บทที่ 448 โดดเด่นเหนือความคาดหมาย
ดาบกลับคืนสู่ในฝัก ดูเหมือนว่าซ่านจินจื๋อไม่คิดอยากจะพูดเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป
กู้อ้าวเวยค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นจากกองหิมะอย่างช้า ๆ ปัดหิมะที่อยู่บนไหล่ หันหน้ากลับไปมองกำแพงเมืองกวนผิงที่อยู่ไกล ๆ กระซิบพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพี่เขยไม่คิดอยากจะพบข้า ข้าจะกลับไปเอง พูดไปพูดมาแล้ว ข้าเองก็มีประโยชน์ต่อองค์ชายสาม ”
นายกองผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ เบิกตาจ้องมองไปที่นาง พลิกตัวลงจากหลังม้า กระซิบพูดขึ้นตักเตือนว่า “ท่านอย่าได้ทำให้ท่านอ๋องรู้สึกไม่สบายพระทัย ถ้าหากท่านอ๋องทรงยินยอมแล้ว จะสังหารท่านได้จริง ๆ ”
“ถ้าหากว่าเขาคิดจะสังหารข้า คงทำไปตั้งนานแล้ว”
กู้อ้าวเวยเพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาสนใจแต่เรื่องของตัวเองเดินย่ำไปตามรอยกีบม้ากลับไป ผู้ช่วยนายกองมองกลับไปกลับมาซ้ายขวาด้วยความลำบากใจ ซ่านจินจื๋อสะบัดตัวขึ้นม้า เดินไปคนละทางกับกู้อ้าวเวย
ตลอดทางกลับไปยังเมืองกวนผิง องครักษที่อยู่รักษาประตูเมืองเองก็รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้นำท่านเสนาธิการไปด้วย แต่กลับให้เสนาธิการกลับมาคนเดียว รู้เพียงแค่ว่าร่างกายของเสนาธิการผู้นี้บอบบางเป็นอย่างมาก หาเสื้อคลุมมาคลุมลงให้กับนาง
“ขอบใจมาก” กู้อ้าวเวยดึงเสื้อคลุมให้คลุมเอาไว้ดี ๆ
ถึงแม้จะรับรู้ว่าซ่านจินจื๋อที่ได้แยกทางกับตัวเองแล้วแต่ยังมีใจคิดคำนึงหาอยู่ ในใจของกู้อ้าวเวยก็นับว่ามีความรู้สึกพึงพอใจอยู่บ้าง แต่พอคิดถึงว่าทั้งสองคนในที่สุดแล้วมักจะทะเลาะกันไม่มีหยุดหย่อน ในใจก็กลับรู้สึกว้าวุ่นขึ้น
กุ่ยเม่ยเมื่อได้รู้ข่าวเข้าก็พาหยินเชี่ยวรีบพุ่งตัวกันเข้ามา หยินเชี่ยวเมื่อได้เห็นนางตกอยู่ในภวังค์ความคิด ก็ไม่รู้ว่าไปหยิบป๋องแป๋งออกมาจากไหน “นี่ให้ชิงจือเอาติดตัวไว้”
กู้อ้าวเวยถูกนางทำท่าทางหยอกล้อด้วยความไม่ประสาเข้า ก็รู้สึกเหนื่อยใจ “เจ้าเองก็เป็นคนที่ตบแต่งให้กับคนอื่นแล้ว เจ้าวิ่งโผล่มานี่ไม่ได้กลัวเลยว่าฉีหลินจะกังวล ”
“ยังไงเขาก็ไม่รู้หรอกน่า……”หยินเชี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง “ข้าทิ้งจดหมายไว้แล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
กู้อ้าวเวยตกตะลึงจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง กุ่ยเม่ยเอามือกุมที่อกเอาไว้ครู่หนึ่งโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
เมื่อเห็นดังนั้น หยินเชี่ยวก็รีบพูดขึ้นว่ว “แต่ว่าทั้งหมดก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ อินโจวในตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะอันตรายมากกว่าที่นี่ด้วยซ้ำ”
“อะไรนะ?”กู้อ้าวเวยตกตะลึง
“ก็ไม่รู้ว่าไปเอาข่าวมาจากที่ไหนนะ พูดกันว่าอ๋องจงผิงกับพี่หรัวอยู่ใกล้กัน ถ้าไม่ใช่ว่าท่านเทียนหมางให้ไป ชีวิตนี้ของพี่หรัวอีกนิดเดียวก็ต้องตามไปด้วย”หยินเชี่ยวทำท่าทางเหมือนเอามีดจ่อเข้าที่คอ แล้วยังพูดขึ้นต่อไปว่า “พี่หรัวได้ช่วยพระองค์ทำกิจการงาน รู้เรื่องราวมากมายที่ข้าและฉีหลินก็ยังไม่รู้ เมื่อก่อนเหมือนกับพูดว่าจะสอบสวนข้าราชสำนักที่ไหนสักที่ นี่ถึงได้มีเรื่องซวยจนทำให้ชีวิตต้องเกือบจะถึงที่ ในตอนนี้ฉีหลินและพี่หรัวออกไปก็ล้วนแต่ต้องติดตามท่านเทียนหมาง”
นี่นับว่ากู้อ้าวเวยถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ ปากก็บ่นว่าหยินเชี่ยวที่ไม่รีบนำเรื่องที่เหมาะสมรีบพูดออกมาแต่เนิ่น ๆ
อีกด้านหนึ่ง ก็ถอนหายใจให้กับตนเองที่ตอนแรกกลับไปตระกูลหยูนมารอบหนึ่ง นำเอาหมอเทวดาเทียนหมางไปด้วยนับว่าเป็นสาเหตุความผิดพลาดบางประการที่ดันทำเรื่องที่ถูกต้องขึ้นมา
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว หยินเชี่ยวมาอยู่ข้างกายตัวเองในทางกลับกันก็รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ เลยก็ไม่มีแผนการลับที่คิดจะมาตลบเอาข้างหลัง
“นายท่าน!”พลทหารคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา “ที่ด้านนอกมีหญิงงามสองคนอยากจะพบท่าน บอกว่าท่านเรียกให้มา แต่ค่ายทหารไม่อนุญาตให้สตรีเข้ามา”
หยินเชี่ยวรีบหลบที่ด้านหลังของกุ่ยเม่ย กู้อ้าวเวยเองก็เลิกคิ้วขึ้น นางกับหยินเชี่ยวก็เป็นผู้หญิง
“ข้าจะออกไปพบพวกนาง จำเอาไว้ให้ดี อย่าให้เรื่องนี้ได้แพร่ออกไปเป็นอันขาด ข้าไปหาพวกนางมีเรื่องสำคัญ”กู้อ้าวเวยกำชับบอกพวกเขาอย่างหนักแน่น ถึงได้มายังด้านนอกของค่ายทหาร
สตรีทั้งสองนางนี้มีใบหน้าที่งดงามหมดจด หนึ่งในนั้นคือยู่จูที่ไม่ได้พบกันมาเป็นระยะเวลานาน
“นายท่าน”ยู่จูยิ้มบาง ๆ
“ดูท่าเจ้าคงจะพบชายคนรักเข้าแล้วล่ะสิ”กู้อ้าวเวยจ้องมองท่าทีใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยความเปล่งปลั่งอิ่มเอิบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงยังมาทำเรื่องพรรค์นี้อีกล่ะ”
“เพื่อครอบครัว เพื่อชาติบ้านเมือง นี่ก็ไม่ได้นับว่ามากมายขนาดนั้น”เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว แก้มของยู่จูก็แดงระเรื่ออ่อน ๆ ขึ้น
เมื่อก่อนนางทำงานให้กับทิงเฟิงโหลวก็หวังว่าจะได้สืบเสาะร่องรอยคนรักของตนเอง หลังจากที่กู้อ้าวเวยได้จากไป นางก็ติดตามข่าวคราวจนไปพบกับคนรัก ทั้งสองคนมีจิตใจรักใคร่ต่อกัน แต่กลับไม่ได้แสดงออกมาต่อหน้า ข่าวคราวที่ได้ส่งมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้บอกว่าคนรักของยู่จูกำลังเตรียมตัวสำหรับการสอบคัดเลือกขุนนาง แม้กระทั่งความชื่นชอบที่เมิ่งซู่มีต่อเขาก็พลันได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ทำตามแผนที่ข้าได้ส่งไปให้เมื่อก่อน ถ้าหากว่ามีภยันตรายใด ๆ ได้เพียงแค่หวังว่าคนของทิงเฟิงเก๋อจะสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้”กู้อ้าวเวยได้นำยาถอนพิษและยาถอนพิษบางส่วนยัดใส่ไปในมือของคนทั้งสอง
สตรีทั้งสองนางล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี เดินขึ้นไปบนรถม้าที่มีสภาพคล้ายกรง แสร้งทำเป็นว่าถูกขายให้ไปเป็นนางรำ
จ้องมองรถม้าที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากลานสายตา กู้อ้าวเวยก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกดลงบริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ จิตใจพะว้าพะว้ง “ไม่รู้ว่าใช้แผนสาวงามไปล่อลวงจะสำเร็จหรือไม่”
“อ้ายหยินมีความลุ่มหลงในความงาม อีกทั้งยังชอบการมีวงศ์วานว่านเครือ เรื่องนี้ทุกคนล้วนแต่รู้กันเป็นอย่างดี อีกทั้งเขาก็ชอบยกยอตัวเองมาตั้งนมนาน ความหยิ่งผยองเหนือกว่าอะไรทั้งนั้น ”กุ่ยเม่ยปลอบขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ พร้อมยังหัวเราะด้วยความเย้ยหยันว่า “เดิมทีข้าคิดว่าแผนหญิงงามล่อลวงจะเอาไว้กับพวกทหารกับนายกองชั้นผู้น้อย คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายของเจ้ามันจะใหญ่ขนาดนี้” “ปีนไปถึงบนจุดสุดยอดได้ ถึงจะได้สัมผัสกับจุดที่ต่ำที่สุด”กู้อ้าวเวยกระพริบตาปริบ ๆ จ้องมองที่กุ่ยเม่ย มืออีกข้างหนึ่งผลักเบา ๆ ที่ไหล่ของเขา “คนหัวดื้อดึงแบบเจ้าคิดเรื่องแผนการไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าแผนการของข้าคืออ้ายหยินไม่อยากจะอยู่ต่อไปจริง ๆ เอาทิงเฟิงเก๋อใส่เข้าไปให้เป็นที่มั่น เป็นผู้นายกองผู้ช่วยคนหนึ่ง พวกเราต้องการข้อมูลบางอย่าง นับว่าเป็นจังหวะพอดีที่จะไปหาข้าราชการส่วนท้องถิ่น”
“เจ้าน่ะสิถึงเป็นคนหัวดื้อ” กุ่ยเม่ยรู้สึกไม่พึงพอใจ
“ก็หัวดื้อรั้น ข้าราชการพวกนั้นจะต้องรับเอาคนที่อ้ายหยินส่งไปให้เป็นแน่ ถึงแม้ว่าอ้ายหยินจะมีความลำพอง แต่จะต้องลากเอาพวกคนชั่วรังแกคนอื่นเอาไว้แน่ ๆ ”กู้อ้าวเวยยิ้มตอบโต้กลับไป
“หรือว่าอย่าไปพูดถึงดีกว่า ข้าฟังเสียจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”หยินเชี่ยวใช้มือบีบนวดเข้าที่ศีรษะด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พูดขึ้นต่อไปว่า “เจ้ารีบฟังทิงเฟิงเก๋อที่ตอบสารกลับมาดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วที่นั่นมักจะส่งสารไปที่อินโจว อย่าได้ทำให้ฉีหลินกับพี่หรัวจะต้องรำคาญใจจนบ้าตายไปเสียก่อน”
กู้อ้าวเวยจำใจพยักหน้าหงึก ๆ นำพาทั้งสองคนกลับไปยังภายในค่ายทหาร
ในค่ายทหารที่มีไม่กี่คนมาพักอยู่ด้วยไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร เดิมทีหาได้มีใครใส่ใจไม่
ตลอดช่วงระยะเวลาแห่งฤดูหนาว ซ่านเซิ่งห่านก็ได้ตระเวนออกไปทั่วสารทิศ เก็บเอาหลักฐานกระทำความผิดการคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงมาได้ไม่น้อย แต่กู้อ้าวเวยพวกนางทั้งหลายเพราะว่าเมืองกวนผิงมีนายทหารระดับสูงมารับช่วงต่อ จึงจำเป็นต้องกลับชายแดนประตูของเมือง ยึดเอามุมเล็ก ๆ ของลานไว้
ถึงแม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงแล้ว ที่ชายแดนกลับยังคงมีลมพัดโบกหนาวเหน็บ
ภายในเมืองเทียนเหยียนเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย ซ่านเซิ่งหานได้ส่งข้าราชการที่ได้รับการตัดสินพิพากษากลับไปก็ถูกผู้คนตัดคอลง ในปีนั้นกู้เฉิงใช้แผนการหลอกล่อแล้วหลบหนี ในตอนนี้ เรื่องราวที่ได้ขายชาติทรยศต่อบ้านเมืองก็ได้ถูกซ่านเซิ่งหานเอาขึ้นรายงาน แต่เมิ่งซู่เองก็ได้ส่งข้าราชการมาไม่น้อย แถมยังละเมิดกฎให้หวางโม่คนภักดีที่ถูกคนไม่ชอบแบบนี้ก้าวย่างเข้าไปในราชสำนัก นี่นับว่าเป็นแบบอย่างให้กับชนชั้นชาวรากหญ้า
ในจังหวะเวลานี้เอง เจิ้งฉิงคุนได้ชักชวนให้กลุ่มนายพรานเข้าไปเป็นทหาร คิดไม่ถึงเลยว่าได้ถึงคนเป็นพันคนให้มาอยู่ภายใต้ของซ่านเซิ่งหาน
เมื่อเทียบกับความคึกคักของเทียนหยียนแล้ว ที่ชายแดนกลับยากที่จะสงบลงได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ในใจของซ่านจินจื๋อก็รู้สึกว้าวุ่นไม่สามารถสงบลงได้ ซูพ่านเอ๋อได้เอนอิงกายอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยความโมโห“องค์ชายสามไม่ได้เสด็จไปรบ ไม่รู้จริง ๆ ว่าพระองค์ทำเรื่องพวกนี้ จะไปชนะใจของหมู่ประชาได้อย่างไรกัน” “เพียงแค่ตอนแรกไม่ได้มีใครคาดหวังกับเขา ตอนนี้เขากลับทำให้ผู้คนกลับต้องตกตะลึง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตพิสดารอะไร แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนต้องเปลี่ยนสายตาที่มองเขาใหม่”มือของหนึ่งของซ่านจินจื๋อรวบผมที่กระจายอยู่บนบ่าของซูพ่านเอ๋อ สายตาที่เยียบเย็นสะท้อนออกมา “ขอเพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามจู่โจม สายตาที่ต้องมองกันใหม่แบบนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร”