บทที่ 436 หัวใจศักดิ์สิทธิ์
บนศาลเต็มไปด้วยขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น
นี่เป็นครั้งแรกของกู้อ้าวเวยที่ได้ขึ้นไปศาลที่เต็มไปด้วยผู้ชายมาแสดงความเห็นกัน สายตาของขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนส่งสายตามองมายังเขา ดูเหมือนต่อการที่จะเห็น ว่าใครกันบนโลกนี้ที่จะมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าซ่านจินจื๋อ
สวมใส่ร่างกายด้วยชุดสีเขียว กู้อ้าวเวยยังคงรวบผมสูง ดูเรียบง่ายเป็นอิสระ เหมือนคนในยุทธภพ
ต้วนโฉงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก ซ่านจินจื๋อยกคิ้วขึ้น มองเขา “ไม่เป็นวรยุทธ จะไปออกรบไม่เท่ากับส่งตนเองไปตายหรือ”
“หากข้าตายแต่ทำให้พวกเราชางหลานได้รับชัยชนะกลับมา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายอะไร” กู้อ้าวเวยยิ้ม สีหน้าของต้วนโฉงที่อยู่ตรงหน้าดูจริงจัง “ฮ่องเต้ คนธรรมดาไร้ความสามารถ อ๋องจิ้งจะไปต่อการกับศัตรูได้อย่างไร”
“ได้” ต้วนโฉงโบกมือของเขา เพียงแค่ฟังคำพูดของซ่านจินจื๋อ
ซ่านจินจื๋อมองมายังกู้อ้าวเวยอย่างเย็นชา เดินออกไปเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ตั้งแต่แคว้นเจียงเยี่ยนเกิดอาชญากรรมขึ้น ท่านเสนาบดีก็คิดจะนำกองกำลังกลับมา ซึ่งกลยุทธ์พวกนี้กลับไม่สะดวกที่จะพูดในตอนนี้”
แม้ว่าต้วนโฉงจะไม่พอใจก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องของการทหารไม่สามารถจะมาพูดให้ชัดแจ้งบนศาลได้ จึงมองไปยังกู้อ้าวเวย “อ๋องจิ้งเป็นผู้นำออกรบ เจ้าเป็นกุนซือหรืออย่างไร”
ตะไปตำหนิต้วนโฉงก็ไม่ได้ที่คิดเช่นนี้ ทุกคนล้วนดูออกว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ เอาตัวไปโจมตีข้าศึกก็คงจะไม่ได้ หากแม่ทัพเป็นเด็กน้อยแบบนี้ จะทำให้คนเชื่อถือได้อย่างไร
“ราษฎรไปออกรบ แคว้นเจียงเยี่ยนมีคนเก่งมากมาย หากไม่ชนะครั้งนี้ วันหลังก็คงจะต้องพบหายนะแล้ว” กู้อ้าวเวยก็เห็นด้วย ก้าวออกไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยเสียงคงที่ “แคว้นเจียงเยี่ยนมีกองทหารม้าที่น่ากลัวมาก ในฤดูหนาวจะต้องมีอาหารและหญ้าที่เพียงพอ เบื้องหลังยังมีทาสที่คอยสร้างปัญหา แต่กลับมองข้ามสิ่งเล็กๆ”
ทุกคนฟังด้วยความกระวนกระวายใจ แต่กลับมีรอยยิ้มจางๆที่มุมปากของเขา “นั้นเป็นเพียงเรื่องแรก”
“อย่างไร” มีเสนาบดีจำนวนหนึ่งมองมาด้วยความร้อนใจ
“ตั้งแต่พวกเขาโจมตีมา จะต้องมีความมั่นใจแน่นอนมาแล้ว แต่มันเป็นกลพรางของทหาร ซึ่งพวกเขาย่อมรู้ดี จึงใช้สร้างกำแพงและคูเมืองเมืองสองกำแพงขึ้นมาป้องกัน เพื่อจะทำให้สงครามนั้นยืดเยื้อ และอ๋องจิ้งก็จะมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้ นำกองกำลัง และบุกโจมตีได้อย่างเฉียบคม” กู้อ้าวเวยพูดจบ ก็ให้คนนำแผนที่ของเมืองนำส่งขึ้นไป แผ่ออกบนพื้น นางค่อยๆกวาดเบา ๆ แล้วพูดต่อ “ทำทีละขั้นทีละขั้น ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว”
“หน้าไม่อาย! เมืองทั้งสองนั้นง่ายต่อการป้องกันยากแก่การโจมตี ถูกคนกระทำทั้งภายในภายนอก จะไปง่ายอะไรขนาดนั้น” มีขุนนางอาวุโสคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา “เจ้ามันเด็กอ่อนหัดนักกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีก่อนเถอะ”
กู้อ้าวเวยลูบหัวของตัวเอง นางดูตกตะลึง “ข้ามันเป็นเด็กน้อยจริง ๆ แต่ข้าก็ไม่ได้จะให้จัดการกับทั้งสองเมืองนั้นตอนนี้ ความหมายของข้าน้อยคือ วันข้างหน้าค่อยจัดการ”
“เจ้าจะยกมืองพวกนี้ให้กับคนอื่นโดยง่ายดายอย่างนั้นหรือ” มีเสนาบดีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“อย่างนั้นเจ้ามีวิธีการจะบุกเมืองนั้นอย่างไรลองอธิบายให้ทุกคนฟังสิ” กู้อ้าวเวยพูดเสียงดังขึ้น แล้วก้าวไปข้างหน้า มองไปยังต้วนโฉง “เนื่องจากเมืองทั้งสองนั้นถูกยึดครองทั้งภายในและภายนอก ดังนั้นหากทุกท่านไม่ต้องการที่จะจัดการแบบนี้ ก็คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีเหมืองแร่อยู่ที่ชานเมือง! เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ คงไม่ใช่การกำจัดขุนนางที่นั่น แต่เป็นการเสริมการป้องกัน”
“ถ้าไม่บุกเข้าไป ก็คงจะนำเมืองนี้กลับมาไม่ได้แล้วล่ะ” ซ่านจินจื๋อได้ก้าวออกมาก้าวหนึ่งเช่นกัน “กำลังทหารของแคว้นชางหลานของข้าเทียบกับแคว้นเจียงเยี่ยนไม่ได้หรือไง ภายในไม่กี่ปี การต่อสู้นี้จะต้องจบลง”
“โดยปกติจะหักโหมก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ความมีรุ่งโรจน์ของแคว้นชางหลานมันก็เป็นเพียงแค่ไว้ปกปิดเรื่องที่น่าอับอาย ตอนนี้ศัตรูที่มีความแข็งแกร่งไม่ได้เป็นเพียงแคว้นเจียงเยี่ยนเท่านั้น แต่ยังมีแคว้นเอ่อตานและเผ่าอื่นอีกที่คอยจ้องอยู่ดุจเสือรอตะครุบเหยื่อ” กู้อ้าวเวยยืนอยู่ต่อหน้าซ่านจินจื๋ออย่างหนักแน่น มองดูท่าทางที่ดูดุร้ายของเขา แต่กลับไม่ได้กลัวอะไร “อ๋องจิ้ง ท่านจะฆ่าคนทั้งหมดได้ไหม”
ซ่านจินจื๋อถึงกับสำลัก คิดไม่ออกว่าจะหาคำใดมาหักล้าง
“อย่างที่ข้าบอก แคว้นชางหลานมีกองกำลังเพียงพอ โดยธรรมชาติแล้วมีสำรองเพียงพอกว่าแคว้นเจียงเยี่ยน อย่าเพิ่งรีบไปที่สองเมืองนั้นเลย ควรจะให้คนไปปกป้องชายแดนก่อน จากนั้นอ๋องจิ้งค่อยนำคนไปยังค่ายของศัตรู เพื่อจะยึดแคว้นเจียงเยี่ยน” กู้อ้าวเวยพูดจบ ก็ชี้ลงไปยังตำแหน่งของแคว้นเจียงเยี่ยนอย่างชัดแจ้ง “แม้ว่าในสถานที่เหล่านี้จะไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อถูกยึด ก็จะสามารถห้อมล้อมทั้งสองเมืองที่ถูกครอบครองไป และหักหลังพวกเขา เท่านี้ก็สามารถจะนำสองเมืองกลับมาได้โดยปริยาย”
“พูดหนะมันง่าย” บรรดาขุนนางยังไม่อาจจะเชื่อ “อีกอย่างคนของแคว้นเจียงเยี่ยนก็ไม่ได้โง่”
“แต่แคว้นเจียงเยี่ยนไม่ได้สร้างปราการที่เมืองเหล่านี้” กู้อ้าวเวยมองไปยังขุนนางคนนั้นอย่างเยือกเย็น “ความจริงในข้อนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่องค์ชายและท่านแม่ทัพผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้”
ซ่านจินจื๋อเหลือบมองไปยังกู้อ้าวเวยอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมหยูนเฉินถึงมีความคิดไม่ต่างไปจากเขา
และแม่ทัพอีกคนหนึ่งรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มองไปยังหยูนเฉินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “เจ้าพูดมาไม่ผิดจริง ๆ แต่สิ่งนี้เกี่ยวกับการนำทีพขององค์ชายสามอย่างไร”
“เกี่ยวข้องแน่นอน” กู้อ้าวเวยมองไปยังซ่านเซิ่งหาน “เป็นเพราะองค์ชายสามก็จะพาคนไปเช่นกัน จะไปยึดเมืองแห่งนี้ ต้องแบ่งทหารออกเป็นสองเส้นทาง ต้องใช้สิทธิอำนาจขององค์ชายสามในการจัดการกับพวกขุนนางในพื้นที่นี้ อีกอย่าง องค์ชายสามจะเดินทางพากองกำลังออกจากที่นี่ ก็จะเป็นการสกัดกลุ่มแคว้นเอ่อตานและกลุ่มอื่น ๆที่อาจจะเป็นภัยอันตรายแอบแฝงได้ในเวลาเดียวกัน”
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยเลื่อนลงไปยังด้านล่างของแผนที่ เมืองนั้นยังไม่ได้ถูกข้าศึกยึด
ทุกคนรู้สึกว่ามันยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ไปเล็กน้อย ซ่านจินจื๋อก็ยังไม่ได้ตอบสนองอะไร ซ่านเซิ่งหานก้าวไปข้างหน้า “ฮ่องเต้ ข้าน้อยได้รับข่าวมาก่อนนี้ ข้าราชการในหลายเมืองล้วนแล้วแต่คิดทรยศแผ่นดิน หากแต่หนทางยาวไกล ข้าน้อยยินดีที่จะนำทัพไปปราบปราม”
“องค์ชายเป็นราชโอรส จะเอาชีวิตไปเสี่ยงเป็นการไม่ควร…”
“ในสถานการณ์ตอนนี้ มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่จะไม่ทรยศหักหลังแผ่นดิน หากว่าในตอนนี้ยังมีผู้ใดไม่เชื่อ อย่างนั้นข้าน้อยก็ต้องขอนำชื่อของขุนนางทุจริตมาพูดในที่นี่แล้วล่ะ” กู้อ้าวเวยขัดจังหวะเขา หนังสือที่ถูกม้วนไว้ในแขนเสื้อได้ถูกเปิดออก ในขณะเดียวกันก็อ่านรายชื่อที่แน่นไปทั้งม้วนหนังสือออกมาทีละคน ท่าทีของขุนนางต่าง ๆบนศาลได้เปลี่ยนแปลงไป
ต้วนโฉงและซ่านจินจื๋อล้วนแต่ต้องตกใจ แม้แต่ซ่านเซิ่งหานเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
เมื่ออ่านรายชื่อทั้งหมดจบลง กู้อ้าวเวยก็ยังพูดถึงว่าองค์ชายสามและอ๋องจิ้งมีการเดินทัพที่แตกต่างกัน หากจะพูดว่าอ๋องจิ้งคือใบมีดคมของโลกภายนอก อย่างนั้นองค์ชายสามก็เป็นดาบสองคม ทุกอย่งที่ผ่านมาล้วนถูกทำความสะอาดมาแล้วอย่างเต็มที่
ประการแรกนี่เป็นการเรียกร้องเรื่องอำนาจขององค์ชายสาม ประการที่สอง เพื่อเป็นการสร้างคุณงามความดีให้กับองค์ชายสาม
และด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงไม่มีการผลักดันให้องค์ชายสามออกไปทำสงคราม แต่กู้อ้าวเวยกลับเดิมพันความคาดหวังของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์ชายสาม
หากฮ่องเต้ตั้งใจจะให้องค์ชายสามเป็นรัชทายาทจริง ๆ สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ก็ต้องให้เขาจัดการแน่นอน
ต้วนโฉงลังเลใจขึ้นมา ซ่านจินจื๋อก็กระวนกระวายใจ เมื่อได้ฟังซ่านจินจื๋อพูด “ที่สุดแล้วองค์ชายสามไม่เป็นวรยุทธ์ หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องตายในสนามรบ…”
“ลูกผู้ชายไม่เกรงความตาย ยอมสละเลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติ” กู้อ้าวเวยเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว และมองไปยังซ่านจินจื๋อ
ขณะทั้งคู่สบตากัน เปลวไฟก็ปรากฏขึ้น