหนักอ๋องจงผิง แต่ยังไม่กล้าไม่เชื่อฟังข้า มันเป็นชีวิตที่แสนลำบากเลย”
ฉีหลินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “นี่ก็เป็นวันที่ดี”
หยินเชี่ยวยกคิ้วขึ้น ฉีหลินหยุดไปชั่วครู่ไม่โอหังอีก มองอย่างจดจ่อไปยังกู้อ้าวเวย หวังว่านางจะจัดการกับมันได้
“ไม่ใช่เพราะเจ้าตามใจเหรอนางถึงเป็นแบบนี้” กู้อ้าวเวยอยู่ฝั่งเดียวกับหยินเชี่ยวตามปกติ หวังจะกระตุ้นให้หยินเชี่ยวยิ้มออก “อินโจวก็ต้องไป แต่ข้านัดกับใครสักคนไว้แล้ว ต้องไปพาพวกเขาไปเที่ยวอินโจวด้วยกันสักวันสองวัน ถึงเวลานั้นก็คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้วล่ะ”
“ใครเหรอ” หยินเชี่ยวแปลกใจ
“ชิงจือกับเด็ก ๆตระกูลหยุน พวกเขามักไม่ได้ออกไปไหน คงจะดีไม่เลวที่จะให้พวกเจ้าคอยดูแลพาไปอินโจสเพื่อเปิดหูเปิดตา” กู้อ้าวเวยเอนตัวในรถม้า ลูบหน้าผาก “แต่ไปที่นี่ ข้ายังหวังว่าอ๋องจงผิงคงจะไม่ออกจากศาล มิเช่นนั้นแผ่นดินของอินโจวคงโดนตกอยู่ในมือคนโลภ”
ฉีหลินและหยินเชี่ยวมองหน้ากันและกัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
กุ่ยเม่ยชินหูชินตาแล้ว ตอบสนองขึ้นมาทันที เพียงแต่พยักหน้า “ข้ากับองค์ชายสามได้พูดกันเรื่องจะออกไปแล้ว แต่พูดแต่เพียงเรื่องกลับตระกูลหยุน เจ้าไปกระตุ้นอ๋องจงผิงอีกสักครั้ง วันหลังก็ไม่กลัวว่าองค์ชายสามไม่วางใจเจ้า”
“ไม่วางใจจะดีกว่า เจ้าไม่เห็นสายตาที่เขามองข้าหรือ” กูอ้าวเวยอธิบายพลางกลอกตาของนาง
กุ่ยเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนระเบิดคำสองคำออกมา “จิ้งจอก”
กู้อ้าวเวยมองกลับไปอย่างไม่ยอมน้อยหน้า “รู้ไว้ด้วยว่าข้าเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไรเรื่องพวกนั้นเลย ความร่วมมือระหว่างข้ากับองค์ชายสามตั้งแต่ต้นเพียงเพื่อล้างแค้นเท่านั้น”
“อย่างนั้นทำไมตอนนี้เจ้าต้องให้ความร่วมมือกับคนหลายคนขนาดนี้ กลัวว่าจะมีใครมาติดตามเพื่อเปิดเผยเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นหยุนหว่านคนที่สอง เจ้าตายมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่จะเข้าประตูผีเป็นครั้งที่สองไม่ได้” กุ่ยเม่ยก็ได้ทำตามคำพูดอย่างเข้มงวด
กู้อ้าวเวยกำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผา
“เพราะข้าต้องการให้โลกนี้มีความมั่นคง” กู้อ้าวเวยใช้เวลามานานแล้วในการพูดถึงเรื่องนี้ “ชิงต้ายก็ยังคิดจะเห็นสิ่งที่ดีในโลกนี้ วันหลังข้าจะพาเจ้าและนางไปดูสงครามของโลกนี้ได้อย่างไร เต็มไปด้วยเขม่าควันปืน องค์ชายสามก็คงจะมองเห็นราชบัลลังก์ เมิ่งซู่ก็จะเห็นเพียงตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือด แต่ข้าไม่ต้องการให้เมืองชางหลานที่มีอายุหลายร้อยปีต้องมาสั่นคลอน หากไม่จัดการเก็บกวาดให้สะอาด เห็นเพียงการผูกขาด ที่ขุนนางปกป้องกันและกันจะปลุกให้ประชาชนลุกขึ้นมา”
“แต่โลกใบนี้ สงบสุขจริง ๆ……” ฉีหลินพูดเบาๆ
แต่กลับถูกมองจากกุ่ยเม่ยและกู้อ้าวเวย
“ไม่มีราชวงศ์ใดที่จะสงบไปได้เท่าราชวงศ์นี้อีกแล้ว ทำไมพวกเจ้าไม่ลองเปิดใจมองดูประเทศอื่นล่ะ” จู่ ๆกู้อ้าวเวยก็ตกอยู่ในความทุกข์ใจ สายตามองไปยังฉีหลิน “แคว้นเจียงเยี่ยนเริ่มให้ความสำคัญกับวัฒนธรรม สิบสองปีมานี้มีการเปิดโรงหมอ โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ขึ้นหลายแห่ง ประกอบกับการพัฒนาที่ดินในหลายปีที่ผ่านมา เก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์ในทุกปี อีกทั้งยังมีการสร้างเครื่องช่วยทอผ้า ในขณะที่คนอื่นกำลังสูงขึ้นไป แต่สิบปีมานี้เมืองชางหลานกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย”
คนทั้งหมดนั้นกำลังคิด กุ่ยเม่ยอ้าปาก เริ่มจะไม่พอใจ “นี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรได้มากมาย”
“อย่างนั้นแคว้นเอ่อตานกำลังรวบรวมกำลังคน แค่เพียงคนในยุทธภพของพวกเขาก็ล้วนสามารถครอบงำพวกเราชางหลานได้ เนื่องจากความวุ่นวายในปีนั้น คนมีความสามารถปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย แต่พวกเราเมืองชางหลานนอกจากคนแก่ผู้อาวุโสแล้ว กลับมีแต่พรรคพวกอวดรู้เท่าสิ้น แต่พรรคเหล่านี้ได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกขุนนางมานาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข่าวที่ข้าได้รับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน คนของแคว้นเจียงเยี่ยนได้ซื้อขุนนางจากเมืองเล็ก ๆ อีกทั้งยังมีการส่งแร่ของแคว้นชางหลานไปยังแคว้นเจียงเยี่ยน” กู้อ้าวเวยพูดไปพลางนำจดหมายจากหยุนหว่านออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ไม่เพียงแต่แคว้นเจียงเยี่ยน แม้แต่ผู้คนในเอ่อตานก็ล้วนแต่เข้าไปลึกขึ้น แต่คนที่อยู่ในศาลกลับไม่รู้อะไรเลย
“พวกเขาเป็นขุนนางไปแล้ว ทำไมยังจะต้องทำเรื่องแบบนี้” หยินเชี่ยวยังรู้สึกเหลือเชื่อ “อย่างนั้นทำไมพวกเราไม่บอกองค์ชายสาม เขาจะต้องได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้”
“เป็นเพราะตำแหน่งระดับบนของเมืองชางหลาน ไม่มีตำแหน่งว่างนานแล้ว แม้พวกเขาจะขยันขันแข็ง ทั้งชีวิตก็คงเป็นได้แค่ขุนนางท้องถิ่นเท่านั้น เมืองเทียนเหยียนสำหรับพวกเขาแล้วค่อยๆห่างไกลออกไป แต่เมื่อไปสมรู้ร่วมคิดกับศัตรู อย่างนั้นความรุ่งเรืองก็ได้มาง่ายดายยิ่งขึ้น” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ถูก
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่แทรกซึมมานานนับสิบปี ทำลายขีดจำกัดของเมืองชางหลานไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ซ่านจินจื๋อเป็นผู้นำไปทำสงครามตอนนั้น แคว้นเจียงเยี่ยนและแคว้นเอ่อตานคงจะไม่ต้องหยุดนิ่งแบบนี้”
แต่ตอนนี้ ซ่านจินจื๋อถูกลดขั้น อย่างนั้นทั้งสองประเทศก็คงจะทวีความรุนแรงมากขึ้นแน่นอน
ภายใต้ความสงบสุขของราษฎร ยิ่งไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้แน่นอน
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าฮูหยินสืบไปหมดแล้วเหรอ” กุ่ยเม่ยก็เพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรก ปกติเขาเป็นเพียงผู้ช่วยของกู้อ้าวเวยเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นเรื่องนี้ที่ละเรื่อง ”
“ข้าเองที่ให้ท่านแม่สอบสวน” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ คิดขึ้นมาได้ถึงช่วงเวลาที่อยู่ในห้องหนังสือของซ่านจินจื๋อ “เพราะข้าเคยอยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ พบว่าเขาจะคอยฟังข่าวคราวประเภทนี้อยู่ตลอด ข้ายิ่งคิดว่า มีปัญหาอะไรกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่”
ในรถม้าสงบเงียบลง ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปเท่าใด ฉีหลินดึงหยินเชี่ยวกลับมา “เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่ใช่เรื่องกังวลใจของคนธรรมดาสามัญอย่างข้า เรื่องด้วนที่ต้องทำทันที พวกเราต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับอ๋องจงผิงถึงจะถูก”
ความโกรธในรถม้านั้นสงบลงบ้างแล้ว ทั้งสองคนดูจะสงบลงเล็กน้อย กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองกุ่ยเม่ย ก็รู้ได้ว่ากุ่ยเม่ยกำลังกังวลเรื่องของตนเอง กลัวว่าเรื่องที่ตนเองไปทำร่วมกับคนมากมายนั้นจะถูกเปิดเผย เพียงแต่เอนกายและผูกเชือกถักให้เขา “ความผิดข้าเอง”
กุ่ยเม่ยมองไปยังนาง และนำเชือกถัดลงมา ถอนหายใจ “อย่างนั้นก็ซ่อนความลับนี้ไว้ดีๆ”
กู้อ้าวเวยหรี่ตายิ้ม กุ่ยเม่ยยิ้มออกอย่างหายโกรธ เพียงแค่ช่วยนางปกปิดความลับไว้ให้ดี