บทที่ 440 เกร็ดน่ารู้ในหนังสือ
เสียงที่ดังออกมา ทำให้คนที่เหลือหันมามอง
“แน่นอนว่าแผนที่ทราย ถูกนำส่งมาจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งอาจจะมีอะไรผิดปกติ” ผู้ชายอ้วนลงพุงผิวคล้ำคนหนึ่งข้างซ่านจินจื๋อด่าพึมพำขึ้นมา
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา รู้สึกมีความคุ้นอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนเรื่องที่บ้านริมน้ำโล่เสียก่อนหน้านี้จะเคยช่วยแก้ปัญหาให้ซ่านจินจื๋อได้ดี เป็นพวกขุนศึกในชนบท หากไม่ใช่เพราะพี่ชายต้องเสียชีวิตลงในสนามรบ ก็คงไม่ให้น้องชายสุดที่รักของเขาต้องมาแทน
“มีปัญหาอะไรผิดปกติหรือ” ซ่านเซิ่งหานถามอย่างตรงไปตรงมา
“มีปัญหาอย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยพูดด้วยเสียงต่ำ เดินไปยังด้านหน้าของแผนที่ในกระโจม ชี้ไปยังลำคลองแห่งหนึ่ง “คลองลั่วส่วย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะสำรวจมันอย่างลึกละเอียดได้”
“เจ้ารู้อะไร แม้ว่าจะถูกเรียกว่าคลองลั่วส่วย แต่มันเป็นก้นเหวลึกที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด” แม่ทัพที่อยู่ใกล้ๆคนหนึ่งจึงพูดขึ้นมา “แม้แต่คนเก็บยาสมุนไพรยังมีน้อยคนที่จะไปที่นั่น มีแต่หน้าผาอยู่โดยรอบ”
นายพลทั้งหมดต่างหันมามอง ซ่านเซิ่งหานยิ่งประหลาดใจ กู้อ้าวเวยไม่ใช่คนพื้นถิ่นที่นี่
แต่ใครจะรู้กู้อ้าวเวยเพียงแต่ยิ้มออกมาเบาๆ “ข้าไม่รู้จริง ๆว่าคลองลั่วส่วยมีความลึกเท่าใด แต่สถานที่แห่งนี้สามารถลงไปได้แน่นอน”
พูดถึงจุดนี้ นางกลับไปยังด้านข้างของแผนที่ทรายอีกครั้ง เรียกองครักษ์เข้ามาคนหนึ่ง ให้เขาเข้าไปใกล้คลองลั่วส่วยดูว่ามีสิ่งจำพวกไม้พุ่มหรือไม่ และให้นำสมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกลับมาด้วย
“สองร้อยปีก่อน มีหมอคนหนึ่งบังเอิญตกลงไปยังคลองลั่วส่วย เนื่องจากกลัวการถูกตามล่า เขาอาศัยอยู่ในคลองลั่วส่วยมานานเป็นสิบปี หลังจากสิบปีนั้น เขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ บทลั่วฉ่าว แม้จะเป็นหนังสือเล่มเล็ก แต่คนแก่คนหนึ่งยังขึ้นมาได้ นับประสาอะไรที่พวกเจ้าจะลงไปไม่ได้” กู้อ้าวเวยพูดจบ ก็ให้คนไปที่กระโจมเพื่อหาหนังสือ แล้วหันไปพูดกับอีกด้านหนึ่ง “หากมีวิธีลงไปยังคลองแห่งนี้ ก็สามารถย่นระยะทางให้กองทัพได้มากกว่าร้อยไมล์ หากเสบียงหมด และไม่ต้องกังวลกับการทิ้งร่องรอยไว้บนหิมะ และยังสามารถที่จะโจมตีได้ และก็ไม่จำเป็นต้องส่งกำลังไปตาย”
แม่ทัพหลายคนหันมองหน้ากันและกัน ซ่านจินจื๋อมองไปยังกู้อ้าวเวย ยิ่งรู้สึกแปลกใจ “คุณเชื่อมันเพียงเพราะอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งหรือ”
“อันนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามภูมิประเทศของคลองลั่วส่วยมีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนจะถูกใช้เป็นหลุมศพมาก่อนเมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีก่อน ถ้าว่าตามหนังสือที่บันทึกไว้ เหตุผลที่ยังเข้าไปไม่ได้ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นพื้นที่สูงชัน หากแต่มีพิษ ถ้ามันถูกทำลายลง ก็จะสามารถใช้เครื่องมือช่วยขนส่งเสบียงได้” ในขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังพูดอยู่นั้น มีคนช่วยนางหาหนังสือสองสามเล่มและนำมันเข้ามา
กู้อ้าวเวยมองดูอย่างละเอียด และเงยหน้ามองพวกเขา “เพียงแต่ตอนนั้นมันเป็นสถานการณ์ที่องค์ชายทั้งสองจะต้องตัดสินใจ หยูนเฉินสามารถทำได้แต่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
พูดจบ นางก็ได้รับการอนุญาตจากซ่านเซิ่งหาน และออกไปรอรายงานของทหาร มองไปยังสิ่งของในมืออีกครั้ง
แม่ทัพในห้องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นขุนศึกจากชาวบ้าน มีไม่กี่คนที่รู้หนังสือ ยิ่งไม่รู้ว่าหนังสืออะไร
ดวงตาของซ่านจินจื๋อมองไปยังกู้อ้าวเวยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปคุยเรื่องกิจการทหารอื่น ๆต่อไป เพื่อการเตรียมพร้อมสู่การสู้รบ และยังคงต้องเตรียมทำทุกอย่างตั้งแต่การฝึกซ้อมจนถึงเสบียงอาหาร เพื่อจะรับมือกับศัตรูข้าศึกได้ตลอดฤดูหนาวนี้
จนกระทั่งสองชั่วโมงต่อมา ทหารสองคนได้นำสิ่งของต่าง ๆกลับมา กู้อ้าวเวยไม่สนใจเรื่องทางการทหารแล้ว ก่อนอื่นเริ่มจากให้หาหมอยาที่สามารถล้างพิษได้มา จัดการทุกสิ่งที่มาจากคลองลั่วส่วยเป็นอย่างดี จากนั้นกลับไปยังที่หักทหารอย่างเงียบๆ ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเงียบสงบ ไม่รู้ว่าปล่อยม้วนกระดาษในมือไว้ที่ไหน
รอจนดึกหลายคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง ซ่านเซิ่งหานมีความทุกข์ใจไปตลอดทาง และสิ่งที่เหนื่อยยิ่งกว่าคือการต่อสู้กับซ่านจินจื๋อ แต่กู้อ้าวเวยนอนอยู่ในรถหลังจากฝึกซ้อมวรยุทธ์กับกุ่ยเม่ยตลอดวัน ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงซ่านจินจื๋อ อาจจะต้องใช้เวลาสองสามคืนเพื่อให้หายเหนื่อย
“รีบพักผ่อน” ซ่านเซิ่งหานพูดแบบนี้ ยังมองไปยังกู้อ้าวเวย อยากให้นางตามออกไปด้วย
ตั้งใจว่าหลังจากมีความเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วจะค่อยตามไป แต่กลับถูกซ่านจินจื๋อทักรั้งไว้ “ดูเจ้าจะไม่เหน็ดเหนื่อย มาที่นี่เพื่อดูภูมิประเทศอื่น วันพรุ่งนี้เจ้าจะพาข้าเพื่อดูคลองลั่วส่วยและอีกอีกทั้งสองที่ว่ามีเส้นทางใดด้วยตนเองหรือไม่”
“ใช่” ครั้งนี้กู้อ้าวเวยคิดอยากจะไปก็คงไปไม่ไหว ได้แต่หันหน้ากลับไปมองแผนที่
ซ่านเซิ่งหานยังคงคิดจะพูดว่าต้องการคน แต่เมื่อกลับมาคิดอีกครั้ง แบบนี้อาจทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองออก จึงล้มเลิกความคิดไป
ยังคงมีนายทหารใหญ่อยู่เพียงสองคนเท่านั้น ทหารนำอาหารเย็นมาให้ และมีรองแม่ทัพสองคนคอยช่วยเหลือ ในไม่นานกู้อ้าวเวยจึงเริ่มทำงานอย่างจริงจัง
แต่คิ้วของหยูนเฉินและกู้อ้าวเวยนั้นมีความคล้ายคลึงกัน
ซ่านจินจื๋ออดไม่ได้ที่จะมองดู รอจนกระทั่งซูพ่านเอ๋อนำซุปเข้ามาและต้องการปากกาและหมึก เขาจึงเพิ่งมีสติขึ้น ยกมือขึ้นเพื่อโอบกอดซูพ่านเอ๋อ ช่วงเวลาต่อมา ซูพ่านเอ๋อทำซุปในมือหกใส่เขา
“เจ้า! เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง!” ซูพ่านเอ๋อตกใจตะโกนออกมาและชี้ออกไปยังกู้อ้าวเวย
ทหารที่อยู่ด้านนอกแทบทุกคนล้วนได้ยินเสียงกรีดร้องของซูพ่านเอ๋อ อย่างไรก็ตามกู้อ้าวเวยที่กำลังถูกชี้นั้นได้วางม้วนตำราในมือลงอย่างเฉยเมย มองไปยังซูพ่านเอ๋ออย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงค่อยๆยิ้ม “ข้ากับพี่สาวโตมาคล้ายกันมาก แม้แต่น้าจู้ก็ยังพูด พวกเราสองคนไม่ใช่สายเลือดใกล้ชิดกันแต่กลับเกิดรุ่นเดียวกัน นี่เป็นโชคชะตา”
ในด้านของผู้ช่วยทั้งสองคนก็รู้ดีว่าหยูนเฉินโตมาคล้ายกัน ดูแล้วคนๆนี้เป็นลูกหลานตระกูลหยุนจริง ๆ
ในทางกลับกัน กลับยิ่งประหลาดใจ หยูนเฉินเป็นคนในครอบครัวของพระชายาจิ้ง แล้วทำไมถึงมาช่วยองค์ชายสาม
“คืนนี้คงจะนอนไม่หลับแล้ว แต่ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายมาตลอดทาง ท้องไส้ก็ไม่ปกติ ขอท่านอ๋องอนุญาตให้ข้ากลับไปกินยาก่อนเถอะ” กู้อ้าวเวยเอามือจับท้อง
ซ่านจินจื๋อเอามือกดซูพ่านเอ๋อเบาๆ และโบกมือให้นาง
เมื่อถึงเวลาออกไป กู้อ้าวเวยมองไปยังซูพ่านเอ๋ออย่างเยือกเย็น
ซูพ่านเอ๋อเบิกตากว้างโต ไม่คำนึงถึงผู้ช่วยที่ยังอยู่อีกสองคน คว้าแขนของซ่านจินจื๋อ “นางคือกู้อ้าวเวย! นางยังไม่ตาย!”
“เขาไม่ใช่ เขาคือหยูนเฉิน” ครั้งนี้ซ่านจินจื๋อเอามือปิดปากซูพ่านเอ๋อโดยตรง และส่งสายตาไปทำให้ผู้ช่วยทั้งสองรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ผู้ช่วยทั้งสองเดินออกไปอย่างเงียบๆ ซูพ่านเอ๋อก็ใจเย็นลงเล็กน้อย แต่นางก็ไม่เคยลืมสายตาของกู้อ้าวเวย “นางก็คือ…..”
“ไม่ใช่” ส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาไม่เคยเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพของผีหรือเทวดาที่ไหน ตลอดชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืมความรู้สึกของการอุ้มร่างอันเยือกเย็นของนางในวันนั้น “เขาคือหยูนเฉิน เมื่อก่อนเจ้าใส่ร้ายเวยเอ๋อ ตอนนี้น้องชายนางอยู่ที่นี้มาสอนบทเรียนให้กับเจ้า”
ซูพ่านเอ๋อผงะทันทีที่ถูกตำหนิ มองไปยังซานจินจื๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าผิดไปแล้ว ท่านพี่จื๋อ ข้ารู้ว่านั้นคือหยูนเฉิน ข้าจะไม่พูดถึงนางอีกแล้ว….”
“นางตายไปแล้ว” ซ่ดวงตาของานจินจื๋อสั่นไหวเล็กน้อย และก็ไม่รู้ว่านี่คือการบอกตัวเอง หรือบอกคนอื่น